1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสเริ่มต้นชีวิตในวัยเยาว์ด้วยการศึกษาด้านเทววิทยา ก่อนที่จะหันเหความสนใจไปสู่ภาคเกษตรกรรมและเริ่มมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและการเมืองตั้งแต่ช่วงต้น
1.1. วัยเด็กและการศึกษา
สตูลกินสกิสเริ่มต้นการศึกษาด้านเทววิทยาในคาอูนัส และศึกษาต่อในเมืองอินส์บรุค ประเทศออสเตรีย อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจที่จะไม่เป็นนักบวชและได้ย้ายไปศึกษาต่อที่สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรที่มหาวิทยาลัยฮัลเล (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมาร์ติน ลูเทอร์ ฮัลเล-วิทเทนเบิร์ก) และสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1913
1.2. กิจกรรมช่วงต้นและการมีส่วนร่วมทางสังคม
หลังจากสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1913 สตูลกินสกิสได้เดินทางกลับสู่ลิทัวเนียและเริ่มต้นทำงานเป็นเกษตรกร เขามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของประเทศ โดยได้ตีพิมพ์บทความมากมายเกี่ยวกับเกษตรกรรมในสื่อสิ่งพิมพ์ของลิทัวเนีย นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1918 เขายังได้เริ่มจัดพิมพ์วารสารชื่อ ŪkininkasอูคีนิงกัสLithuanian (เกษตรกร) และ Ūkininko kalendoriusอูคีนิงโก คาเลนดอเรียสLithuanian (ปฏิทินของเกษตรกร) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์สำคัญที่ให้ความรู้และข้อมูลแก่ชาวไร่ชาวนา
นอกจากกิจกรรมในภาคเกษตรกรรมแล้ว สตูลกินสกิสยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยลิทัวเนีย และดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการกลางของพรรคในปี ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองอย่างเต็มตัวในช่วงเวลาที่ลิทัวเนียกำลังต่อสู้เพื่อเอกราช
2. เส้นทางสู่เอกราชของลิทัวเนีย
สตูลกินสกิสมีบทบาทสำคัญและเป็นผู้นำคนหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่นำไปสู่การประกาศเอกราชของลิทัวเนีย
2.1. กิจกรรมระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สตูลกินสกิสได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองวิลนีอุส ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีบทบาททางการเมืองที่โดดเด่นยิ่งขึ้นในฐานะผู้นำของพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยลิทัวเนีย ในปี ค.ศ. 1917 เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการกลางของพรรค และได้ร่วมลงนามในบันทึกถึงประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ รับรองสถานะความเป็นรัฐของลิทัวเนีย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเอกราชของประเทศ
ในทางตรงกันข้ามกับอันตานาส สเมโตนา ผู้เป็นประธานาธิบดีคนแรก สตูลกินสกิสมีจุดยืนที่เอนเอียงไปทาง ไตรภาคีพันธมิตร (กลุ่มฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงานการประชุมวิลนีอุสในปี ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ปูทางไปสู่การประกาศเอกราช และหลังจากการประชุมนั้น เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสภาลิทัวเนีย
2.2. การลงนามในพระราชบัญญัติเอกราชของลิทัวเนีย
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้ลงนามในพระราชบัญญัติเอกราชของลิทัวเนีย ซึ่งเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ประกาศการสถาปนารัฐลิทัวเนียที่เป็นอิสระ เหตุการณ์นี้เป็นหมุดหมายสำคัญในการก่อตั้งสาธารณรัฐลิทัวเนีย
สตูลกินสกิสเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันในรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยสำหรับรัฐลิทัวเนีย และยืนหยัดต่อต้านแนวคิดระบอบราชาธิปไตยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของมินดาอูกัสที่ 2 ซึ่งเคยเป็นกษัตริย์ของลิทัวเนียในช่วงสั้น ๆ ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม ถึง 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
2.3. การจัดตั้งกองทัพแห่งชาติและกิจกรรมการป้องกันประเทศ
