1. Overview

มอร์ริส แฮลเล (Morris Halleมอร์ริส ˈแฮลลีภาษาอังกฤษ; เดิมชื่อ มอร์ริส พิงโควิทซ์ Moriss Pinkovicsภาษาลัตเวีย) (23 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 - 2 เมษายน ค.ศ. 2018) เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายลัตเวีย ผู้เป็นศาสตราจารย์และต่อมาเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านภาษาศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เขามีชื่อเสียงจากงานบุกเบิกในด้านสัทวิทยาเชิงกำเนิด โดยได้รับการยกย่องจากโนม ชอมสกีว่าเป็น "บิดาแห่งสัทวิทยาสมัยใหม่" แฮลเลมีส่วนร่วมสำคัญในการร่วมเขียนบทความ "On Accent and Juncture in English" ในปี ค.ศ. 1956 ร่วมกับโนม ชอมสกี และเฟร็ด ลูคอฟ และผลงานสำคัญยิ่งคือหนังสือ The Sound Pattern of English ในปี ค.ศ. 1968 ร่วมกับชอมสกี เขายังเป็นผู้ร่วมเขียนทฤษฎีอัขราวิภาคเชิงกำเนิด (generative metrics) ยุคแรกสุด และได้พัฒนากรอบการสร้างคำแบบกระจาย (Distributed Morphology framework) ร่วมกับอเล็ก มารานตซ์ มอร์ริส แฮลเลเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อสาขาภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างและพัฒนาภาควิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่ที่ MIT
2. ชีวิตและภูมิหลัง
มอร์ริส แฮลเลเป็นนักภาษาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่มีภูมิหลังที่หลากหลาย ซึ่งหล่อหลอมเส้นทางอาชีพและมุมมองทางวิชาการของเขา
2.1. วัยเด็กและการศึกษา
มอร์ริส แฮลเล หรือชื่อเดิม มอร์ริส พิงโควิทซ์ เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ที่เมืองลีปายา ลัตเวีย ในปี ค.ศ. 1929 เขาย้ายไปกับครอบครัวชาวยิวของเขาที่เมืองรีกา และในปี ค.ศ. 1940 ได้เดินทางมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกหนีการคุกคามของนาซี ที่สหรัฐอเมริกา เขาได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมจอร์จวอชิงตัน ในช่วงปี ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1943 แฮลเลศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่วิทยาลัยเมืองนิวยอร์ก หลังจากนั้นเขาเข้ารับราชการในกองทัพบกสหรัฐในปี ค.ศ. 1943 และปลดประจำการในปี ค.ศ. 1946 ในปีเดียวกันนั้น เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเขาได้รับปริญญาโทด้านภาษาศาสตร์ในปี ค.ศ. 1948 จากนั้นเขาก็ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียภายใต้การดูแลของโรมัน ยาค็อบสัน และได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี ค.ศ. 1955
2.2. อาชีพที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์
ในปี ค.ศ. 1951 มอร์ริส แฮลเลได้เข้าร่วมเป็นศาสตราจารย์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งเขาร่วมกับโนม ชอมสกี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่ที่นั่น แฮลเลดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่ MIT เป็นเวลาหลายทศวรรษ และแม้จะเกษียณอายุจาก MIT ในปี ค.ศ. 1996 เขาก็ยังคงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการวิจัยและตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการ เขาสอนและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักภาษาศาสตร์จำนวนมากที่ MIT ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาสาขาวิชาสัทวิทยาและสาขาอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
3. ผลงานสำคัญด้านภาษาศาสตร์
มอร์ริส แฮลเลมีผลงานทางทฤษฎีและกิจกรรมทางวิชาการที่สำคัญมากมาย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อสาขาภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบุกเบิกและพัฒนาแนวคิดหลักในสัทวิทยา
3.1. สัทวิทยาเชิงกำเนิด
มอร์ริส แฮลเลเป็นผู้บุกเบิกและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนารากฐานของสัทวิทยาเชิงกำเนิด ซึ่งเป็นกระแสความคิดที่ปฏิวัติวงการในภาษาศาสตร์ เขาทำงานร่วมกับโนม ชอมสกีและเฟร็ด ลูคอฟ ในการร่วมเขียนบทความ "On Accent and Juncture in English" ในปี ค.ศ. 1956 ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานแรก ๆ ที่สำรวจหลักการของสัทวิทยาเชิงกำเนิดอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาในสาขานี้คือการร่วมเขียนหนังสือ The Sound Pattern of English (SPE) ในปี ค.ศ. 1968 ร่วมกับชอมสกี หนังสือเล่มนี้ได้วางรากฐานทางทฤษฎีและวิธีการวิเคราะห์สำหรับสัทวิทยาเชิงกำเนิด โดยเสนอแนวทางที่เป็นทางการในการอธิบายระบบเสียงของภาษา หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นตำราสำคัญและมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการศึกษาสัทวิทยาและสัทวิทยาเชิงกำเนิดเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่งผลให้เขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "บิดาแห่งสัทวิทยาสมัยใหม่" แฮลเลในฐานะศาสตราจารย์ด้านสัทวิทยาที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ยังได้สร้างนักสัทวิทยาอีกจำนวนมากให้แก่สาขาวิชานี้
