1. ภาพรวม
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ (Fazl-e-Haq Khairabadi) (ค.ศ. 1796/1797 - 19 สิงหาคม ค.ศ. 1861) เป็นนักวิชาการอิสลามผู้มีชื่อเสียงจาก อินเดีย ท่านเป็นทั้ง มุฟตี ผู้เชี่ยวชาญสำนักคิด ฮะนะฟี นักวิชาการด้านศาสนศาสตร์กะลาม นัก เทววิทยาสาย มาตูรีดี นัก ตรรกะ นัก ปรัชญา และ กวี ผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากบทบาททางวิชาการศาสนาแล้ว ท่านยังเป็นนักเคลื่อนไหวคนสำคัญใน ขบวนการเรียกร้องเอกราชของอินเดีย และได้รณรงค์ต่อต้านการปกครองแบบ อาณานิคม ของ จักรวรรดิอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 1857 ท่านได้ออก ฟัตวา หรือคำวินิจฉัยทางศาสนาในช่วงแรกๆ เพื่อสนับสนุนการทำ ญิฮาด ทางทหารต่อต้านการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม การก่อกบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 ท่านมีผลงานเขียนที่สำคัญ อาทิ หนังสือ ตัห์กี๊ก อัล-ฟัตวา ฟี อับตาล อัล-ตัฆวา (Tahqeeq al-Fatwa Fi Abtal al-Taghwa) ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อโต้แย้งแนวคิดของ ชาห์ อิสมาอิล เดห์ลวี (Shah Ismail Dehlvi) และหนังสือ อัล-เซาระห์ อัล-ฮินดียะห์ (al-Thawra al-Hindiyya)
2. ชีวิต
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิมีชีวิตที่อุทิศให้กับการศึกษาศาสนา การสอน และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย ท่านเริ่มสอนตั้งแต่อายุยังน้อยและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในวงการศาสนาของอาณาจักรมุคัล
2.1. การเกิดและภูมิหลัง
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ เกิดในปี ค.ศ. 1796 หรือ 1797 ในครอบครัว มุสลิม ชาวอินเดีย ณ เมือง คัยรอบาด (Khairabad) ซึ่งตั้งอยู่ในเขต สิตาปุระ (Sitapur) บิดาของท่านคือ อิหม่าม ฟัซล์-เอะ-อิมาน (Imam Fazl-e-Iman) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น ซัดร์ อัล-ซัดูร์ (Sadr al-Sadur) ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของ มุคัล ในกิจการศาสนา
2.2. การศึกษาและอาชีพช่วงต้น
ท่านแสดงพรสวรรค์และความสามารถในการศึกษาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเป็นครูสอนตั้งแต่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ด้วยความรู้ความสามารถที่โดดเด่น ในปี ค.ศ. 1828 ท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มุฟตี ในกรมกอฎออ์ (Department of Qaza) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการตัดสินทางศาสนาและกฎหมาย
3. ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการและศาสนา
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ เป็นนักวิชาการผู้ทรงอิทธิพลในหลายสาขา ท่านมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางเทววิทยาและนิติศาสตร์ของอิสลาม รวมถึงการเป็นนักตรรกะ นักปรัชญา และนักวรรณคดี
3.1. เทววิทยาและนิติศาสตร์
ท่านเป็นผู้ยึดมั่นในสำนักคิด ฮะนะฟี ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักกฎหมายหลักของศาสนาอิสลาม และเป็นนักเทววิทยาของสำนัก มาตูรีดี ในด้าน เทววิทยาอิสลาม นอกจากนี้ ท่านยังเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านวรรณกรรม โดยเฉพาะใน ภาษาอูรดู ภาษาอาหรับ และ ภาษาเปอร์เซีย ท่านประพันธ์บทกวีภาษาอาหรับไว้มากกว่า 400 บท และยังเป็นผู้แก้ไข กวีนิพนธ์ (diwan) ฉบับแรกของ เมียร์ซา กอลิบ (Mirza Ghalib) ซึ่งเป็นกวีชื่อดังตามคำขอของเขาด้วย

