1. ช่วงต้นพระชนมชีพ
พระเจ้าอีริคที่ 4 ทรงมีพระชนม์ชีพในช่วงต้นที่ผูกพันกับราชวงศ์และการสืบราชบัลลังก์ ซึ่งรวมถึงการประสูติ การศึกษา และการดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กแต่เพียงผู้เดียว
1.1. การประสูติและการศึกษา
พระเจ้าอีริคที่ 4 ประสูติราวปี ค.ศ. 1216 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองที่ถูกต้องตามกฎหมายในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ประสูติแต่พระอัครมเหสีพระองค์ที่สองคือบึเร็งการียาแห่งโปรตุเกส พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐาของเจ้าชายอเบลและเจ้าชายคริสตอฟเฟอร์
ในปี ค.ศ. 1218 เมื่อพระเชษฐาต่างพระมารดา วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์ ได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์ร่วมกับพระราชบิดาและได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เจ้าชายอีริคทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดยุกแห่งชเลสวิก หลังจากที่วัลเดมาร์ยุวกษัตริย์เสด็จสวรรคตก่อนวัยอันควรในปี ค.ศ. 1231 เจ้าชายอีริคทรงได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์ที่มหาวิหารลุนด์ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1232 ในฐานะผู้ปกครองร่วมและรัชทายาทของพระราชบิดา หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงยกดัชชีชเลสวิกให้แก่เจ้าชายอเบล พระอนุชาของพระองค์ เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1241 พระองค์จึงทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กแต่เพียงผู้เดียว
2. รัชกาลและเหตุการณ์สำคัญ
รัชกาลของพระเจ้าอีริคที่ 4 โดดเด่นด้วยความวุ่นวายทางการเมือง ความขัดแย้งภายในราชวงศ์ การต่อต้านจากศาสนจักรและชาวนา รวมถึงการพยายามรักษาอำนาจในดินแดนภายนอก
2.1. ความขัดแย้งกับพระราชอนุชา
รัชกาลของพระองค์เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างขมขื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดยุกอเบลแห่งชเลสวิก ซึ่งดูเหมือนจะปรารถนาตำแหน่งอิสระและได้รับการสนับสนุนจากเคานท์แห่งฮ็อลชไตน์
ความขัดแย้งครั้งแรกกับดยุกอเบลแห่งชเลสวิกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1242 หลังจากพระเจ้าอีริคที่ 4 ทรงครองราชย์ได้ประมาณหนึ่งปีเท่านั้น ความขัดแย้งนี้ดำเนินไปเป็นเวลาสามปีก่อนที่พระเชษฐาและพระอนุชาจะตกลงพักรบกันในปี ค.ศ. 1244 และวางแผนสำหรับการทำสงครามครูเสดร่วมกันเพื่อไปยังเอสโตเนีย
ในปี ค.ศ. 1246 ความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าอีริคกับพระราชอนุชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงบุกฮ็อลชไตน์เพื่อพยายามฟื้นฟูการควบคุมเคาน์ตีที่พระราชบิดาเคยครอบครองไว้ ดยุกอเบลแห่งชเลสวิก ซึ่งอภิเษกสมรสกับธิดาของอดอล์ฟที่ 4 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์ และเคยเป็นผู้ดูแลอดีตน้องเขยทั้งสองคือเคานท์แห่งฮ็อลชไตน์ โยฮันที่ 1 และแกร์ฮาร์ดที่ 1 ได้บีบบังคับให้พระเจ้าอีริคยกเลิกการยึดครอง ในปีต่อมา ดยุกอเบลและชาวฮ็อลชไตน์ได้บุกเข้าโจมตีจัตแลนด์และฟึน เผาทำลายและปล้นสะดมไปไกลถึงเมืองราเนอส์ทางตอนเหนือและโอเดนเซ ดยุกอเบลได้รับการสนับสนุนจากเมืองลือเบ็ค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสันนิบาตฮันเซอ รวมถึงพระอนุชาของพระองค์คือคริสตอฟเฟอร์ ลอร์ดแห่งลอลลันด์และฟัลสเตอร์ และคนุด ดยุกแห่งเบลคิงเง
พระเจ้าอีริคทรงตอบโต้ทันที ด้วยการยึดเมืองรีเบคืน และเข้ายึดเมืองสเวนบอร์กซึ่งเป็นเมืองที่ดยุกอเบลได้รับเป็นมรดกจากพระราชบิดาในปีเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1247 พระองค์ทรงยึดปราสาทอาเรสคอฟ (Arreskov Slot) บนเกาะฟึน และจับกุมคริสตอฟเฟอร์และคนุดเป็นเชลย
มีการจัดการเจรจาพักรบโดยเจ้าหญิงโซฟีแห่งเดนมาร์ก (ราว ค.ศ. 1217-1247) ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระเจ้าอีริค และทรงเป็นพระชายาของโยฮันที่ 1 มาร์เกรฟแห่งบรันเดินบวร์ค (ราว ค.ศ. 1213-1266) ข้อตกลงของสนธิสัญญาทำให้พระเจ้าอีริคยังคงควบคุมเดนมาร์กทั้งหมดไว้ได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1249 หลังจากเหตุการณ์กบฏของชาวนาในสคาเนีย ศาสนจักร ดยุกอเบล และเคานท์ชาวเยอรมันในจัตแลนด์ใต้ ได้รวมตัวกันเป็นพันธมิตรที่เคยต่อต้านกษัตริย์
2.2. ความขัดแย้งกับศาสนจักรและชาวนา
นอกจากความขัดแย้งกับพระราชอนุชาแล้ว พระเจ้าอีริคยังเผชิญกับปัญหากับคณะนักบวชที่ยืนยันว่าพวกเขาได้รับการยกเว้นภาษีที่พระเจ้าอีริคอาจจะประเมินขึ้น พระองค์ทรงต้องการให้มีการเก็บภาษีที่ดินของคริสตจักรเช่นเดียวกับผู้ถือครองที่ดินรายอื่น ๆ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงส่งเอกอัครสมณทูตมาเจรจาระหว่างกษัตริย์กับเหล่าบิชอปที่โอเดนเซในปี ค.ศ. 1245 มีการขู่จะปัพพาชนียกรรมใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจมากหรือน้อยที่ละเมิดสิทธิและเอกสิทธิ์เก่าแก่ของคริสตจักร ซึ่งเป็นการเตือนที่ชัดเจนแก่พระเจ้าอีริคว่าคริสตจักรจะไม่ยอมทนกับการที่พระองค์ยังคงยืนกรานที่จะประเมินทรัพย์สินของคริสตจักรเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี
ด้วยความกริ้ว พระเจ้าอีริคทรงมุ่งความโกรธไปที่นีลส์ สติกเซน บิชอปแห่งรอสคิลด์ ซึ่งได้หลบหนีออกจากเดนมาร์กในปีเดียวกัน (ค.ศ. 1249) พระเจ้าอีริคทรงยึดทรัพย์สินของสังฆมณฑลในเกาะเชลลันด์ ซึ่งรวมถึงเมืองโคเปนเฮเกนที่กำลังพัฒนา แม้จะมีการแทรกแซงจากสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4 ซึ่งสนับสนุนการคืนสถานะของบิชอปและการคืนทรัพย์สินให้กับสังฆมณฑล แต่ข้อพิพาทก็ไม่สามารถแก้ไขได้ นีลส์ สติกเซนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1249 ที่โบสถ์แคลร์โวซ์ ทรัพย์สินไม่ได้รับการคืนให้กับสังฆมณฑลจนกระทั่งหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอีริคในปี ค.ศ. 1250
ในปี ค.ศ. 1249 ชาวนาในสคาเนียได้ก่อกบฏต่อต้านภาษีคันไถ ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากจำนวนคันไถที่บุคคลเป็นเจ้าของ โดยใช้เป็นเครื่องวัดความมั่งคั่งของผู้นั้น ภาษีนี้ทำให้กษัตริย์ทรงได้รับฉายานามว่า "พลอฟเพนนิง" หรือ "อีริคผู้รีดไถเงิน" ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายการเก็บภาษีที่เข้มงวดของพระองค์ กษัตริย์ทรงสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยได้ด้วยความช่วยเหลือจากเกาะเชลลันด์ แต่เหตุการณ์นี้กลับผลักดันให้ศาสนจักร ดยุกอเบล และเคานท์ชาวเยอรมันในจัตแลนด์ใต้ เข้ามาเป็นพันธมิตรต่อต้านกษัตริย์
2.3. การขยายและรักษาดินแดนภายนอก
ในการพยายามรักษาและขยายอำนาจของเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 4 ได้ทรงดำเนินนโยบายทางทหารในดินแดนภายนอกหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอสโตเนียและฮ็อลชไตน์
ในปี ค.ศ. 1244 พระเจ้าอีริคและดยุกอเบล พระอนุชา ได้วางแผนที่จะทำสงครามครูเสดร่วมกันเพื่อไปยังเอสโตเนีย ซึ่งเป็นดินแดนที่เดนมาร์กพยายามจะรักษาอิทธิพลไว้
ต่อมาในปี ค.ศ. 1249 พระเจ้าอีริคทรงระดมกองทัพและเสด็จไปยังดัชชีเอสโตเนียเพื่อรักษาฐานที่มั่นของพระองค์ที่นั่น การเดินทางครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของพระองค์ในการปกป้องผลประโยชน์ของเดนมาร์กในดินแดนตะวันออก
ระหว่างการเสด็จกลับเดนมาร์กในปี ค.ศ. 1250 พระองค์ทรงนำกองทัพไปยังฮ็อลชไตน์ เพื่อป้องกันการยึดครองป้อมปราการชายแดนที่เรนส์บูร์ก และเพื่อแสดงให้เหล่าเคานท์ชาวเยอรมันเห็นว่าพระองค์ยังคงเป็นกษัตริย์ที่ทรงอำนาจ การตัดสินใจครั้งนี้เองที่นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสวรรคตของพระองค์ในเวลาต่อมา
3. การลอบปลงพระชนม์
ในปี ค.ศ. 1250 ขณะที่พระเจ้าอีริคที่ 4 กำลังเสด็จกลับจากการรบในเอสโตเนีย พระองค์ทรงนำกองทัพไปยังฮ็อลชไตน์เพื่อรักษาป้อมปราการชายแดนเรนส์บูร์กและเพื่อแสดงอำนาจต่อเหล่าเคานท์ชาวเยอรมัน ในระหว่างนั้น ดยุกอเบลแห่งชเลสวิก พระอนุชาของพระองค์ ได้เสนอให้พระองค์ประทับแรมที่บ้านของตนที่ปราสาทก็อททร็อปในชเลสวิก
ในคืนนั้น ขณะที่กษัตริย์กำลังเล่นพนันกับหนึ่งในอัศวินชาวเยอรมัน มหาดเล็กของดยุกและกลุ่มชายฉกรรจ์อื่น ๆ ได้บุกเข้ามาจับกุมกษัตริย์เป็นนักโทษ พวกเขามัดพระองค์และลากออกจากบ้านของดยุกลงไปยังเรือพายและพายออกไปในอ่าวชเล โดยมีเรือลำที่สองตามมา เมื่อพระเจ้าอีริคทรงได้ยินเสียงของศัตรูที่สาบานตนไว้คือ เลฟ กัดมุนด์เซน (ราว ค.ศ. 1195-1252) พระองค์ก็ตระหนักได้ว่ากำลังจะถูกปลงพระชนม์ ผู้จับกุมคนหนึ่งได้รับค่าจ้างเพื่อลงมือสังหารกษัตริย์ด้วยคมขวาน พระเจ้าอีริคทรงถูกตัดพระเศียรและพระบรมศพถูกโยนทิ้งลงในอ่าวชเล
เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวประมงสองคนได้ลากพระบรมศพที่ไร้พระเศียรของกษัตริย์ขึ้นมาในแหของพวกเขา พวกเขานำพระบรมศพไปยังโบสถ์คณะโดมินิกันในชเลสวิก ต่อมาในปี ค.ศ. 1257 พระบรมศพของพระองค์ถูกย้ายไปฝังที่โบสถ์นักบุญเบ็นท์ในริงสเต็ด
หลังจากพระเจ้าอีริคเสด็จสวรรคต ดยุกอเบล พระอนุชาของพระองค์ ก็ได้รับการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งกษัตริย์องค์ต่อมา แม้ว่าดยุกอเบลจะทรงยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ แต่ภายในหนึ่งปีครึ่ง ดยุกอเบลเองก็ทรงถูกปลงพระชนม์เช่นกัน และคริสตอฟเฟอร์ พระอนุชาอีกองค์ก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระองค์
4. อภิเษกสมรสและพระโอรสธิดา
พระเจ้าอีริคที่ 4 ทรงอภิเษกสมรสในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1239 กับจัตตาแห่งแซกโซนี พระธิดาในอัลเบร็ชท์ที่ 1 ดยุกแห่งแซกโซนี (ราว ค.ศ. 1175-1260) ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสธิดาร่วมกัน 6 พระองค์ ดังนี้
