1. ชีวิตช่วงต้นและอาชีพเยาวชน
รูดี เจสเตด เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ที่เมืองEssey-lès-Nancy ในจังหวัดMeurthe-et-Moselle ประเทศฝรั่งเศส เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลในระดับเยาวชนเมื่ออายุ 16 ปี ในปี พ.ศ. 2547
1.1. อาชีพเยาวชนที่เม็ตซ์
ในปี พ.ศ. 2547 เจสเตดได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของเอฟซี เม็ตซ์ หนึ่งปีต่อมา เขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทีมชุดบีของเม็ตซ์ ในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แต่ก็ยังคงเล่นให้กับทีมชุดบีควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2553 เขาได้สิ้นสุดการเล่นให้กับทีมชุดบีตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยถูกส่งตัวไปยืมตัวที่สโมสรเอเอส ก็อง ซึ่งเขาทำได้ 4 ประตูจากการลงสนาม 22 นัด
2. อาชีพสโมสร
รูดี เจสเตด มีเส้นทางอาชีพสโมสรที่หลากหลาย โดยเริ่มต้นในฝรั่งเศส ก่อนจะย้ายไปสร้างชื่อในอังกฤษ และเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย กรีซ และอิหร่าน
2.1. เม็ตซ์
หลังจากที่เจสเตดได้รับการเลื่อนชั้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเอฟซี เม็ตซ์ในปี พ.ศ. 2550 เขาก็ยังคงมีบทบาทกับทีมชุดบีอยู่ อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับสโมสรก่อนย้ายทีมถาวร เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของเม็ตซ์ในลีกเดอไป 11 นัด ทำได้ 3 ประตู นอกจากนี้ยังลงเล่นในกุปเดอฟร็องส์ 2 นัด ทำได้ 1 ประตู และในกุปเดอลาลีก 1 นัด ทำได้ 1 ประตู รวมทั้งหมด 14 นัด ทำได้ 5 ประตู ก่อนจะอำลาเม็ตซ์ไปในปี พ.ศ. 2554
2.2. คาร์ดิฟฟ์ซิตี
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 เจสเตดได้เข้าร่วมการทดสอบฝีเท้ากับสโมสรคาร์ดิฟฟ์ซิตี ซึ่งเป็นทีมในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป ในระหว่างการเก็บตัวฝึกซ้อมที่เซบิยา ประเทศสเปน เขาทำประตูแรกให้คาร์ดิฟฟ์ได้ในนาทีที่ 25 ของการแข่งขันกระชับมิตรกับชาร์ลตันแอธเลติก เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หลังจากผ่านการตรวจร่างกายเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เขาก็ได้รับการเปิดตัวเป็นผู้เล่นของคาร์ดิฟฟ์ซิตีในอีกสามวันต่อมา
เขาลงประเดิมสนามอย่างเป็นทางการให้กับคาร์ดิฟฟ์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ในการแข่งขันกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด โดยลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 68 และมีส่วนช่วยให้เคนนี มิลเลอร์ทำประตูชัยได้สำเร็จ การลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในอีกสามวันต่อมา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ในเกมลีกคัพกับออกซฟอร์ดยูไนเต็ด เจสเตดลงสนามครบ 50 นัดในเกมที่ชนะฮัดเดอร์สฟีลด์ทาวน์ 5-3 ซึ่งเขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน เขาทำประตูแรกในลีกคัพให้กับคาร์ดิฟฟ์ซิตีในเกมกับเลสเตอร์ซิตี ก่อนจะยิงลูกโทษเข้าประตูในเกมที่คาร์ดิฟฟ์ชนะการดวลจุดโทษ 7-6
ประตูแรกในลีกของเจสเตดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในเกมกับอิปสวิชทาวน์ ซึ่งเป็นเกมแรกที่เขาลงสนามเป็นตัวจริงในลีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในเกมถัดมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เขาได้รับบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย ทำให้ต้องพักรักษาตัวหลายสัปดาห์ เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในเกมที่เสมอกับมิลล์วอลล์ 0-0 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม เจสเตดยิงลูกโทษเข้าในเกมรอบรองชนะเลิศลีกคัพที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีชนะคริสตัลพาเลซ เขาทำประตูที่สามให้กับคาร์ดิฟฟ์เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ในเกมที่ชนะปีเตอร์โบโรยูไนเต็ด 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศลีกคัพกับลิเวอร์พูลที่สนามสนามกีฬาเวมบลีย์ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ คาร์ดิฟฟ์ซิตีแพ้ไป 3-2 ในการดวลจุดโทษ โดยเจสเตดพลาดลูกโทษหนึ่งลูก เมื่อวันที่ 19 เมษายน เจสเตดได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่ระยะเวลาสองปีที่จะทำให้เขาอยู่กับคาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียมจนถึงปี พ.ศ. 2557
เจสเตดได้รับบาดเจ็บในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ซึ่งทำให้เขาพลาดการลงสนามในช่วงสองเดือนแรกของฤดูกาล 2012-13 เขาได้กลับมาลงสนามอีกครั้งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม โดยลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังในเกมกับอิปสวิชทาวน์ ประตูแรกของเขาในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ในเกมที่แพ้ปีเตอร์โบโรยูไนเต็ด 2-1 เจสเตดทำสองประตูด้วยลูกโหม่งในเกมที่คาร์ดิฟฟ์ชนะนอตทิงแฮมฟอเรสต์ 3-0 ที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม เขาได้รับเหรียญรางวัลชนะเลิศเมื่อคาร์ดิฟฟ์คว้าแชมป์แชมเปียนชิปและได้รับการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 ตลอดช่วงเวลาที่คาร์ดิฟฟ์ เจสเตดลงเล่นในลีกไป 55 นัดและทำได้ 7 ประตู
2.3. แบล็กเบิร์นโรเวอส์

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เจสเตดได้ย้ายเข้าร่วมทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์แบบยืมตัวจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2556 ภายใต้ข้อตกลงการยืมตัวฉุกเฉิน หลังจากที่เขาได้รับโอกาสในการลงสนามกับคาร์ดิฟฟ์ซิตีลดลงเนื่องจากการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก แกรี โบว์เยอร์ ผู้จัดการทีมแบล็กเบิร์นระบุว่าเจสเตดเป็นผู้เล่นประเภทที่ทีมต้องการเพื่อช่วยเสริมจอร์แดน โรดส์ ซึ่งเป็นผู้เล่นคนสำคัญในฤดูกาลที่สำคัญของสโมสร
เจสเตดทำประตูแรกให้กับโรเวอส์เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ในเกมกับลีดส์ยูไนเต็ด โดยเป็นลูกโหม่งในเกมที่ชนะ 2-1
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 เจสเตดได้เซ็นสัญญากับสโมสรแบบถาวรเป็นเวลาสามปีครึ่ง พร้อมกับทอม แคร์นีย์ ซึ่งถูกยืมตัวมาที่แบล็กเบิร์นในเวลาเดียวกัน เมื่อวันที่ 21 เมษายน เจสเตดทำแฮตทริกในครึ่งแรกในการแข่งขันกับเบอร์มิงแฮมซิตี เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของแชมเปียนชิป ประจำเดือนเมษายน หลังจากทำได้ 6 ประตูใน 7 เกมในเดือนนั้น ตลอดการเล่นให้กับแบล็กเบิร์นทั้งแบบยืมตัวและถาวร เจสเตดลงเล่นในลีกไป 60 นัดและทำได้ 32 ประตู
2.4. แอสตันวิลลา

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 หลังจากที่มีการคาดการณ์อย่างเข้มข้น เจสเตดได้เซ็นสัญญากับสโมสรแอสตันวิลลาในพรีเมียร์ลีกเป็นเวลาห้าปี ด้วยค่าตัวที่ไม่เปิดเผย แต่เชื่อกันว่าอยู่ที่ประมาณ 6.00 M GBP เขาลงประเดิมสนามในฐานะตัวสำรองในเกมเยือนกับเอเอฟซีบอร์นมัท โดยโหม่งทำประตูชัยในเกมที่ชนะ 1-0 เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558 เขาทำประตูชัยในเกมลีกคัพที่ชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างเบอร์มิงแฮมซิตี 1-0 เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558 เขาทำสองประตูในเกมที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-2 ในเกมเยือนที่แอนฟีลด์ ตลอดช่วงเวลาที่แอสตันวิลลา เจสเตดลงเล่นในลีกไป 50 นัดและทำได้ 9 ประตู
2.5. มิดเดิลส์เบรอ
เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560 แอสตันวิลลาได้ตกลงรับข้อเสนอจากสโมสรมิดเดิลส์เบรอในพรีเมียร์ลีกสำหรับเจสเตด ซึ่งรายงานข่าวระบุว่ามีมูลค่าประมาณ 6.00 M GBP เขาเซ็นสัญญากับสโมสรอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560 เจสเตดลงประเดิมสนามให้กับสโมสรและกลับสู่การแข่งขันระดับสูงสุดในเกมที่เสมอกับวอตฟอร์ด 0-0 เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560 เขาทำประตูแรกให้กับสโมสรในเกมที่แพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560 มิดเดิลส์เบรอปฏิเสธข้อเสนอ 6.00 M GBP สำหรับผู้เล่นรายนี้จากลีดส์ยูไนเต็ด
เขาได้รับบาดเจ็บในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 หลังจากได้รับบาดเจ็บที่ขาซึ่งต้องได้รับการผ่าตัด เจสเตดกลับมาจากการบาดเจ็บเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ในเกมกับบริสตอลซิตี อย่างไรก็ตาม เขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งซึ่งเกือบทำให้ฤดูกาลของเขาสิ้นสุดลงเมื่อเขากระดูกข้อเท้าหักในการแข่งขันกับฮัลล์ซิตีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เขากลับมาลงสนามอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ให้กับมิดเดิลส์เบรอในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลังในเกมแชมเปียนชิปเพลย์ออฟ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง กับแอสตันวิลลา
เจสเตดถูกปล่อยตัวโดยมิดเดิลส์เบรอเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธที่จะลงเล่นในเกมที่เหลือของฤดูกาล 2019-20 ตลอดช่วงเวลาที่มิดเดิลส์เบรอ เจสเตดลงเล่นในลีกไป 48 นัดและทำได้ 5 ประตู
2.6. เมลเบิร์นวิกตอรี
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เมลเบิร์นวิกตอรีได้ประกาศว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญากับเจสเตด เขาให้สัมภาษณ์ว่า "ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เซ็นสัญญากับเมลเบิร์นวิกตอรีสำหรับฤดูกาลนี้ หลังจากได้พูดคุยกับสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แกรนต์ เบรบเนอร์ ผมประทับใจมากกับวิสัยทัศน์ที่พวกเขาวางแผนไว้เกี่ยวกับรูปแบบฟุตบอลที่พวกเขาต้องการเล่นและบทบาทที่พวกเขาต้องการให้ผมทำ"
ในฤดูกาลแรกของเขากับเมลเบิร์นวิกตอรี (2020-21) เจสเตดลงสนามไป 18 นัด ทำได้ 5 ประตูและ 2 แอสซิสต์ นอกจากเจค บริมเมอร์และเอลวิส คัมโซบาแล้ว เจสเตดยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดร่วมของเมลเบิร์นวิกตอรีในฤดูกาล 2020-21
2.7. พาเนโตลิกอส
หลังจากฤดูกาลที่ไม่ประสบความสำเร็จกับเมลเบิร์นวิกตอรี เจสเตดได้เซ็นสัญญา 2 ปีกับสโมสรพาเนโตลิกอสของกรีซ อย่างไรก็ตาม เขาลงเล่นเพียง 3 นัด (ทั้งหมดเป็นตัวจริง) และทำได้เพียงประตูเดียว
2.8. เอสเทกลาล
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เจสเตดได้เซ็นสัญญาสองปีกับสโมสรเอสเทกลาลในประเทศอิหร่าน เขาได้รับเสื้อหมายเลข 39 หกวันต่อมา เขาลงประเดิมสนามให้กับสโมสรในเกมที่เสมอกับฟาจร์ เซปาซี 1-1 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม เขาทำประตูแรกให้กับสโมสรในเกมที่ชนะชาร์ คอโดร 3-0 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565 เขาทำประตูได้ 2 นาทีหลังจากลงมาเป็นตัวสำรองในเกมกับเพอร์เซโปลิส ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ไม่ใช่ชาวอิหร่านคนแรกของเอสเทกลาลที่ทำประตูได้ในเตหะรานดาร์บี เขาออกจากสโมสรหลังจากฤดูกาลแรก โดยเป็นการยกเลิกสัญญาด้วยความยินยอมร่วมกัน ตลอดช่วงเวลาที่เอสเทกลาล เจสเตดลงเล่นในลีกไป 23 นัดและทำได้ 3 ประตู
3. อาชีพทีมชาติ
รูดี เจสเตด มีคุณสมบัติสามารถเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และเบนินได้ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกเล่นให้กับทีมชาติเบนินในระดับชุดใหญ่
3.1. ทีมชาติฝรั่งเศสชุดเยาวชน
เจสเตดเคยลงเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสชุดอายุไม่เกิน 19 ปีระหว่างปี พ.ศ. 2549 ถึง พ.ศ. 2551 โดยลงสนามไป 17 นัดและเป็นส่วนหนึ่งของทีมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี 2007
3.2. ทีมชาติเบนิน
เจสเตดถูกเรียกตัวติดทีมชาติเบนินชุดใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เนื่องจากมีบิดามารดาเป็นชาวเบนิน นอกจากนี้ เขายังมีคุณสมบัติที่จะเล่นให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกาได้ผ่านทางปู่หรือย่าของเขา เขาประเดิมสนามให้กับเบนินในปี พ.ศ. 2556 และลงสนามไปทั้งหมด 11 นัดนับตั้งแต่เปิดตัว เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562 เขาถูกเรียกตัวกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งหลังจากห่างหายไปสามปี เขาลงสนามให้กับทีมชาติเบนินไป 11 นัดและทำได้ 3 ประตู
4. การอำลาอาชีพและการทำงานหลังเลิกเล่น
หลังจากเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่ยาวนาน รูดี เจสเตด ได้ประกาศยุติบทบาทการเป็นผู้เล่นและก้าวเข้าสู่การทำงานด้านบริหารฟุตบอล
4.1. การอำลาอาชีพ
เจสเตดได้ประกาศอำลาอาชีพนักฟุตบอลอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2566 หนึ่งปีหลังจากที่เขาออกจากสโมสรเอสเทกลาล
4.2. บทบาทที่แบล็กเบิร์นโรเวอส์
