1. เส้นทางอาชีพนักฟุตบอล
ลูอิส การ์นิเกลียเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลในอาร์เจนตินา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จกับสโมสรในประเทศและเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบต่ออาชีพของเขาในฐานะนักเตะ เขายังได้ย้ายไปเล่นในลีกยุโรปในช่วงท้ายอาชีพ ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์สำคัญได้อีกครั้ง
1.1. ช่วงต้นอาชีพและการเปิดตัว
การ์นิเกลียเกิดที่ โอลิโวส และเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลในปี ค.ศ. 1932 กับสโมสรในดิวิชันสี่อย่าง กลุบเดโอลิโวส เขาอยู่กับสโมสรนี้เพียงหนึ่งฤดูกาลก่อนจะย้ายไปร่วมทีม ติเกร ซึ่งเป็นเพียงบันไดก้าวไปสู่ความฝันในวัยเด็กของเขา นั่นคือการได้เล่นให้กับ โบกายูนิออร์ส ซึ่งเขาได้เซ็นสัญญาในปี ค.ศ. 1936 การเปิดตัวของเขากับโบกาเกิดขึ้นในนัดกระชับมิตรที่ปารานา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง การ์นิเกลียยิงประตูได้ภายใน 3 นาที แต่ก็ประสบอุบัติเหตุแขนซ้ายหักในนาทีที่ห้า โบกาชนะในเกมนั้นด้วยสกอร์ 3-0
1.2. ช่วงเวลาที่ CA Boca Juniors
เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมโบกาที่คว้าแชมป์ อาร์เจนตินา พรีเมรา ดิวิซิออน และ โกปาดอกตอร์การ์โลสอีบาร์กูเรน ในปี ค.ศ. 1940 อย่างไรก็ตาม ปี ค.ศ. 1941 เป็นจุดเปลี่ยนที่เลวร้ายในอาชีพนักฟุตบอลของเขา ในเกมกับ ซานโลเรนโซ การ์นิเกลียขาหัก การฟื้นตัวใช้เวลาถึงสามปี ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ที่ ชาการิตา จูเนียร์ส และ อัตลัส แม้ว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาเป็นนักเตะคนเดิมได้อีกเลยก็ตาม
1.3. การเล่นในลีกยุโรป
การ์นิเกลียยืดอายุอาชีพของเขาด้วยการไปเล่นใน ลีกเอิง 1 และ ลีกเอิง 2 ของฝรั่งเศสกับ เอสซี ตูลง และ ออเฌเซ นิส ซึ่งที่นิสนี้เองที่เขาได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้จัดการทีม อย่างไรก็ตาม ปีสุดท้ายของเขาในฐานะนักเตะก็ไม่ได้ไร้ผล เขาสามารถคว้าแชมป์ลีกเอิงและ กุปเดอฟร็องส์ ได้ในปี ค.ศ. 1952 และคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์ได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1954 โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับสโมสรนิส
2. เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีม
หลังจากการแขวนสตั๊ด ลูอิส การ์นิเกลียได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในฐานะผู้จัดการทีม โดยประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับหลายสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เรอัลมาดริด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลระดับโลก
2.1. ช่วงเวลาผู้จัดการทีม OGC Nice
หลังจากกลับมาที่ ออเฌเซ นิส ในปี ค.ศ. 1953 การ์นิเกลียเล่นอีกสองฤดูกาลก่อนที่จะเลิกเล่นและเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของนิส แทนที่ จอร์จ เบอร์รี ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ เขามีความสำเร็จทันทีด้วยการคว้าแชมป์ ลีกเอิง 1 กับนิสในปีแรกที่คุมทีม (ฤดูกาล 1955-56) ฤดูกาลถัดมา (1956-57) นิสจบอันดับที่ 13 ในลีกเอิง 1 หลังจากนั้นการ์นิเกลียก็ย้ายไปคุมทีมยักษ์ใหญ่ของสเปนอย่าง เรอัลมาดริด โดยนิสได้แต่งตั้ง ฌ็อง ลูเซียโน โค้ชชาวฝรั่งเศสมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง
2.2. ช่วงเวลาผู้จัดการทีม Real Madrid