ด้วยความรู้ความสามารถอันลึกซึ้งและรอบด้าน ท่านจึงได้รับสมญานามว่า "อัลลามาห์" (Allamah) ซึ่งหมายถึงผู้รอบรู้ และต่อมายังได้รับการยกย่องในฐานะนัก ซูฟี ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านยังถูกเรียกว่า "อิหม่ามแห่งตรรกะ ปรัชญา และวรรณกรรม" ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของท่านในหลายแขนงวิชา ท่านได้รับการยอมรับจากนักวิชาการว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการออก ฟัตวา หรือคำวินิจฉัยทางศาสนาต่างๆ ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมและมีความชาญฉลาดเป็นเลิศ มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับบทสนทนาอันชาญฉลาดและคารมคมคายของท่านกับเมียร์ซา กอลิบ และกวี นักเขียน รวมถึงปัญญาชนร่วมสมัยท่านอื่นๆ นอกจากนี้ ท่านยังได้ร่วมกับบุตรชายของท่าน คือ อับดุล อัล-ฮัก คัยรอบาดิ (Abdul al-Haq Khairabadi) ก่อตั้ง มาดราซะห์ (Madrasa) คัยรอบาดิ ขึ้นทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ผลิตนักวิชาการผู้มีความรู้มากมาย
3.2. การโต้แย้งชาห์ อิสมาอิล เดห์ลวี
ในเส้นทางอาชีพของท่าน ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ได้เขียนหนังสือและบทความจำนวนมากเพื่อโต้แย้งแนวคิดทางเทววิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดค้านแนวคิดของ ชาห์ อิสมาอิล เดห์ลวี หนึ่งในนักวิชาการศาสนาที่มีอิทธิพลในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1825 คัยรอบาดิได้ออกฟัตวาต่อต้านอิสมาอิล เดห์ลวี สำหรับหลักคำสอนของเขาที่เรียกว่า อิมกาน อัล-คิด์บ (Imkan al-Kidhb) ซึ่งอ้างว่า อัลลอฮ์ (พระเจ้า) มีความสามารถที่จะทรงโกหกได้ การโต้แย้งนี้ปรากฏในผลงานของท่านที่ชื่อว่า ตัห์กี๊ก อัล-ฟัตวา ฟี อับตาล อัล-ตัฆวา (Taḥqīqulfatvá fī ibtāl al-tughvá) ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อหักล้างหนังสือ ตักวิยาต อัล-อีมาน (Taqwiyat al-Iman) ของอิสมาอิล เดห์ลวี นอกจากนี้ ท่านยังโต้แย้งหลักคำสอน อิมกาน อัล-นาซิร (Imkan al-Nazir) ที่เชื่อว่าอัลลอฮ์มีความสามารถที่จะสร้างศาสดาเพิ่มเติมจาก มุฮัมมัด หรือศาสดาที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกับมุฮัมมัดได้
ท่านอัลลามาห์ ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ได้หักล้างทฤษฎีเหล่านี้และยืนยันว่าตามหลัก อัลกุรอาน และ หะดีษ แล้ว มุฮัมมัดคือศาสดาท่านสุดท้าย และจะไม่มีศาสดาหรือ "ผู้สื่อสาร" ท่านอื่นอีกหลังจากท่าน การเชื่อว่าจะมีมุฮัมมัดอีกคนหนึ่งจะเป็นการบ่งชี้ว่าอัลลอฮ์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ไม่ตรงกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งหมายถึงว่าอัลลอฮ์ได้ทรงโกหก การโกหกเป็นความบกพร่อง และเป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮ์จะมีความบกพร่องใดๆ
3.3. ฟัตวาต่อต้านวะฮาบิยะห์
ตลอดชีวิตการทำงานของท่าน ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ได้เขียน มัสนะวี (Masnavis) หลายชิ้นเพื่อต่อต้านหลักคำสอนของลัทธิ วะฮาบิยะห์ (Wahhabism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็น อิมกาน อัล-คิด์บ ที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับโดย รอชีด อะห์มัด กังโกฮี (Rashid Ahmad Gangohi) ผู้ก่อตั้ง ดารุล อูลูม เดโอบันด์ (Darul Uloom Deoband) ซึ่งกังโกฮีได้ระบุว่าอัลลอฮ์มีความสามารถที่จะโกหกได้ คัยรอบาดิได้ยืนกรานที่จะหักล้างทฤษฎีเหล่านี้ โดยอิงหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของหลัก เอกเทวนิยม ในศาสนาอิสลาม
4. บทบาทในขบวนการปลดแอกอินเดีย
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ไม่เพียงแต่เป็นนักวิชาการศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่สำคัญในประวัติศาสตร์อินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การปฏิวัติอินเดีย ค.ศ. 1857
4.1. การต่อต้านการปกครองของอังกฤษ
ในฐานะนักเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องเอกราชของอินเดีย ท่านได้รณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อต่อต้านการปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ ท่านได้จัดการประชุมลับหลายครั้งกับจักรพรรดิ บาฮาดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ (Bahadur Shah Zafar) ซึ่งเป็นจักรพรรดิมุคัลองค์สุดท้าย การประชุมเหล่านี้ดำเนินไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1857 โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานงานและวางแผนการต่อต้านอังกฤษ
4.2. การปฏิวัติปี 1857 และฟัตวา
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1857 หลังจากที่นายพล บักต์ ข่าน (Bakht Khan) พร้อมกองทัพประมาณ 14,000 นายเดินทางถึง เดลี จาก บาเรลลี (Bareilly) ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ได้กล่าวสุนทรพจน์ใน ละหมาดวันศุกร์ ซึ่งมีนักวิชาการมุสลิมจำนวนมากเข้าร่วม และได้ออกฟัตวาเพื่อสนับสนุนการทำญิฮาดต่อต้านรัฐบาลอาณานิคม ฟัตวาฉบับนี้ได้รับการลงนามโดยนักวิชาการสำคัญหลายท่าน ได้แก่ ซัดรูดดิน อะซุร์ดา (Sadruddin Azurda), อับดุล กอดีร (Abdul Qadir), ไฟซุลลอฮ์ เดฮัลวี (Faizullah Dehalvi), ไฟซ อะห์มัด บาดายูนิ (Faiz Ahmed Badayuni), วาซีร ข่าน (Wazir Khan) และ ซัยยิด มูบารัก ชาห์ แรมปุรี (Syed Mubarak Shah Rampuri) ฟัตวาฉบับนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมในการก่อกบฏปี ค.ศ. 1857 อย่างกว้างขวาง ภายหลังการออกฟัตวาของคัยรอบาดิ ทางการอังกฤษได้ระดมกำลังทหารกว่า 90,000 นายรอบๆ กรุงเดลี เพื่อปกป้องผลประโยชน์และยับยั้งการแพร่กระจายของญิฮาด หนึ่งในสาเหตุหลักของการก่อสงครามครั้งนี้คือความกลัวในหมู่ประชาชนว่ารัฐบาลคริสเตียนของอังกฤษจะทำลายศาสนาของพวกเขาและเปลี่ยนชาวอินเดียให้มานับถือศาสนาคริสต์
4.3. การจับกุม การพิจารณาคดี และการเนรเทศ
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ถูกเจ้าหน้าที่อังกฤษจับกุมเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1859 ที่เมืองคัยรอบาด โดยถูกกล่าวหาว่ายุยงให้เกิดความรุนแรง ท่านถูกนำตัวขึ้นศาลและพบว่ามีความผิดในข้อหายุยงให้เกิดการฆาตกรรมและมีบทบาทในการก่อกบฏ เจ้าหน้าที่อังกฤษพิจารณาว่าท่านเป็นผู้มี "สติปัญญาและความเฉียบแหลมที่เหนือธรรมดา" และควรถูกจัดว่าเป็น "ภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อการคงอยู่ของอังกฤษในอินเดีย" จึงต้องถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินใหญ่ของอินเดีย ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังการก่อกบฏ ชักชวนมวลชนให้ลุกฮือต่อต้านอำนาจของบริษัทอินเดียตะวันออก รณรงค์และกระตุ้นให้ผู้คนเข้าร่วมการกบฏโดยเรียกว่าเป็นสงครามอิสรภาพ และออกฟัตวาที่ยุยงให้เกิดความรุนแรงและกล่าวสุนทรพจน์ที่ยั่วยุ
ท่านเลือกที่จะว่าความให้ตนเองและได้แก้ต่างคดีโดยใช้ข้อโต้แย้งและวิธีการที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง จนกระทั่งผู้พิพากษาเตรียมที่จะเขียนคำตัดสินให้ท่านพ้นผิด แต่แล้วท่านก็สารภาพว่าได้ออกฟัตวาจริง โดยประกาศว่าท่านไม่สามารถโกหกได้ ผลคือท่านถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตที่คุก กาลาปานี (Kalapani) ซึ่งตั้งอยู่ใน หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ (Andaman and Nicobar Islands) และทรัพย์สินของท่านก็ถูกริบโดยผู้ตรวจการศาลของแคว้น อโยธยา (Awadh) ท่านเดินทางถึงเกาะอันดามันเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1859 โดยเรือกลไฟ ไฟร์ควีน (Fire Queen) ท่านยังคงถูกคุมขังอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1861
5. งานเขียนและสิ่งพิมพ์
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ เป็นนักเขียนและนักวรรณคดีที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย ซึ่งสะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในศาสนาอิสลาม ปรัชญา และเหตุการณ์ร่วมสมัย
5.1. ผลงานหลัก
ผลงานเขียนที่สำคัญของท่าน ได้แก่:
- ตัห์กี๊ก อัล-ฟัตวา ฟี อับตาล อัล-ตัฆวา (Tahqeeq al-Fatwa Fi Abtal al-Taghwa): เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อหักล้างหนังสือ ตักวิยาต อัล-อีมาน (Taqwiyat al-Iman) ของ ชาห์ อิสมาอิล เดห์ลวี โดยเฉพาะประเด็นทางเทววิทยาเรื่อง อิมกาน อัล-คิด์บ (ความเป็นไปได้ที่อัลลอฮ์จะทรงโกหก) และ อิมกาน อัล-นาซิร (ความเป็นไปได้ที่จะมีศาสดาอื่นหลังมุฮัมมัด)
- อัล-เซาระห์ อัล-ฮินดียะห์ (al-Thawra al-Hindiyya): หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ริซาละห์ อัล-เซาระห์ อัล-ฮินดียะห์ (Risala al-Thawra al-Hindiyya) เขียนด้วยภาษาอาหรับ เป็นงานวิเคราะห์และบันทึกเหตุการณ์สงครามและการกบฏในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งถือเป็นหนังสือเล่มแรกที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญนี้
- อัล-ฮิดายะห์ อัล-ซัยยิดียะห์ (al-Hidayah al-Sayyidiyya)
- อัล-เราดะฮ์ อัล-มาจูด : มัสละฮี วะฮ์ดัต อัล-วูจูด กี บุลันด์ ปายะฮ์ ตัคคีก (al-Raudh al-Majud : Maslahi Wahdat al-Wujud Ki Buland Payah Takhliq)
- อัล-ฮะชียะห์ ลิล-เมาลาวี ฟัซล์ เอะ ฮัก คัยรอบาดิ ʻอะลา ชัรฮ์ อัล-ซะลาม ลิล-กอฎี มูบารัก (al-Ḥashiyya lil-Mawlawi Fazl e Haq Khairabadi ʻala Sharh al-Salam lil-Qadi Mubarak)
5.2. กิจกรรมทางวรรณกรรม
ท่านเป็นนักวรรณคดีที่มีความสามารถโดดเด่นในวรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซีย รวมถึงภาษาอูรดู มีการยกย่องว่าท่านประพันธ์บทกวีภาษาอาหรับไว้มากกว่า 400 บท ท่านยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไข กวีนิพนธ์ (diwan) ฉบับแรกของ เมียร์ซา กอลิบ ตามคำร้องขอของเขา นอกจากนี้ ท่านยังเป็นที่รู้จักในเรื่องคารมคมคายและการโต้ตอบอย่างชาญฉลาดกับกวี นักเขียน และปัญญาชนร่วมสมัยท่านอื่นๆ เช่น เมียร์ซา กอลิบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางภาษาและสติปัญญาของท่าน
6. ชีวิตส่วนตัว
ชีวิตส่วนตัวของฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ สะท้อนถึงการอุทิศตนเพื่อครอบครัวและวิชาการ พร้อมกับการได้รับการยกย่องอย่างสูงจากสังคมในฐานะผู้รอบรู้
6.1. ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ สืบเชื้อสายมาจากตระกูล ฟารูกี (Farooqui) บิดาของท่านคือ อิหม่าม ฟัซล์-เอะ-อิมาน ท่านมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ อับดุล อัล-ฮัก คัยรอบาดิ (Abdul al-Haq Khairabadi) ซึ่งเป็นนักวิชาการชั้นนำและเป็นที่เคารพอย่างสูง โดยได้รับสมญานามว่า ชัมส์ อัล-อุลามะห์ (Shams al-Ulama) และเป็นครูสอนของ มาจิด อะลี จาอูนปูรี (Majid Ali Jaunpuri) หลานชายของท่านคือ มุซตาร์ คัยรอบาดิ (Muztar Khairabadi) กวีที่มีชื่อเสียง และ จัน นิซาร์ อัคตาร์ (Jan Nisar Akhtar) นักแต่งเพลงและกวีผู้โด่งดังเป็นเหลนของท่าน นอกจากนี้ จาเวด อัคตาร์ (Javed Akhtar), ฟาร์ฮาน อัคตาร์ (Farhan Akhtar) และ โซยา อัคตาร์ (Zoya Akhtar) ก็ล้วนเป็นทายาทของท่านเช่นกัน
6.2. ยศถาบรรดาศักดิ์และการยกย่อง
ท่านได้รับการขนานนามว่า "อัลลามาห์" ซึ่งเป็นตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดที่มอบให้กับผู้รอบรู้ในหลายสาขา ท่านยังได้รับการยกย่องเป็นนัก ซูฟี ผู้ยิ่งใหญ่ และถูกเรียกขานว่า "อิหม่ามแห่งตรรกะ ปรัชญา และวรรณกรรม" ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการยอมรับในวงกว้างถึงความรู้ความสามารถอันลึกซึ้งและอิทธิพลของท่านในหมู่นักวิชาการและศาสนิกชน
7. การเสียชีวิต
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1861 ขณะถูกเนรเทศอยู่ที่ เกาะอันดามัน ซึ่งท่านถูกคุมขังเป็นเวลา 22 เดือน ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขัง ท่านได้เขียนบันทึกประสบการณ์ในรูปแบบของบทกวีภาษาอาหรับ (กอซีดะฮ์) จำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้เขียนหนังสือ อัล-เซาระห์ อัล-ฮินดียะห์ ซึ่งเป็นงานวิเคราะห์สงครามและเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งถือเป็นหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว
8. มรดกและการประเมิน
ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง ทั้งในด้านวิชาการศาสนา วรรณกรรม และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย ผลงานเขียนของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัห์กี๊ก อัล-ฟัตวา ฟี อับตาล อัล-ตัฆวา ได้แสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางเทววิทยาและการปกป้องหลักศรัทธาอิสลามจากแนวคิดที่ท่านมองว่าเบี่ยงเบน บทบาทของท่านในการออกฟัตวาเรียกร้องญิฮาดต่อต้านการปกครองของอังกฤษในช่วง การก่อกบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 ได้รับการจดจำว่าเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จุดประกายการลุกฮือของประชาชน ความกล้าหาญในการสารภาพต่อหน้าศาลเพื่อยึดมั่นในความจริง แม้จะต้องแลกมาด้วยการถูกเนรเทศ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน การที่ท่านสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมการปฏิวัติ และการที่ทางการอังกฤษมองว่าท่านเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันมหาศาลของท่านต่อขบวนการปลดแอกอินเดีย นอกจากนี้ ผลงานทางวรรณกรรมของท่าน ทั้งบทกวีและการมีปฏิสัมพันธ์กับกวีร่วมสมัยอย่างเมียร์ซา กอลิบ ก็ยืนยันถึงสถานะของท่านในฐานะบุคคลสำคัญในแวดวงวรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซีย ดังนั้น ฟัซล์-เอะ-ฮัก คัยรอบาดิ จึงเป็นที่จดจำในฐานะนักวิชาการผู้ทรงภูมิ นักเคลื่อนไหวผู้กล้าหาญ และเป็นผู้บุกเบิกในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย