1. ชีวิตและประวัติการศึกษา
อัลเบิร์ต มาร์เทน วอลเทอร์ส เริ่มต้นชีวิตในประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางการศึกษาอันยาวนานและหลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การเป็นศาสตราจารย์และนักวิชาการผู้ทรงอิทธิพล
1.1. ชีวิตช่วงต้น
วอลเทอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1942 ใน เนเธอร์แลนด์
1.2. การศึกษา
เขาสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ได้แก่:
- วิทยาลัยคาลวิน (Calvin College): ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (BA) ในปี ค.ศ. 1964
- มหาวิทยาลัยเสรีแห่งอัมสเตอร์ดัม (VU University Amsterdam): ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (PhD) ในปี ค.ศ. 1972
- มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ (McMaster University): ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (MA) ในปี ค.ศ. 1987
2. ผลงานวิชาการและกิจกรรมทางวิชาการที่สำคัญ
ตลอดอาชีพการงานของเขา วอลเทอร์สได้สร้างสรรค์ผลงานวิชาการที่สำคัญหลายชิ้น ทั้งหนังสือและบทความ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเทววิทยาและปรัชญาศาสนา
2.1. หนังสือ "การสร้างโลกที่ฟื้นฟู" และมุมมองโลกแบบปฏิรูป
หนังสือที่โดดเด่นที่สุดของวอลเทอร์สคือ Creation Regained: Biblical Basics for a Reformational Worldview (ในฉบับแปลภาษาไทยคือ การสร้างโลกที่ฟื้นฟู: พื้นฐานพระคัมภีร์สำหรับมุมมองโลกที่ปฏิรูป) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1985 และมีการปรับปรุงฉบับพิมพ์ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2005 หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษา สเปน และภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา
ในหนังสือเล่มนี้ วอลเทอร์สได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ มุมมองโลก โดยยึดตามประเพณีของนักเขียนปฏิรูป เช่น อับราฮัม ไคเปอร์ (Abraham Kuyper), เฮอร์มัน บาวิงก์ (Herman Bavinck), เฮอร์มัน ดูย์เวียร์ด (Herman Dooyeweerd) และ ดี. เอช. ที. โฟลเลนโฮเฟิน (D. H. Th. Vollenhoven) โดยเขากำหนดมุมมองโลกแบบปฏิรูปผ่านหมวดหมู่หลักสามประการ ได้แก่ การทรงสร้าง (creation), การล่มสลาย (fall) และ การไถ่บาป (redemption) ซึ่งเน้นย้ำว่าหลักพระคัมภีร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านศาสนาเท่านั้น แต่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิตและสังคม แนวคิดนี้สนับสนุนให้ผู้เชื่อมีส่วนร่วมในการปฏิรูปวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมตามหลักการของพระเจ้า
2.2. การศึกษาคัมภีร์ใบลานทองแดง
วอลเทอร์สได้ทำการศึกษาเป็นพิเศษเกี่ยวกับ คัมภีร์ใบลานทองแดง (Copper Scroll) ซึ่งเป็นหนึ่งใน ม้วนคัมภีร์แห่งทะเลเดดซี เขาได้ตีพิมพ์บทความจำนวนมากเกี่ยวกับหัวข้อนี้ รวมถึงจุลสารชื่อ The Copper Scroll: Overview, Text and Translation ซึ่งเป็นภาคผนวกสำหรับ Journal for the Study of the Old Testament
2.3. การศึกษาหนังสือเศคาริยาห์
เขายังได้ตีพิมพ์บทความหลายชิ้นเกี่ยวกับ หนังสือเศคาริยาห์ และผลงานวิจารณ์ชิ้นสำคัญที่เน้นการตีความหนังสือเศคาริยาห์ผ่านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเขียนชื่อ Zechariah ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุด Historical Commentary on the Old Testament ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2014
3. ปรัชญาและเทววิทยา
ปรัชญาและเทววิทยาของอัลเบิร์ต มาร์เทน วอลเทอร์ส หยั่งรากลึกในเทววิทยานิกายคาลวินใหม่แบบไคเปอร์เรียน ซึ่งเน้นการประยุกต์ใช้หลักการของพระคัมภีร์กับทุกแง่มุมของชีวิตและวัฒนธรรม มุมมองโลกแบบปฏิรูปของเขา ซึ่งแบ่งออกเป็น การทรงสร้าง การล่มสลาย และการไถ่บาป ไม่ได้เป็นเพียงกรอบทางเทววิทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นเลนส์ที่ใช้ทำความเข้าใจและตีความความเป็นจริงทั้งหมด เขายืนยันว่าการทรงสร้างเดิมของพระเจ้านั้นดีเลิศและเป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลก แม้ว่าการล่มสลายของมนุษย์ได้นำมาซึ่งความบิดเบี้ยวและความผิดปกติ แต่พระเจ้าก็ทรงดำเนินการไถ่บาปเพื่อฟื้นฟูการทรงสร้างทั้งหมด แนวคิดนี้กระตุ้นให้คริสเตียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการไถ่ถอนและปฏิรูปสังคม ไม่ใช่แค่ในด้านศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึงวิทยาศาสตร์ ศิลปะ การเมือง และเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการมองว่าอาณาจักรของพระเจ้าครอบคลุมทุกมิติของชีวิตมนุษย์
4. อิทธิพลและมรดก
อัลเบิร์ต มาร์เทน วอลเทอร์ส ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บุคคลสำคัญ" และ "ตัวแทน" ในกลุ่มนักคิดแนว ลัทธิคาลวินใหม่แบบ ไคเปอร์เรียน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชื่อมั่นในการประยุกต์ใช้หลักการปฏิรูปกับทุกแง่มุมของชีวิตและสังคม
อิทธิพลทางวิชาการและเทววิทยาของเขานั้นกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านหนังสือ การสร้างโลกที่ฟื้นฟู: พื้นฐานพระคัมภีร์สำหรับมุมมองโลกที่ปฏิรูป ซึ่งได้ช่วยกำหนดและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมองโลกที่ปฏิรูปให้แก่คนรุ่นหลัง แนวคิดของเขาที่เน้นความเชื่อมโยงระหว่างการทรงสร้าง การล่มสลาย และการไถ่บาป ได้เป็นรากฐานสำคัญสำหรับการคิดเชิงบูรณาการเกี่ยวกับบทบาทของคริสเตียนในการมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมและสังคม
งานของวอลเทอร์สได้ส่งผลกระทบต่อนักวิชาการและนักเทววิทยาทั้งในและนอกแวดวงไคเปอร์เรียน โดยกระตุ้นให้เกิดการพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องของศรัทธาต่อประเด็นทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม มรดกของเขาจึงอยู่ที่การเป็นผู้ช่วยนำทางให้ผู้คนเข้าใจว่าความเชื่อทางศาสนาสามารถเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและมนุษยชาติได้อย่างไรตามหลักการของคริสต์ศาสนาที่ปฏิรูป