1. ภาพรวม
เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติ (เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1961) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีม เขาเริ่มต้นอาชีพการเล่นในตำแหน่งกองหลังและกองกลาง โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับ สโมสรบาสเตีย หลังเกษียณจากการเล่นในปี 1990 อ็องโตเน็ตติได้ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล โดยเริ่มต้นที่ระดับเยาวชนก่อนจะก้าวขึ้นสู่การคุมทีมชุดใหญ่
ตลอดเส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมของเขา อ็องโตเน็ตติได้คุมทีมฟุตบอลอาชีพหลายสโมสรที่สำคัญในฝรั่งเศส รวมถึง บาสเตีย (สองวาระ), แซงต์-เอเตียน, นีซ, แรน, ลีลล์, และ เม็ตซ์ (สองวาระ) ก่อนจะคุมทีมล่าสุดอย่าง สตราสบูร์ นอกจากนี้ เขายังเคยมีประสบการณ์คุมทีมในญี่ปุ่นกับสโมสร กัมบะ โอซาก้า ผลงานเด่นของเขาได้แก่ การพาสโมสรเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ กุปเดอลาลีก หลายครั้ง (กับบาสเตีย, นีซ, แรน, ลีลล์) การคว้าแชมป์ ลีกเดอซ์ และการพาทีมเลื่อนชั้นสู่ ลีกเอิง 1 (กับแซงต์-เอเตียนและเม็ตซ์) รวมถึงการคว้าแชมป์ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ กับบาสเตีย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการทีมที่มักจะนำพาสโมสรให้ก้าวหน้าและรอดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากได้
2. ชีวิตช่วงต้น
เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติ เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1961 ที่เมืองว็องโซลาสก้า ในจังหวัดโอต-กอร์ส ประเทศฝรั่งเศส ในวัยเยาว์ เขาเคยเข้าร่วม สถาบันฟุตบอลแห่งชาติแกลร์ฟงแตน (INF) ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเยาวชนนักฟุตบอลในฝรั่งเศส
3. เส้นทางอาชีพผู้เล่น
เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติ เริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่ระดับเยาวชนกับสโมสร AS Vescovato ในช่วงปี 1972 ถึง 1973 ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมเยาวชนของ สโมสรบาสเตีย ตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1979 และยังใช้เวลาช่วงหนึ่งที่ INF Vichy ในช่วงปี 1979 ถึง 1982 ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ อ็องโตเน็ตติเล่นในตำแหน่งกองหลังและกองกลาง เขาลงเล่นให้กับหลายสโมสร ได้แก่ บาสเตีย สองช่วง (1982-1983 และ 1987-1990), แอส เบซิเยร์ (1983-1985), และ เลอ ปุย (1985-1987) แม้จะเคยเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีอนาคตไกล แต่เขาลงสนามใน ลีกเอิง 1 ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฝรั่งเศสเพียง 2 นัดเท่านั้น อ็องโตเน็ตติเกษียณจากอาชีพนักฟุตบอลในปี 1990 หลังจากลงสนามรวม 178 นัดและยิงได้ 12 ประตูในอาชีพค้าแข้งของเขา
4. เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีม
หลังจากเกษียณจากอาชีพผู้เล่นในปี 1990 เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมที่ สโมสรบาสเตีย ซึ่งเป็นอดีตต้นสังกัดของเขา โดยเริ่มจากการคุมทีมเยาวชน ก่อนที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชุดใหญ่ในเวลาต่อมา เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมของเขาได้พาเขาไปคุมทีมหลายสโมสรทั้งในฝรั่งเศสและญี่ปุ่น รวมถึงสโมสรชั้นนำและสโมสรที่ต้องเผชิญหน้ากับการดิ้นรน
4.1. SC Bastia (วาระแรก)
อ็องโตเน็ตติเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชุดใหญ่ของ สโมสรบาสเตีย สโมสรจาก เกาะคอร์ซิกา ใน ดิวิชัน 1 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1994 ในช่วงสี่ปีแรกของการคุมทีม เขาได้นำทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ กุปเดอลาลีก ในฤดูกาล 1994-95 แต่พ่ายแพ้ให้กับ ปารีแซง-แฌร์แม็ง ไปด้วยสกอร์ 2-0 นอกจากนี้ เขายังพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ในปี 1997 ก่อนที่จะออกจากสโมสรเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1998
4.2. Gamba Osaka
ในเดือนพฤษภาคม 1998 อ็องโตเน็ตติได้ย้ายไปญี่ปุ่น เพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร เจลีก อย่าง กัมบะ โอซาก้า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้คุมทีมฟุตบอลนอกประเทศฝรั่งเศส เขาตั้งเป้าที่จะใช้กลยุทธ์การเล่นที่เป็นระบบและมีระเบียบแบบแผนเช่นเดียวกับ ทีมชาติฝรั่งเศส ที่คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1998 อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เขาคุมทีม กัมบะ โอซาก้า ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้เล่นอายุน้อย เขากลับพบว่าเป็นการยากที่จะสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาผู้เล่นและการทำผลงานให้ดีขึ้น ทำให้ผลการแข่งขันออกมาไม่ดีนัก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนมิถุนายน 1999 หลังจากสัญญาหนึ่งปีสิ้นสุดลง ในระหว่างที่เขาคุมทีม อ็องโตเน็ตติประทับใจในพรสวรรค์ของ อินาโมโตะ จุนอิจิ ซึ่งเป็นผู้เล่นดาวรุ่งในขณะนั้น และพยายามที่จะพาเขาไปเล่นในฝรั่งเศสด้วย
4.3. SC Bastia (วาระที่สอง)
หลังจากการคุมทีมในญี่ปุ่นสิ้นสุดลง อ็องโตเน็ตติได้กลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของ สโมสรบาสเตีย อีกครั้งเป็นวาระที่สองในเดือนมิถุนายน 1999 โดยเข้ามารับช่วงต่อจาก โฮเซ่ ปาสกวาลเล็ตติ ในช่วงวาระที่สองนี้ เขามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสโมสรให้กลายเป็นทีมที่อยู่รอดใน ลีกเอิง 1 ได้อย่างต่อเนื่อง เขาอยู่คุมทีมจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2001
4.4. AS Saint-Étienne
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2001 อ็องโตเน็ตติได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ แซงต์-เอเตียน โดยได้เซ็นสัญญาเป็นเวลาสามปี ในขณะที่เขาเข้ารับตำแหน่ง สโมสรดังกล่าวยังอยู่ใน ลีกเดอซ์ แต่ภายใต้การนำของอ็องโตเน็ตติ เขาก็พาทีม แซงต์-เอเตียน เลื่อนชั้นสู่ ลีกเอิง 1 ได้สำเร็จในปี 2004 และยังคว้าแชมป์ ลีกเดอซ์ ในฤดูกาล 2003-04 อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ กุปเดอลาลีก ในฤดูกาลเดียวกัน แต่พ่ายแพ้ให้กับ โซโชซ์ ซึ่งเป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ด้วยสกอร์ 2-3 เขาออกจากสโมสรในเดือนมิถุนายน 2004 หลังจากคุมทีมมาสามฤดูกาล
4.5. OGC Nice
ในเดือนพฤษภาคม 2005 อ็องโตเน็ตติได้เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของ นีซ ซึ่งเป็นทีมใน ลีกเอิง 1 ในปี 2006 เขาสามารถพาทีม นีซ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ กุปเดอลาลีก ในฤดูกาล 2005-06 ได้สำเร็จ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับ น็องซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 เขาออกจากสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2009 หลังจากคุมทีมมาสี่ปี
4.6. Stade Rennais F.C.
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2009 อ็องโตเน็ตติได้เข้าร่วมทีม แรน สโมสรใน ลีกเอิง 1 ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้เซ็นสัญญาคว้าตัว อินาโมโตะ จุนอิจิ ผู้เล่นที่เขาเคยพยายามจะดึงตัวไปร่วมทีมที่ฝรั่งเศสเมื่อสิบปีก่อนหน้านั้นมาเสริมทัพได้สำเร็จ หลังจากคุมทีมมาสี่ปี เขาได้ออกจากสโมสรโดยความยินยอมร่วมกันเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2013 ในปี 2017 อ็องโตเน็ตติได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับสโมสรว่า "แรนก็เหมือนกับแคนาดา ดราย คือมีสีสันเหมือนสโมสรใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่" เขายังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ ฟร็องซัว ปีโน ประธานสโมสรว่า "โดยส่วนตัวแล้ว เราเจอหน้ากันปีละสองครั้ง ครั้งหนึ่งในช่วงต้นฤดูกาล และอีกครั้งในช่วงกลางฤดูกาล จากนั้นเขาก็มาที่สนามหนึ่งหรือสองนัด"

4.7. Lille OSC