3.2. สาขาการวิจัยอื่น ๆ
นอกเหนือจากผลงานบุกเบิกในสัทวิทยาเชิงกำเนิดแล้ว มอร์ริส แฮลเลยังมีความสนใจและมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญในสาขาการวิจัยอื่น ๆ อีกหลายแขนง รวมถึง:
- ทฤษฎีคุณสมบัติเฉพาะ (Distinctive Feature Theory) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าหน่วยเสียงพื้นฐานของภาษา (phonemes) สามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้ชุดของคุณสมบัติเฉพาะที่จำกัดและเป็นสากล
- การจัดลำดับกฎ (Rule Ordering) ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการลำดับการใช้กฎทางสัทวิทยาในการวิเคราะห์โครงสร้างเสียงของภาษา
- สัทสัมพันธ์ (Stress) ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับน้ำเสียงหรือน้ำหนักที่ให้แก่พยางค์ในคำหรือประโยค
- อัขราวิภาคเชิงกำเนิด (Generative Metrics) แฮลเลเป็นผู้ร่วมเขียนทฤษฎีอัขราวิภาคเชิงกำเนิดในยุคแรก ๆ ร่วมกับแซมูเอล เจย์ คีเซอร์ ซึ่งสำรวจโครงสร้างทางภาษาของบทกวี
- ทฤษฎีลำดับชั้นคุณสมบัติ (Feature Hierarchy Theory)
- กรอบการสร้างคำแบบกระจาย (Distributed Morphology Framework) ซึ่งเขาได้พัฒนาร่วมกับอเล็ก มารานตซ์ โดยเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจว่าคำศัพท์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรจากหน่วยที่เล็กกว่าในไวยากรณ์
3.3. งานเขียนสำคัญ
มอร์ริส แฮลเลได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการที่สำคัญหลายชิ้นตลอดอาชีพของเขา ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการพัฒนาทางทฤษฎีและอิทธิพลของเขาในสาขาภาษาศาสตร์:
- "On Accent and Juncture in English" (ค.ศ. 1956) ร่วมกับโนม ชอมสกี และเฟร็ด ลูคอฟ
- The Sound Pattern of English (ค.ศ. 1968) ร่วมกับโนม ชอมสกี ซึ่งเป็นหนังสือที่วางรากฐานของสัทวิทยาเชิงกำเนิดและยังคงเป็นตำราสำคัญ
- ในปี ค.ศ. 2002 มีการรวบรวมงานเขียนของเขาไว้ในหนังสือชื่อ From Memory to Speech and Back: Papers on Phonetics and Phonology 1954-2002 ซึ่งจัดพิมพ์โดย Mouton de Gruyter แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของเขาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ถึง ค.ศ. 2002
4. ชีวิตส่วนตัว
มอร์ริส แฮลเลสมรสกับโรซามอนด์ แธกซ์เตอร์ แฮลเล (นามสกุลเดิม สตรอง) ซึ่งเป็นจิตรกร ศิลปิน และนักกิจกรรม ทั้งคู่แต่งงานกันเป็นเวลา 56 ปี จนกระทั่งโรซามอนด์เสียชีวิตในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 พวกเขามีบุตรชายด้วยกันสามคน ได้แก่ เดวิด จอห์น และทิโมธี มอร์ริส แฮลเลพำนักอยู่ในเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ตลอดชีวิตของเขา เขามีความสามารถในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วในหลายภาษา ได้แก่ ภาษาเยอรมัน ภาษายิดดิช ภาษาลัตเวีย ภาษารัสเซีย ภาษาฮีบรู และภาษาอังกฤษ
5. รางวัลและเกียรติยศ
เพื่อเป็นการยกย่องผลงานอันสำคัญของเขาในด้านภาษาศาสตร์ มอร์ริส แฮลเลได้รับเกียรติและตำแหน่งทางวิชาการมากมายตลอดอาชีพของเขา:
- ได้รับทุนกุกเกนไฮม์ในปี ค.ศ. 1960
- ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมภาษาศาสตร์แห่งอเมริกาในปี ค.ศ. 1974
- เป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Arts and Sciences)
- เป็นสมาชิกของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Sciences)
6. การเสียชีวิต
มอร์ริส แฮลเลเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2018 ด้วยวัย 94 ปี ที่เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์
7. มรดกและอิทธิพล
มอร์ริส แฮลเลได้ทิ้งมรดกทางวิชาการอันลึกซึ้งไว้ในสาขาภาษาศาสตร์ เขายังคงได้รับการจดจำในฐานะ "บิดาแห่งสัทวิทยาแผนใหม่" โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการร่วมเขียน The Sound Pattern of English ร่วมกับโนม ชอมสกี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสัทวิทยาเชิงกำเนิด ผลงานของเขาได้เปลี่ยนแปลงวิธีการศึกษาสัทวิทยาและเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักวิชาการรุ่นต่อ ๆ มาจำนวนมาก เขายังมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งและพัฒนาภาควิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการวิจัยภาษาศาสตร์เชิงทฤษฎี อิทธิพลของเขาแผ่ขยายไปทั่วโลก ผ่านทางผลงานตีพิมพ์ การสอน และการเป็นที่ปรึกษาให้กับนักศึกษาที่ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำในสาขาภาษาศาสตร์หลายคน ทำให้แนวคิดและวิธีการวิเคราะห์ของเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาษาศาสตร์สมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน