1. Overview
มาร์ติน เบร์นาร์โด ลาซาร์เต อาร์โรสปีเด (เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2504) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอุรุกวัยที่เล่นในตำแหน่งกองหลัง และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลนาซิโอนาลในมอนเตวิเดโอ ตลอดอาชีพการเล่น 16 ปี เขาได้เล่นให้กับห้าสโมสรในอุรุกวัย รวมถึงนาซิโอนาล และมีช่วงเวลาสามปีครึ่งในสเปนกับเดปอร์ติโบ หลังจากเลิกเล่น ลาซาร์เตเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมในปี พ.ศ. 2539 และได้คุมทีมหลายสโมสรทั่วโลก รวมถึงการนำทีมต่างๆ คว้าแชมป์และเลื่อนชั้นในลีกระดับประเทศหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนาซิโอนาลและเรอัลโซซิเอดัดในสเปน ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทสำคัญของเขาในการพัฒนาวงการฟุตบอลในประเทศต่างๆ
2. Early life and background
ลาซาร์เตเกิดที่มอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย บิดาของเขาเป็นชาวสเปนที่อพยพมาจากแคว้นบาสก์ในสเปน ส่วนมารดาของเขาเป็นชาวอุรุกวัยที่มีเชื้อสายบาสก์เช่นกัน ภูมิหลังทางครอบครัวนี้สะท้อนถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่พบได้ทั่วไปในอุรุกวัย และอาจมีอิทธิพลต่อเส้นทางชีวิตและการทำงานของเขาในเวลาต่อมาทั้งในอุรุกวัยและสเปน
3. Playing career
มาร์ติน ลาซาร์เต เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรต่างๆ ในบ้านเกิดของเขาอย่างอุรุกวัย โดยเขาได้เล่นให้กับซี.เอ. เรนติสตัส (สองครั้ง), เซนตรัล เอสปาญอล, แรมพลา จูเนียร์ส (สองครั้ง), สโมสรฟุตบอลนาซิโอนาล และเดเฟนซอร์ สปอร์ติง ในระหว่างการเล่นกับสโมสรฟุตบอลนาซิโอนาล เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยคว้าแชมป์สำคัญได้ถึงสี่รายการ รวมถึงโกปาลิเบร์ตาโดเรส 1988 และอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1988 ในปีเดียวกัน
หลังจากประสบความสำเร็จในอุรุกวัย ลาซาร์เตได้ย้ายไปเล่นในต่างประเทศ โดยเฉพาะกับเดปอร์ติโบ เด ลา โกรุญญา ในสเปนเป็นเวลาสี่ฤดูกาล ในฤดูกาลเซกุนดาดิบิซิออน 1990-91 เขาได้ช่วยทีมจากกาลิเซียแห่งนี้กลับคืนสู่ลีกสูงสุดของสเปน และในฤดูกาลถัดมา (ฤดูกาลลาลิกา 1991-92) เขาได้ลงสนามครบ 90 นาทีถึง 35 นัด ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นจากลีกสูงสุด นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่เป็นกัปตันในหลายๆ เกม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของเขาในทีม อาชีพนักฟุตบอลของลาซาร์เตกินเวลาทั้งหมด 16 ปี ก่อนที่เขาจะหันมาทำงานในสายการจัดการทีม
4. Coaching career
เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมของมาร์ติน ลาซาร์เต เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาอายุ 35 ปี กับสโมสรแรมพลา จูเนียร์ส ซึ่งเขาพาทีมจบอันดับสองในรายการปริเมรา ดิวิซิออน ช่วงเคลอุสุรา ฤดูกาล 1996 ในช่วงหลายปีถัดมา เขาได้คุมทีมหลายสโมสร รวมถึงการย้ายไปคุมทีมอัล วะซล์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อปี พ.ศ. 2545 ซึ่งในขณะนั้นทีมอยู่ในอันดับสุดท้าย แต่ลาซาร์เตก็สามารถพาทีมจบฤดูกาลที่อันดับห้าได้
ในปี พ.ศ. 2546 ลาซาร์เตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของริเวอร์เพลต (มอนเตวิเดโอ) และเขาสามารถพาทีมเลื่อนชั้นจากเซกุนดา ดิวิซิออนได้ในฤดูกาลที่สองของเขา จากนั้น เขาได้คุมทีมนาซิโอนาลในอุรุกวัย ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกสองสมัยติดต่อกัน แม้ว่าหลังจากจบฤดูกาลอาเปร์ตูรา 2006-07 ที่อันดับห้า สัญญาของเขาก็ไม่ได้รับการต่ออายุและเขาได้จากทีมไป ก่อนที่จะมีช่วงเวลาสั้นๆ ในประเทศโคลอมเบียกับสโมสรมิโยนาริออส
หลังจากคุมทีมดานูบิโอในประเทศบ้านเกิดได้หนึ่งฤดูกาล ลาซาร์เตได้กลับไปยังประเทศสเปน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาเขา และได้เซ็นสัญญาเป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซซิเอดัด ในเซกุนดาดิบิซิออน ซึ่งในฤดูกาลแรกของเขา (เซกุนดาดิบิซิออน 2009-10) เขาสามารถพาทีมกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปสามปี ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 เขาได้ขยายสัญญาไปจนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลลาลิกา 2010-11 แม้ว่าเรอัล โซซิเอดัดจะรอดพ้นจากการตกชั้นได้ในนัดสุดท้าย และเคยเข้าใกล้พื้นที่สำหรับยูฟ่า ยูโรปาลีกในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล ลาซาร์เตก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ลาซาร์เตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของอูนิเบร์ซิแดด เด ชิเล ในประเทศชิลี และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559 เขาก็ได้กลับมาคุมทีมนาซิโอนาลอีกครั้ง
ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 ลาซาร์เตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของอัล อะฮ์ลีในอียิปต์ พรีเมียร์ลีก ซึ่งในฤดูกาลแรกของเขา (อียิปต์พรีเมียร์ลีก 2018-19) เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 41 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังจากที่ทีมตกรอบอียิปต์ คัพด้วยน้ำมือของพีระมิดส์ เอฟซี
ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 สหพันธ์ฟุตบอลแห่งชิลีได้ประกาศแต่งตั้งลาซาร์เตเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของทีมชาติชิลี แต่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565 มาร์ติน ลาซาร์เต ได้ตัดสินใจไม่คุมทีมชาติชิลีต่อไปหลังจากที่ทีมไม่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2022ที่ประเทศกาตาร์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เขากลับมาคุมทีมสโมสรฟุตบอลนาซิโอนาลเป็นครั้งที่สาม
5. Managerial statistics
นี่คือสถิติการคุมทีมของมาร์ติน ลาซาร์เต แยกตามสโมสรและระยะเวลาการคุมทีม โดยสถิติเหล่านี้ได้รับการอัปเดตเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
ทีม | สัญชาติ | ตั้งแต่ | จนถึง | สถิติ | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
P | W | D | L | Win % | ||||
รามพลา จูเนียร์ส | อุรุกวัย | 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2540 | 44 | 13 | 16 | 15 | 29.55% |
เรนติสตัส | อุรุกวัย | 1 มกราคม พ.ศ. 2541 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 | 43 | 13 | 15 | 15 | 30.23% |
เบยา วิสตา | อุรุกวัย | 18 ตุลาคม พ.ศ. 2543 | 21 สิงหาคม พ.ศ. 2544 | 48 | 16 | 11 | 21 | 33.33% |
อัล วะซล์ | สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 | 1 เมษายน พ.ศ. 2546 | 10 | 3 | 4 | 3 | 30.00% |
ริเวอร์เพลต มอนเตวิเดโอ | อุรุกวัย | 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547 | 50 | 34 | 7 | 9 | 68.00% |
นาซิโอนาล | อุรุกวัย | 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 | 94 | 52 | 24 | 18 | 55.32% |
มิโยนาริออส | โคลอมเบีย | 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 | 3 กันยายน พ.ศ. 2550 | 9 | 2 | 1 | 6 | 22.22% |
ดานูบิโอ | อุรุกวัย | 22 เมษายน พ.ศ. 2551 | 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 | 50 | 19 | 9 | 22 | 38.00% |
เรอัล โซซิเอดัด | สเปน | 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 | 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 | 83 | 34 | 17 | 32 | 40.96% |
อูนิเบร์ซิแดด กาโตลิกา | ชิลี | 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555 | 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556 | 93 | 50 | 21 | 22 | 53.76% |
อูนิเบร์ซิแดด เด ชิเล | ชิลี | 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 | 74 | 39 | 13 | 22 | 52.70% |
นาซิโอนาล | อุรุกวัย | 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559 | 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 | 61 | 40 | 8 | 13 | 65.57% |
อัล อะฮ์ลี | อียิปต์ | 1 มกราคม พ.ศ. 2561 | 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562 | 40 | 27 | 4 | 9 | 67.50% |
ทีมชาติชิลี | ชิลี | 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 | 1 เมษายน พ.ศ. 2565 | 22 | 7 | 6 | 9 | 31.82% |
นาซิโอนาล | อุรุกวัย | 17 มิถุนายน พ.ศ. 2567 | ปัจจุบัน | 33 | 22 | 8 | 3 | 66.67% |
รวมทั้งหมด | 753 | 370 | 164 | 219 | 49.14% |
6. Honours
มาร์ติน ลาซาร์เต ประสบความสำเร็จมากมายตลอดอาชีพทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม ดังนี้
6.1. As a player
นาซิโอนาล
- โกปาลิเบร์ตาโดเรส: พ.ศ. 2531
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ: พ.ศ. 2531
6.2. As a manager
ริเวอร์เพลต มอนเตวิเดโอ
- อุรุกวัยเซกุนดาดิบิซิออน: พ.ศ. 2547
นาซิโอนาล
- อุรุกวัยปริเมราดิบิซิออน: พ.ศ. 2548, พ.ศ. 2548-49, พ.ศ. 2559, พ.ศ. 2560 (อาเปร์ตูรา), พ.ศ. 2567 (อาเปร์ตูรา)
- ซูเปร์โกปาอุรุกวัย: พ.ศ. 2568
เรอัล โซซิเอดัด
- เซกุนดาดิบิซิออน: พ.ศ. 2552-53
อูนิเบร์ซิแดด เด ชิเล
- ชิลีปริเมราดิบิซิออน: พ.ศ. 2557 (อาเปร์ตูรา)
- โกปาชิเล: พ.ศ. 2558
- ซูเปร์โกปาเดชิเล: พ.ศ. 2558
อัล อะฮ์ลี
- อียิปต์พรีเมียร์ลีก: พ.ศ. 2561-62
7. Legacy and reception
มาร์ติน ลาซาร์เต ได้ทิ้งผลกระทบสำคัญไว้ในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความสามารถในการนำทีมที่ประสบปัญหาให้กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง มุมมองต่อเขาในฐานะผู้จัดการทีมมักถูกมองว่ามีความสามารถในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและนำทีมสู่การเลื่อนชั้นหรือการคว้าแชมป์ในลีกต่างๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ
ในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา ลาซาร์เตแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางยุทธวิธีและการจัดการทีมที่เน้นการสร้างความก้าวหน้า เขาประสบความสำเร็จในการพาทีมริเวอร์เพลต (มอนเตวิเดโอ)เลื่อนชั้นจากดิวิชั่นสอง และที่สำคัญกว่านั้นคือการพาทีมเรอัลโซซิเอดัดกลับสู่ลีกสูงสุดของสเปน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ การคว้าแชมป์ลีกกับนาซิโอนาลหลายครั้ง และการพาทีมอัล อะฮ์ลีคว้าแชมป์ลีกในอียิปต์ ยิ่งตอกย้ำถึงความสามารถของเขาในการนำทีมประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม อาชีพของเขาก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย ลาซาร์เตเคยถูกปลดออกจากตำแหน่งแม้จะพาทีมเรอัล โซซิเอดัดรอดพ้นจากการตกชั้น ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันและความคาดหวังที่สูงในวงการฟุตบอลอาชีพ รวมถึงการไม่สามารถพาทีมชาติชิลีไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ก็เป็นจุดที่ได้รับความวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถึงกระนั้น การที่สโมสรอย่างนาซิโอนาลตัดสินใจดึงเขากลับมาคุมทีมหลายครั้ง ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นในฝีมือและประสบการณ์ของเขา มรดกที่ลาซาร์เตทิ้งไว้จึงเป็นภาพของผู้จัดการทีมที่มุ่งมั่น สร้างสรรค์ และสามารถขับเคลื่อนทีมไปสู่เป้าหมายได้ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความผันผวนต่างๆ ตลอดเส้นทางอาชีพของเขาในฐานะผู้นำทีมฟุตบอล
q=Montevideo, Uruguay|position=left