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2015 อ็องโตเน็ตติได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของ ลีลล์ แทนที่ แอร์เว เรนาร์ด โดยเซ็นสัญญาเป็นเวลาสามปี ในขณะที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ลีลล์ อยู่ในอันดับที่ 17 ของตาราง ลีกเอิง 1 การแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกของเขาคือเกมเยือนใน ลีกเอิง 1 กับ อ็องเฌ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 2-0 หลังจากเผชิญกับความยากลำบากในช่วงสามเดือนแรก ลีลล์ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงท้ายฤดูกาล โดยจบในอันดับที่ห้าใน ลีกเอิง 1 ฤดูกาล 2015-16 และเป็นรองแชมป์ กุปเดอลาลีก โดยพ่ายแพ้ให้กับ ปารีแซง-แฌร์แม็ง ไป 2-1 ในฤดูกาล 2015-16 ในเดือนสิงหาคม 2016 อ็องโตเน็ตติได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่ซึ่งจะทำให้เขาอยู่กับสโมสรไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2020
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2016 สโมสรได้ประกาศว่าได้แยกทางกับอ็องโตเน็ตติ และเขาได้ตกลงที่จะออกจากตำแหน่ง "ด้วยความยินยอมร่วมกัน" อ็องโตเน็ตติได้รับเงินชดเชยประมาณ 840.00 K EUR ซึ่งเทียบเท่ากับค่าจ้างรวมเจ็ดเดือนของเขาที่ 120.00 K EUR ต่อเดือน ในขณะที่เขาออกจากตำแหน่ง ลีลล์ อยู่ในอันดับที่ 19 ของลีก ซึ่งเป็นอันดับรองสุดท้ายใน ฤดูกาล 2016-17 นอกจากนี้ พวกเขายังตกรอบแรกใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ในรอบคัดเลือกที่สาม โดยพ่ายแพ้ให้กับ กาบาล่า ด้วยสกอร์รวม 2-1
4.8. FC Metz
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2018 อ็องโตเน็ตติได้รับการเปิดเผยว่าจะเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เม็ตซ์ สโมสรใน ลีกเดอซ์ ซึ่งเพิ่งตกชั้นจาก ลีกเอิง 1 ในฤดูกาลแรกของเขา เขาสามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ ลีกเอิง 1 ได้สำเร็จหลังชนะ เรดสตาร์ 2-1 และยังคว้าแชมป์ ลีกเดอซ์ ในฤดูกาล 2018-19 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2019 แบร์นาร์ด เซแร็ง ประธานสโมสรได้ประกาศว่าอ็องโตเน็ตติจะไม่ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมต่อไปใน ฤดูกาล 2019-20 เนื่องจากเหตุผลส่วนตัว และได้รับบทบาทเป็นผู้จัดการทั่วไปแทน โดยให้ผู้ช่วยของเขาคือ แว็งซ็องต์ อ็อกนง เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน
อ็องโตเน็ตติกลับมาคุมทีม เม็ตซ์ อีกครั้งใน ฤดูกาล 2020-21 ซึ่งทีมจบในอันดับที่ 10 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2022 อ็องโตเน็ตติมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทกับ ซิลแว็ง อาร์ม็องด์ ผู้อำนวยการกีฬาของ ลีลล์ หลังจบการแข่งขันจากเหตุการณ์ดังกล่าว อ็องโตเน็ตติถูกลงโทษห้ามคุมทีมข้างสนามถึงสิบนัด ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2022 อ็องโตเน็ตติได้ตกลงที่จะลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เม็ตซ์ โดยความยินยอมร่วมกัน
4.9. RC Strasbourg Alsace
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2023 อ็องโตเน็ตติได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของ สตราสบูร์ ในขณะที่ทีมกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นใน ลีกเอิง 1 หลังจากการคุมทีมจนสโมสรรอดพ้นจากการตกชั้นใน ลีกเอิง 1 ได้สำเร็จ สัญญาของอ็องโตเน็ตติก็ไม่ได้รับการต่อออกไป อ็องโตเน็ตติได้กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ผมมีความสุขที่ได้ฝึกสอนสโมสรเช่นนี้ ผมได้แบ่งปันช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่นั่นกับแฟนบอลที่เป็นแบบอย่างและเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ซึ่งคอยสนับสนุนเราเสมอไม่ว่าจะยามชนะหรือแพ้" เขากล่าวเสริมว่า "ยุคใหม่กำลังจะมาถึงด้วยการมาถึงของนักลงทุนใหม่ที่จะนำทรัพยากรใหม่มาสู่สโมสร ใน ลีกเอิง 1 ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งนี้ ผมขออวยพรให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้คนในสตราสบูร์สมควรได้รับสิ่งนั้น" เขาออกจากสโมสรเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2023