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เจสเตดได้กลับมาร่วมงานกับอดีตสโมสรของเขาอย่างแบล็กเบิร์นโรเวอส์อีกครั้งในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการฟุตบอล
5. ชีวิตส่วนตัว
ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของรูดี เจสเตด รวมถึงเรื่องครอบครัวและศาสนาได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
5.1. ครอบครัว
ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2555 ฮาวา ภรรยาของรูดี ได้ให้กำเนิดบุตรคนแรกของพวกเขา ชื่อว่า เอไลจาห์ เจสเตด
5.2. ศาสนา
รูดี เจสเตด เป็นชาวมุสลิม
6. เกียรติประวัติ

รูดี เจสเตด ได้รับเกียรติประวัติทั้งในระดับสโมสรและรางวัลส่วนตัวตลอดเส้นทางอาชีพของเขา
- คาร์ดิฟฟ์ซิตี
- แชมเปียนชิป: 2012-13
- รองชนะเลิศลีกคัพ: 2011-12
- เอสเทกลาล
- เพอร์เซียนกัลฟ์โปรลีก: 2021-22
- รางวัลส่วนตัว
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของแชมเปียนชิป: เมษายน 2557
7. สถิติอาชีพ

ตารางแสดงสถิติการลงสนามและทำประตูของรูดี เจสเตดในแต่ละสโมสร ฤดูกาล และการแข่งขัน โดยไม่รวมข้อมูลจากทีมเยาวชนหรือทีมสำรอง
ฟุตบอลถ้วยระดับชาติ (National cup) รวมถึงรายการอย่าง กุปเดอฟร็องส์, เอฟเอคัพ และอิหร่านฮัซฟีคัพ
ฟุตบอลถ้วยลีก (League cup) รวมถึงรายการอย่าง กุปเดอลาลีก และฟุตบอลลีกคัพ
| สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วยระดับชาติ | ฟุตบอลถ้วยลีก | รวม | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ดิวิชัน | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | ||
| เม็ตซ์ | 2010-11 | ลีกเดอ | 11 | 3 | 2 | 1 | 1 | 1 | 14 | 5 |
| คาร์ดิฟฟ์ซิตี | 2011-12 | แชมเปียนชิป | 25 | 2 | 1 | 0 | 5 | 1 | 31 | 3 |
| 2012-13 | แชมเปียนชิป | 27 | 5 | 0 | 0 | 0 | 0 | 27 | 5 | |
| 2013-14 | พรีเมียร์ลีก | 3 | 0 | 0 | 0 | 2 | 1 | 5 | 1 | |
| รวม | 55 | 7 | 1 | 0 | 7 | 2 | 63 | 9 | ||
| แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (ยืมตัว) | 2013-14 | แชมเปียนชิป | 6 | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 | 7 | 1 |
| แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | 2013-14 | แชมเปียนชิป | 21 | 12 | 1 | 0 | 0 | 0 | 22 | 12 |
| 2014-15 | แชมเปียนชิป | 39 | 20 | 4 | 2 | 1 | 0 | 44 | 22 | |
| รวม | 66 | 33 | 6 | 2 | 1 | 0 | 73 | 35 | ||
| แอสตันวิลลา | 2015-16 | พรีเมียร์ลีก | 32 | 5 | 2 | 0 | 2 | 1 | 36 | 6 |
| 2016-17 | แชมเปียนชิป | 18 | 4 | 2 | 0 | 2 | 0 | 22 | 4 | |
| รวม | 50 | 9 | 4 | 0 | 4 | 1 | 58 | 10 | ||
| มิดเดิลส์เบรอ | 2016-17 | พรีเมียร์ลีก | 16 | 1 | 3 | 1 | 0 | 0 | 19 | 2 |
| 2017-18 | แชมเปียนชิป | 19 | 3 | 1 | 1 | 1 | 0 | 21 | 4 | |
| 2018-19 | แชมเปียนชิป | 4 | 0 | 2 | 0 | 2 | 0 | 8 | 0 | |
| 2019-20 | แชมเปียนชิป | 19 | 2 | 2 | 0 | 1 | 0 | 22 | 2 | |
| รวม | 59 | 6 | 8 | 2 | 4 | 0 | 71 | 8 | ||
| เมลเบิร์นวิกตอรี | 2020-21 | เอ-ลีก | 17 | 5 | - | - | 17 | 5 | ||
| เอสเทกลาล | 2021-22 | เพอร์เซียนกัลฟ์โปรลีก | 23 | 3 | 2 | 0 | - | 25 | 3 | |
| รวมตลอดอาชีพ | 269 | 64 | 23 | 5 | 17 | 4 | 292 | 73 | ||