การ์นิเกลียเป็นหัวหน้าโค้ชของ เรอัลมาดริด ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1957 ถึงกรกฎาคม ค.ศ. 1959 โดยมีช่วงหยุดพักสองเดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1959 เนื่องจากอาการปวดไต ในเวลานั้น เรอัลมาดริดมีนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายคน ได้แก่ อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน (เจ้าของรางวัล บาลงดอร์ ในเวลานั้น), ฟรันซิสโก เฆนโต, แรมง กออปา และ เอกตอร์ เรียล นอกจากนี้ โฮเซ ซานตามาเรีย ได้เข้าร่วมทีมในปี ค.ศ. 1957 และ แฟแร็นตส์ ปุชกาช ในปี ค.ศ. 1958 การ์นิเกลียไม่ได้มีความเห็นที่ดีนักต่อปุชกาชเมื่อเขามาถึง เนื่องจากเขาไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพมานานกว่าหนึ่งปีและมีน้ำหนักเกินอย่างมาก การ์นิเกลียได้ฝึกฝนปุชกาชอย่างหนักจนเขาลดน้ำหนักได้ถึง 15 kg ก่อนเกม ลาลิกา นัดแรกกับ โอเบียโด การ์นิเกลียไม่ได้ส่งปุชกาชลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปียนคัพ ปี 1959 ซึ่งนำไปสู่การที่เขาถูกไล่ออกโดย ซานเตียโก เบร์นาเบว ประธานสโมสรเรอัลมาดริด ช่วงเวลาที่การ์นิเกลียอยู่กับเรอัลมาดริดเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา โดยคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ ได้สองครั้ง ใน ปี 1958 ด้วยการชนะ เอซี มิลาน 3-2 และใน ปี 1959 ด้วยการชนะ แร็งส์ 2-0 เขายังคว้าแชมป์ ลาลิกา ในปี ค.ศ. 1958 อีกด้วย
2.3. ช่วงเวลาผู้จัดการทีมสโมสรอิตาลีและสเปน
การ์นิเกลียมีช่วงเวลาสั้น ๆ ในการคุมทีม เอซีเอฟ ฟีออเรนตีนา และ เอเอส บารี ก่อนจะเข้าร่วมทีม เอเอส โรมา ในปี ค.ศ. 1961 กับโรมา เขาคว้าแชมป์ อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์สคัพ ในปี ค.ศ. 1961
หลังจากการลาออกจากโรมากลางฤดูกาลในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการโต้เถียงกับผู้อำนวยการสโมสร เขาก็เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม เอซี มิลาน ซึ่งเป็นทีมที่เขาเอาชนะมาได้ใน นัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ปี 1958 มิลานเป็นแชมป์ยูโรเปียนคัพในขณะนั้นและเข้าร่วมการแข่งขัน อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ พวกเขาพบกับทีม ซังตูส ของบราซิล ซึ่งมี เปเล่ อยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในรอบชิงชนะเลิศปี ค.ศ. 1963 มิลานชนะเกมแรก 4-2 ที่ มิลาน โดยเปเล่ยิงทั้งสองประตูให้ซังตูส ก่อนเกมที่สองมีข่าวลือแพร่สะพัดว่ากรรมการชาวอาร์เจนตินาถูกติดสินบน มิลานพยายามขอเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ผู้ตัดสินแต่ถูกห้ามไม่ให้ทำ ซังตูสชนะเกมที่สอง 4-2 โดยไม่มีเปเล่ที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อรอบชิงชนะเลิศสองเลกเสมอกัน เกมเพลย์ออฟตัดสินเกมที่สามจึงเกิดขึ้นที่ ซังตูส เพียง 48 ชั่วโมงหลังจากเลกที่สอง โดยใช้เจ้าหน้าที่ผู้ตัดสินคนเดิม ในนาทีที่สามของเกมเพลย์ออฟ โจวันนี ตราปัตโตนี ถูกตัดสินว่าทำฟาวล์ผู้เล่นในกรอบเขตโทษ และซังตูสได้จุดโทษ ซึ่งพวกเขาก็ยิงเข้าประตูไป เชซาเร มัลดีนี ประท้วงและถูกไล่ออก ซังตูสชนะการแข่งขัน 1-0
นอกจากนี้เขายังเคยคุมทีม เดปอร์ติโบ เด ลา โกรุญญา ในช่วงปี ค.ศ. 1964-1965
2.4. เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมสโมสรอื่นๆ
นอกเหนือจากสโมสรใหญ่ที่กล่าวมา การ์นิเกลียยังเคยเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรอื่นๆ อีกหลายแห่ง ได้แก่ โบโลญญา เอฟซี (ค.ศ. 1965-1968), ยูเวนตุส เอฟซี (ค.ศ. 1969-1970), ซีเอ ซาน โลเรนโซ เด อัลมาโกร (ค.ศ. 1973) และ เอฟซี ฌีรงแด็ง เดอ บอร์โด (ค.ศ. 1978-1979)
3. กิจกรรมนอกเหนือจากนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม
หลังจากเกษียณจากการเป็นโค้ช การ์นิเกลียได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของ โบกายูนิออร์ส โดยมี ซิลวิโอ มาร์โซลินี เป็นโค้ช นอกจากนี้ เขายังเป็นประธานคนแรกของ สหภาพนักฟุตบอลอาร์เจนตินา (FAA) ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานของนักฟุตบอลในประเทศบ้านเกิดของเขา
4. ชีวิตส่วนตัว
ลูกชายของเขาชื่อ ลูอิส เซซาร์ การ์นิเกลีย ก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน เขาใช้เวลาตลอดอาชีพค้าแข้งในอิตาลี โดยเล่นใน เซเรียอา บางนัดก่อนที่จะย้ายไปเล่นในลีกสมัครเล่น สื่อและแหล่งอ้างอิงหลายแห่งมักเข้าใจผิดว่าพ่อและลูกชายเป็นคนเดียวกัน
5. เกียรติประวัติ
ลูอิส การ์นิเกลียประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม โดยมีเกียรติประวัติที่สำคัญดังนี้:
ประเภท | สโมสร | รายการ | ปีที่ได้รับ |
---|---|---|---|
ในฐานะนักฟุตบอล | โบกายูนิออร์ส | อาร์เจนตินา พรีเมรา ดิวิซิออน | 1940 |
โกปา ดอกตอร์ การ์โลส อีบาร์กูเรน | 1940 | ||
ออเฌเซ นิส | ลีกเอิง 1 | 1952 | |
ในฐานะผู้จัดการทีม | ออเฌเซ นิส | ลีกเอิง 1 | 1955-56 |
กุปเดอฟร็องส์ | 1952, 1954 | ||
เรอัลมาดริด | ลาลิกา | 1957-58 | |
ยูโรเปียนคัพ | 1957-58, 1958-59 | ||
เอเอส โรมา | อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์สคัพ | 1960-61 |
6. การเสียชีวิต
ลูอิส การ์นิเกลียเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2001 ที่ บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา และถูกฝังไว้ที่ สุสานลาเรโกเลตา ในบัวโนสไอเรส
7. การประเมินและผลกระทบ
ลูอิส การ์นิเกลียได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอาร์เจนตินาและยุโรป ด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม แม้ว่าอาชีพนักฟุตบอลของเขาจะถูกขัดขวางด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสามารถยืดอายุการเล่นในลีกฝรั่งเศสได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญก่อนที่เขาจะผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม
ในฐานะผู้จัดการทีม การ์นิเกลียสร้างชื่อเสียงจากการนำ ออเฌเซ นิส คว้าแชมป์ลีกเอิงได้ทันทีในปีแรกที่คุมทีม ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการวางแผนและบริหารจัดการทีมของเขา อย่างไรก็ตาม จุดสูงสุดในอาชีพผู้จัดการทีมของเขาคือช่วงเวลาที่ เรอัลมาดริด ซึ่งเขานำทีมคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพได้ถึงสองสมัยติดต่อกัน และแชมป์ลาลิกาหนึ่งสมัย ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เรอัลมาดริดเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลก เช่น อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน และ แฟแร็นตส์ ปุชกาช ซึ่งการ์นิเกลียมีบทบาทสำคัญในการดึงศักยภาพของนักเตะเหล่านี้ออกมา แม้จะมีความขัดแย้งกับปุชกาชในเรื่องน้ำหนักตัว แต่เขาก็สามารถผลักดันให้ปุชกาชกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดได้
แม้ว่าการคุมทีม เอซี มิลาน ในศึกอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาในการนำทีมระดับสูงเข้าแข่งขันในเวทีระดับโลก นอกเหนือจากบทบาทในสนาม เขายังมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการฟุตบอลอาร์เจนตินาในฐานะผู้จัดการทั่วไปของ โบกายูนิออร์ส และเป็นประธานคนแรกของสหภาพนักฟุตบอลอาร์เจนตินา (FAA) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเขาในการยกระดับสิทธิและสวัสดิการของนักฟุตบอล โดยรวมแล้ว ลูอิส การ์นิเกลียทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ในวงการฟุตบอลในฐานะผู้สร้างความสำเร็จและผู้บุกเบิกในบทบาทผู้บริหาร