หลังจากลิทัวเนียได้รับเอกราช สตูลกินสกิสได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดตั้งกองทัพแห่งชาติ เพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานของกลุ่มบอลเชวิคและกองกำลังโปแลนด์ บทบาทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยและเอกราชของลิทัวเนียที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่
3. อาชีพทางการเมืองและตำแหน่งประธานาธิบดี
หลังการประกาศเอกราช อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญหลายตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทผู้นำที่โดดเด่นของเขาในการสร้างและพัฒนาประเทศ
3.1. ตำแหน่งรัฐมนตรีและบทบาทในรัฐสภา
สตูลกินสกิสได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายครั้งในรัฐบาลลิทัวเนียในช่วงแรกของการได้รับเอกราช ระหว่างปี ค.ศ. 1918 ถึง ค.ศ. 1919 เขารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบคู่ไปกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1920 จนถึงปี ค.ศ. 1922 เขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญลิทัวเนีย ซึ่งทำให้เขามีสถานะเป็นรักษาการประธานาธิบดีของสาธารณรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว บทบาทเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการปกครองและกฎหมายของลิทัวเนีย
3.2. ประธานาธิบดีลิทัวเนียคนที่สอง
อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีลิทัวเนียคนที่สอง และดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง ค.ศ. 1926 ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสตูลกินสกิสได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่ขยันหมั่นเพียรและไม่แสวงหาอำนาจทางการเมืองส่วนตน เขามุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพและการพัฒนาประเทศหลังได้รับเอกราช

เขาได้รับการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความไว้วางใจของประชาชนในตัวเขาในฐานะผู้นำที่นำพาลัทธิประชาธิปไตยมาสู่ประเทศในยุคแรกเริ่มของการฟื้นฟูเอกราช หลังจากดำรงตำแหน่งครบวาระ เขาได้ส่งมอบอำนาจให้กับคาซิส กรินิอุส เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1926 ตามหลักการประชาธิปไตย
3.3. การรักษาการประธานาธิบดีและการรัฐประหาร ค.ศ. 1926
หลังจากคาซิส กรินิอุสลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างกะทันหันในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1926 อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้กลับเข้ารับตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีอีกครั้งชั่วคราวในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เพื่อแก้ไขสถานการณ์สุญญากาศทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการรับตำแหน่งรักษาการ สตูลกินสกิสก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งจากการการรัฐประหารลิทัวเนีย ค.ศ. 1926 ซึ่งนำโดยอันตานาส สเมโตนา อดีตประธานาธิบดีคนแรก การรัฐประหารครั้งนี้นำไปสู่การล้มล้างรัฐบาลของคาซิส กรินิอุส และเป็นการคืนอำนาจให้กับสเมโตนา ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดอย่างรวดเร็วต่อการดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีของสตูลกินสกิส
3.4. กิจกรรมรัฐสภาช่วงปลาย
หลังจากการรัฐประหารในปี ค.ศ. 1926 อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสยังคงมีบทบาททางการเมืองในฐานะประธานรัฐสภาเซย์มาส (Seimas) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐสภาเซย์มาสถูกยุบ
4. ชีวิตหลังเกษียณจากวงการเมืองและการกดขี่โดยโซเวียต
หลังจากการเกษียณจากวงการเมือง สตูลกินสกิสได้อุทิศตนให้กับการทำฟาร์ม แต่ต่อมาเขาก็ตกเป็นเหยื่อของการกดขี่ทางการเมืองโดยทางการโซเวียต
4.1. การเกษียณจากวงการเมืองและการทำฟาร์ม