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรสและพระโอรส-ธิดา | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() | เจ้าหญิงโซเฟีย สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน | ค.ศ. 1241 | ค.ศ. 1286 | อภิเษกสมรส ค.ศ. 1260 กับ พระเจ้าวัลเดมาร์แห่งสวีเดน | เจ้าชายคนุดแห่งเดนมาร์ก | ค.ศ. 1242 | ค.ศ. 1242 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงอิงเงอบอร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ | ค.ศ. 1244 | ค.ศ. 1287 | อภิเษกสมรส 11 กันยายน ค.ศ. 1261 กับ พระเจ้ามักนุสที่ 6 แห่งนอร์เวย์ | เจ้าหญิงจัตตา อธิการิณีอารามนักบุญอักเนทา | ค.ศ. 1246 | ค.ศ. 1284 | ไม่อภิเษกสมรส | ||
เจ้าชายคริสตอฟแห่งเดนมาร์ก | ค.ศ. 1247 | ค.ศ. 1247 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | ||||||
เจ้าหญิงอักเนส อธิการิณีอารามนักบุญอักเนทา | ค.ศ. 1249 | ค.ศ. 1288/1295 | อธิการิณีอารามนักบุญอักเนส, รอสคิลด์ เป็นที่เล่าลือว่าทรงอภิเษกสมรสกับอีริค ลอร์ดแห่งลังก์เอลันด์ |
5. การประเมินและมรดก
รัชกาลของพระเจ้าอีริคที่ 4 เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ซึ่งสร้างความไม่มั่นคงอย่างมากในราชอาณาจักรเดนมาร์ก พระองค์ทรงพัวพันกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับพระราชอนุชา โดยเฉพาะดยุกอเบลแห่งชเลสวิก ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในราชวงศ์ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ
ฉายานาม "อีริคผู้รีดไถเงิน" (Erik Plovpenningเอริค โพลฟเพนนิงภาษาเดนมาร์ก) เป็นมรดกที่สำคัญจากรัชกาลของพระองค์ ซึ่งบ่งชี้ถึงนโยบายการเก็บภาษีที่ดินโดยเฉพาะภาษีคันไถ ซึ่งเป็นมาตรวัดความมั่งคั่งของราษฎร ภาษีที่หนักหน่วงนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการกบฏของชาวนาในสคาเนียในปี ค.ศ. 1249 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างราชบัลลังก์กับประชาชน
นอกจากนี้ ความขัดแย้งของพระองค์กับศาสนจักร โดยเฉพาะการที่พระองค์พยายามเก็บภาษีจากที่ดินของคริสตจักร และการปัพพาชนียกรรมที่ถูกคุกคาม บ่งชี้ถึงความพยายามของพระองค์ในการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและลดอิทธิพลของศาสนจักร แต่ก็สร้างความไม่พอใจอย่างมากจากสถาบันศาสนาซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้วอำนาจในยุคนั้น
การลอบปลงพระชนม์ของพระองค์ในปี ค.ศ. 1250 ณ ฮ็อลชไตน์ ภายใต้การสมรู้ร่วมคิดของดยุกอเบลและขุนนางบางคน เป็นจุดจบที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ของความขัดแย้งที่สั่งสมมาตลอดรัชกาล การสวรรคตของพระองค์ไม่ได้นำมาซึ่งความสงบสุข แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในการสืบราชบัลลังก์ที่ดำเนินต่อไปในหมู่พระราชอนุชาของพระองค์เอง ซึ่งต่างก็มีจุดจบที่รุนแรงเช่นกัน
โดยรวมแล้ว รัชกาลของพระเจ้าอีริคที่ 4 ถูกประเมินว่าเป็นยุคแห่งความขัดแย้ง การเก็บภาษีที่รุนแรง และการต่อสู้เพื่ออำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงของเดนมาร์กในขณะนั้น และเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่ยากลำบากในประวัติศาสตร์ราชวงศ์แอสตริดเซน