5. สถิติการคุมทีม
สถิติการคุมทีมของเฟรเดริก อ็องโตเน็ตติ ข้อมูลอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2023:
สโมสร | จาก | ถึง | สถิติ | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พ. ! ช. ! ส. ! ป. ! ลย. ! สย. ! ผลต. ! % ชนะ | |||||||||||
บาสเตีย | 2 ตุลาคม 1994 | 13 พฤษภาคม 1998 | 165 | 64 | 45 | 56 | 204 | 195 | +9 | 38.79% | |
กัมบะ โอซาก้า | 14 พฤษภาคม 1998 | 1 มิถุนายน 1999 | 44 | 17 | 0 | 27 | 67 | 81 | -14 | 38.64% | |
บาสเตีย | 1 มิถุนายน 1999 | 19 พฤษภาคม 2001 | 78 | 30 | 18 | 30 | 105 | 90 | +15 | 38.46% | |
แซงต์-เอเตียน | 7 ตุลาคม 2001 | 2 มิถุนายน 2004 | 120 | 55 | 30 | 35 | 129 | 106 | +23 | 45.83% | |
นีซ | 24 พฤษภาคม 2005 | 18 พฤษภาคม 2009 | 171 | 62 | 55 | 54 | 173 | 165 | +8 | 36.26% | |
แรน | 2 มิถุนายน 2009 | 30 พฤษภาคม 2013 | 183 | 75 | 43 | 65 | 250 | 215 | +35 | 40.98% | |
ลีลล์ | 22 พฤศจิกายน 2015 | 22 พฤศจิกายน 2016 | 45 | 19 | 11 | 15 | 51 | 43 | +8 | 42.22% | |
เม็ตซ์ | 24 พฤษภาคม 2018 | 18 พฤษภาคม 2019 | 46 | 28 | 11 | 7 | 71 | 31 | +40 | 60.87% | |
เม็ตซ์ | 12 ตุลาคม 2020 | 9 มิถุนายน 2022 | 74 | 18 | 25 | 31 | 79 | 112 | -33 | 24.32% | |
สตราสบูร์ | 13 กุมภาพันธ์ 2023 | 27 มิถุนายน 2023 | 15 | 6 | 4 | 5 | 23 | 18 | +5 | 40.00% | |
รวม | 941 | 374 | 242 | 325 | 1152 | 1056 | +96 | 39.75% |
6. เกียรติประวัติ
เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติได้รับเกียรติประวัติและตำแหน่งรองชนะเลิศที่สำคัญในฐานะผู้จัดการทีม ดังนี้:
- ในฐานะผู้จัดการทีม
- บาสเตีย
- รองชนะเลิศ กุปเดอลาลีก: 1994-95
- แชมป์ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ: 1997
- แซงต์-เอเตียน
- แชมป์ ลีกเดอซ์: 2003-04
- นีซ
- รองชนะเลิศ กุปเดอลาลีก: 2005-06
- แรน
- รองชนะเลิศ กุปเดอลาลีก: 2012-13
- ลีลล์
- รองชนะเลิศ กุปเดอลาลีก: 2015-16
- เม็ตซ์
- แชมป์ ลีกเดอซ์: 2018-19
- บาสเตีย
7. มรดกและการประเมิน
เฟรเดริก อ็องโตเน็ตติเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลฝรั่งเศสในฐานะผู้จัดการทีมที่มีความสามารถในการพัฒนาสโมสรให้กลับคืนสู่ลีกสูงสุดได้หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาทีมอย่าง แซงต์-เอเตียน และ เม็ตซ์ เลื่อนชั้นสู่ ลีกเอิง 1 ซึ่งเป็นจุดเด่นในเส้นทางอาชีพของเขา นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถในการนำพาสโมสรขนาดเล็กอย่าง บาสเตีย ให้กลายเป็นทีมที่สามารถยืนหยัดใน ลีกสูงสุด ได้อย่างสม่ำเสมอ และประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ซึ่งเป็นเกียรติประวัติระดับทวีป
อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพของอ็องโตเน็ตติก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง ตัวอย่างที่สำคัญคือเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทกับผู้อำนวยการกีฬาของ ลีลล์ ในปี 2022 ซึ่งส่งผลให้เขาถูกลงโทษห้ามคุมทีมข้างสนามถึงสิบนัด นอกจากนี้ คำกล่าวของเขาเกี่ยวกับ แรน ในปี 2017 ที่เปรียบเทียบสโมสรกับ "แคนาดา ดราย" โดยระบุว่า "มีสีสันเหมือนสโมสรใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่" ก็สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงวิพากษ์วิจารณ์ของเขาต่อโครงสร้างหรือความทะเยอทะยานของบางสโมสร
โดยรวมแล้ว อ็องโตเน็ตติได้รับการประเมินว่าเป็นผู้จัดการทีมที่เน้นระเบียบวินัยและประสิทธิภาพในการสร้างทีมให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสโมสรที่ไม่ได้มีงบประมาณมหาศาล เขาได้ทิ้งมรดกไว้ในฐานะผู้ที่ช่วยยกระดับหลายสโมสรในฝรั่งเศสให้มีสถานะที่มั่นคงขึ้นในระดับอาชีพสูงสุด