1. ภาพรวม
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา แห่งเนเปิลส์และซิซิลี ทรงมีพระชนม์ชีพที่โดดเด่นในฐานะเจ้าหญิง ดัชเชส และสมเด็จพระราชินีแห่งซาร์ดิเนีย พระองค์ประสูติที่พระราชวังกาแซร์ตาในปี ค.ศ. 1779 ทรงเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 และพระราชินีมาเรีย คาโรลินา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา แห่งออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1807 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายคาร์โล เฟลิซ แห่งซาวอย และทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งเจนัว จนกระทั่งพระสวามีของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียในปี ค.ศ. 1821 ตลอดระยะเวลาที่ทรงเป็นสมเด็จพระราชินี พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการอุปถัมภ์ศิลปะและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ทัสคูลัม หลังจากพระสวามีสวรรคตในปี ค.ศ. 1831 พระองค์ทรงใช้พระชนม์ชีพช่วงปลายในสถานที่ต่างๆ เช่น ตูริน เนเปิลส์ และอาลีเย่ ก่อนจะเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1849 ที่ซาโวนา โดยไม่มีพระราชโอรสธิดา พระบรมศพของพระองค์ได้รับการฝังเคียงข้างพระสวามีที่ออตคอมบ์แอบบีย์
2. พระชนม์ชีพช่วงต้นและภูมิหลัง
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงมีพระชนม์ชีพในวัยเยาว์ภายใต้สภาพแวดล้อมของราชวงศ์ในเนเปิลส์และซิซิลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงได้รับการอบรมเลี้ยงดูและสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญกับพระบรมวงศานุวงศ์
2.1. การประสูติและพระชนม์ชีพในวัยเยาว์

เจ้าหญิงมารีอา คริสตินา ประสูติเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1779 ณ พระราชวังกาแซร์ตา เมืองกาแซร์ตา พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์ที่หกและพระราชธิดาพระองค์ที่สี่ของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งทูซิซิลี (ในขณะนั้นทรงเป็นพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 4 แห่งเนเปิลส์และที่ 3 แห่งซิซิลี) และพระราชินีมาเรีย คาโรลินา แห่งออสเตรีย ซึ่งทรงเป็นพระราชธิดาของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา แห่งออสเตรีย
2.2. ความสัมพันธ์ในครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดู
เจ้าหญิงมารีอา คริสตินา ทรงเป็นพระราชบุตรที่พระราชินีมาเรีย คาโรลินา พระราชชนนี โปรดปรานเป็นพิเศษ พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคินีฝาแฝดพระนามว่า มาเรีย คริสตินา อาเมเลีย ซึ่งเสด็จสวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1783 ขณะมีพระชนมายุเพียง 4 พรรษา การสูญเสียพระเชษฐภคินีฝาแฝดในช่วงวัยเยาว์นี้นับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์และสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมของราชวงศ์ในช่วงเวลานั้น
3. การอภิเษกสมรสและฐานะดัชเชสแห่งเจนัว
ชีวิตของเจ้าหญิงมารีอา คริสตินา ได้เปลี่ยนไปเมื่อทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายคาร์โล เฟลิซ แห่งซาวอย ซึ่งในเวลาต่อมาทรงเป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนีย พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งเจนัวในช่วงเวลาก่อนที่พระสวามีจะขึ้นครองราชย์
3.1. การอภิเษกสมรสกับเจ้าชายคาร์โล เฟลิซ