ในปี ค.ศ. 1927 สตูลกินสกิสได้ถอนตัวออกจากวงการเมืองโดยสมบูรณ์ เพื่ออุทิศเวลาให้กับการบริหารจัดการฟาร์มของตนเองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของลิทัวเนีย แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่เขาก็ยังคงแสดงทัศนะและเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีอยู่ของระบอบประชาธิปไตยอย่างสม่ำเสมอ เขาเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1924 สตูลกินสกิสยังมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสถาบันการเกษตร ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเขาในการพัฒนาภาคเกษตรกรรม
4.2. การจับกุมและการคุมขังโดยทางการโซเวียต
โชคชะตาของสตูลกินสกิสเปลี่ยนผันอย่างรุนแรงเมื่อถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 เมื่อเขาและภรรยาถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเอ็นเควีดี (NKVD) ของสหภาพโซเวียตจับกุม และถูกเนรเทศไปยังกูลักในภูมิภาคครัสโนยาสก์ ในขณะที่ภรรยาของเขาถูกเนรเทศไปยังเขตสาธารณรัฐโคมี
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1952 ทางการโซเวียตได้ตัดสินจำคุกสตูลกินสกิสอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 25 ปี ในข้อหาที่พวกเขาเรียกว่า 'นโยบายต่อต้านสังคมนิยมและศาสนาในลิทัวเนียก่อนสงคราม' ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผลและเป็นส่วนหนึ่งของการกวาดล้างผู้ต่อต้านโดยระบอบคอมมิวนิสต์
4.3. การได้รับการปล่อยตัวและการกลับสู่ลิทัวเนีย
อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1956 หลังจากการเสียชีวิตของโจเซฟ สตาลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายในสหภาพโซเวียต แม้ว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศและอพยพไปยังที่อื่นได้ แต่สตูลกินสกิสกลับปฏิเสธโอกาสนั้น และเลือกที่จะกลับมายังสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลิทัวเนีย อันเป็นบ้านเกิดของเขาในที่สุด เขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคาอูนัสจนกระทั่งเสียชีวิต
5. การเสียชีวิต
อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสเสียชีวิตที่เมืองคาอูนัสเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1969 ขณะมีอายุได้ 84 ปี เขาเป็นผู้ลงนามคนสุดท้ายในพระราชบัญญัติเอกราชของลิทัวเนียที่ยังมีชีวิตอยู่
6. มรดกและการประเมิน
อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของลิทัวเนีย แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงบางประการเกี่ยวกับตัวเขา แต่คุณูปการของเขาก็ได้รับการจดจำ
6.1. การประเมินทางประวัติศาสตร์
ในฐานะประธานาธิบดี อเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสได้รับการประเมินว่าเป็นผู้นำที่ขยันหมั่นเพียรและมีความมุ่งมั่นในการรับใช้ประเทศชาติ เขามักจะได้รับการจดจำในด้านการไม่แสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน และความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารประเทศในช่วงปีแรก ๆ ของการฟื้นฟูเอกราช การมีส่วนร่วมของเขาในการสร้างรากฐานของสาธารณรัฐประชาธิปไตยลิทัวเนียถือเป็นมรดกที่สำคัญ
6.2. คำวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียง
ในประวัติศาสตร์ของสตูลกินสกิส มีมุมมองที่วิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกล่าวหาจากทางการโซเวียตในปี ค.ศ. 1952 ที่ว่าเขามีนโยบาย 'ต่อต้านสังคมนิยมและศาสนาในลิทัวเนียก่อนสงคราม' ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาถูกจำคุก 25 ปี ข้อกล่าวหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างประชาธิปไตยที่สตูลกินสกิสสนับสนุน กับระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตที่เข้าครอบงำลิทัวเนีย
6.3. การยกย่องและอนุสรณ์
เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณูปการของอเล็กซันดรัส สตูลกินสกิส สถาบันการเกษตรที่เขามีส่วนร่วมในการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1924 ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยอเล็กซันดรัส สตูลกินสกิสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิเตาทัส แม็กนัสในปัจจุบัน การเปลี่ยนชื่อนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการยอมรับในบทบาทและความสำคัญของเขาต่อการศึกษาและภาคเกษตรกรรมของลิทัวเนีย