เจ้าหญิงมารีอา คริสตินา ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1807 ณ เมืองปาแลร์โมกับเจ้าชายคาร์โล เฟลิซ แห่งซาวอย ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ห้าของพระเจ้าวิตตอริโอ อเมเดโอที่ 3 แห่งซาร์ดิเนีย ในขณะนั้น เจ้าชายคาร์โล เฟลิซ ยังไม่เป็นที่คาดหมายว่าจะได้สืบราชบัลลังก์ เนื่องจากมีพระเชษฐาหลายพระองค์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระเชษฐาของพระองค์ไม่มีพระราชโอรสที่เป็นทายาทสืบราชบัลลังก์ และราชวงศ์ซาวอยได้ยึดถือกฎซาลลิกในการสืบราชสันตติวงศ์ ทำให้เจ้าชายคาร์โล เฟลิซ ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียเมื่อพระเชษฐาของพระองค์ คือ พระเจ้าวิตตอริโอ เอ็มมานูเอลที่ 1 ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1821
3.2. ดัชเชสแห่งเจนัว (ค.ศ. 1807-1821)
ก่อนที่พระสวามีของพระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียในปี ค.ศ. 1821 เจ้าหญิงมารีอา คริสตินา ทรงได้รับการเรียกขานว่า ดัชเชสแห่งเจนัว ตลอดระยะเวลา 14 ปีนี้ พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศและปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะดัชเชส โดยทรงใช้พระชนม์ชีพในราชสำนักและมีบทบาททางสังคมตามสมควรแก่ฐานะ
4. สมเด็จพระราชินีแห่งซาร์ดิเนีย (ค.ศ. 1821-1831)
ในฐานะสมเด็จพระราชินีแห่งซาร์ดิเนีย สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงการอุปถัมภ์การขุดค้นทางโบราณคดีที่สร้างคุณูปการอย่างมาก
4.1. พระตำหนักหลวงและการอุปถัมภ์ศิลปวัฒนธรรม
พระเจ้าคาร์โล เฟลิซและสมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงมีความสนพระทัยในศิลปะและศิลปินเป็นอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ทรงปรับปรุงพระตำหนักหลวงหลายแห่งให้เป็นที่ประทับที่สะดวกสบายและงดงาม ได้แก่ พระตำหนักหลวงในอาลีเย่ และวิลล่า รูฟิเนลลา ในฟราสกาติ ในระหว่างรัชสมัยของพระสวามี ทั้งสองพระองค์ยังคงประทับอยู่ที่ปาลัซโซ เกียบเลเซ่ (Palazzo Chiablese) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระสวามีของพระองค์เสด็จสวรรคตในเวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1831
4.2. การสนับสนุนการขุดค้นทางโบราณคดี
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสนับสนุนการขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญ ในปี ค.ศ. 1825 พระองค์ทรงมอบหมายให้นักโบราณคดี มาร์เกส ลุยจิ บิออนดี (Luigi Biondi, ค.ศ. 1776-1839) ดำเนินการขุดค้น ซึ่งนำไปสู่การค้นพบทัสคูลัม (Tusculum) อดีตเมืองโรมันโบราณ พระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่การขุดค้นนี้อย่างเต็มที่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1839 และ ค.ศ. 1840 สถาปนิกและนักโบราณคดี ลุยจิ คานินา (Luigi Canina, ค.ศ. 1795-1856) ได้รับการว่าจ้างจากราชวงศ์ให้ดำเนินการขุดค้นบริเวณโรงละครแห่งทัสคูลัมต่อไป ผลจากการขุดค้นนี้ได้ค้นพบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าจำนวนมาก ซึ่งต่อมาได้ถูกส่งไปเก็บรักษาที่ปราสาทอาลีเย่ในปีเยมอนเต ซึ่งเป็นสมบัติของดยุกแห่งซาวอย
5. พระชนม์ชีพช่วงปลายและการสวรรคต
หลังจากที่ทรงเป็นม่าย สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงใช้พระชนม์ชีพในช่วงปีสุดท้ายในหลายสถานที่ และเสด็จสวรรคตที่เมืองซาโวนา
5.1. การทรงเป็นม่ายและช่วงปีสุดท้าย
พระเจ้าคาร์โล เฟลิซ เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1831 หลังจากทรงครองราชย์เป็นเวลาสิบปี ทำให้สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงกลายเป็นหม้าย พระองค์ทรงใช้พระชนม์ชีพที่เหลืออยู่ที่ตูริน เนเปิลส์ อาลีเย่ และฟราสกาติ ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์เคยประทับในฐานะสมเด็จพระราชินี การย้ายที่ประทับเหล่านี้สะท้อนถึงความผูกพันของพระองค์กับอาณาจักรและราชวงศ์
5.2. การสวรรคตและการฝังพระศพ
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1849 ณ เมืองซาโวนา ในลิกูเรีย พระองค์ทรงได้รับการฝังพระศพเคียงข้างพระสวามีที่ออตคอมบ์แอบบีย์ (Hautecombe Abbey) ในแซ็ง-ปีแยร์-เดอ-กูร์ติลล์ ประเทศฝรั่งเศส อนึ่ง ทั้งสองพระองค์ไม่มีพระราชโอรสธิดาร่วมกัน
6. พระบรมราชตระกูล
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ที่สำคัญหลายสายในยุโรป ดังแสดงในตารางพระบรมราชตระกูลดังนี้:
ลำดับที่ | พระนาม | ความสัมพันธ์ |
---|---|---|
1 | มารีอา คริสตินา แห่งเนเปิลส์และซิซิลี | พระองค์เอง |
2 | พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งทูซิซิลี | พระราชชนก |
3 | มาเรีย คาโรลินา แห่งออสเตรีย | พระราชชนนี |
4 | พระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน | พระอัยกา (ฝ่ายพระราชชนก) |
5 | มาเรีย อามาเลีย แห่งซักโซนี | พระอัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนก) |
6 | จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ | พระอัยกา (ฝ่ายพระราชชนนี) |
7 | จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา | พระอัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนนี) |
8 | พระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปน | พระปัยกา (ฝ่ายพระราชชนกของพระราชชนก) |
9 | เอลีซาเบธ ฟาร์เนเซ | พระปัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนกของพระราชชนก) |
10 | ออกัสตัสที่ 3 แห่งโปแลนด์ | พระปัยกา (ฝ่ายพระราชชนนีของพระราชชนก) |
11 | มาเรีย โจเซฟา แห่งออสเตรีย | พระปัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนนีของพระราชชนก) |
12 | เลโอโปลด์ ดยุกแห่งลอร์เรน | พระปัยกา (ฝ่ายพระราชชนกของพระราชชนนี) |
13 | เอลิซาเบธ ชาร์ล็อตแห่งออร์เลออง | พระปัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนกของพระราชชนนี) |
14 | จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ | พระปัยกา (ฝ่ายพระราชชนนีของพระราชชนนี) |
15 | เอลิซาเบธ คริสตินา แห่งบรันสวิก | พระปัยยิกา (ฝ่ายพระราชชนนีของพระราชชนนี) |
7. มรดกและการประเมิน
สมเด็จพระราชินีมารีอา คริสตินา ทรงได้รับการจดจำในประวัติศาสตร์จากการเป็นพระมเหสีที่ทรงสนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรมอย่างจริงจัง พระองค์และพระสวามีทรงมีพระราชนิยมในงานศิลปะและให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพระตำหนักหลวงต่างๆ ให้เป็นที่ประทับที่สะดวกสบายและงดงามยิ่งขึ้น คุณูปการที่สำคัญที่สุดของพระองค์คือการอุปถัมภ์การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองทัสคูลัม ซึ่งนำไปสู่การค้นพบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าจำนวนมาก และเป็นการเน้นย้ำถึงความสนพระทัยในประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของอิตาลีโบราณ แม้ว่าพระองค์จะไม่มีพระราชโอรสธิดา แต่บทบาทของพระองค์ในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะและโบราณคดีได้ทิ้งมรดกอันยาวนานไว้ให้กับราชวงศ์ซาวอยและวงการโบราณคดีของอิตาลี ทำให้พระองค์เป็นที่จดจำในฐานะสมเด็จพระราชินีผู้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในยุคสมัยของพระองค์