1. ภาพรวม

ปีเตอร์ เฮนรี อับราฮัมส์ เดราส (Peter Henry Abrahams Derasภาษาอังกฤษ) หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ปีเตอร์ อับราฮัมส์ (Peter Abrahamsภาษาอังกฤษ) เป็นนักประพันธ์ นักข่าว และนักวิจารณ์การเมืองชาวแอฟริกาใต้โดยกำเนิด ผู้ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่จาเมกาในปี ค.ศ. 1956 และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 2017 ด้วยวัย 97 ปี ซึ่งการเสียชีวิตของเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นคดีฆาตกรรม งานเขียนของเขาซึ่งมักสำรวจประเด็นทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเหยียดเชื้อชาติและระบบการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติและมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการวรรณกรรมและวัฒนธรรม
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
ปีเตอร์ อับราฮัมส์มีภูมิหลังที่หลากหลายและเผชิญกับความยากลำบากตั้งแต่เด็ก ซึ่งหล่อหลอมมุมมองและงานเขียนของเขาในเวลาต่อมา
2.1. การเกิดและครอบครัว
ปีเตอร์ อับราฮัมส์เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1919 ที่เมืองเฟรเดดอร์ป (Vrededorpภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นชานเมืองของโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburgภาษาอังกฤษ) ประเทศแอฟริกาใต้ บิดาของเขาเป็นชาวเอธิโอเปีย ส่วนมารดาเป็นชาวผิวสี (Colouredภาษาอังกฤษ) ซึ่งมีเชื้อสายฝรั่งเศสและแอฟริกัน เมื่ออับราฮัมส์อายุได้เพียง 5 ขวบ บิดาของเขาก็เสียชีวิต ทำให้ครอบครัวประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก มารดาของเขาจึงส่งเขาไปอาศัยอยู่กับญาติจนกระทั่งอายุ 11 ปี
2.2. วัยเด็กและการศึกษา
หลังจากอาศัยอยู่กับญาติจนอายุ 11 ปี ปีเตอร์ อับราฮัมส์ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเกรซดิเออ (Grace Dieu Schoolภาษาอังกฤษ) ของคริสตจักรแองกลิคันในเมืองปีเตอร์สเบิร์ก (Pietersburgภาษาอังกฤษ) ซึ่งปัจจุบันคือโปโลควาเน (Polokwaneภาษาอังกฤษ) ในฐานะนักเรียนประจำ หลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นั่น เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมเซนต์ปีเตอร์ (St Peter's Secondary Schoolภาษาอังกฤษ) ในย่านโรเซตเทนวิลล์ (Rosettenvilleภาษาอังกฤษ) เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน เขาได้ทำงานที่ศูนย์สังคมบุรุษบันตู (Bantu Men's Social Centreภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตของเขา
3. การย้ายไปลอนดอนและกิจกรรมช่วงต้น
ในปี ค.ศ. 1939 ปีเตอร์ อับราฮัมส์ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากแอฟริกาใต้ เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นกะลาสีเรือ ก่อนที่จะมาตั้งรกรากในลอนดอน (Londonภาษาอังกฤษ) ประเทศอังกฤษ และเริ่มต้นอาชีพใหม่ในฐานะนักข่าว ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในลอนดอน เขาและภรรยาชื่อแดฟนี (Daphneภาษาอังกฤษ) ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองลอห์ตัน (Loughtonภาษาอังกฤษ) ในเทศมณฑลเอสเซกซ์ (Essexภาษาอังกฤษ) และได้พบปะกับผู้นำและนักเขียนคนผิวดำคนสำคัญหลายท่าน เช่น ควาเม อึนครูมาห์ (Kwame Nkrumahภาษาอังกฤษ), เฮสติงส์ บันดา (Hastings Bandaภาษาอังกฤษ), โจโม เคนยาตตา (Jomo Kenyattaภาษาอังกฤษ) และ ดับเบิลยู. อี. บี. ดู บอยส์ (W. E. B. Du Boisภาษาอังกฤษ)
แม้จะมีความปรารถนาที่จะเป็นนักเขียน แต่เขาก็ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในฐานะชาวแอฟริกาใต้ ดังที่ แครอล โพลส์โกรฟ (Carol Polsgroveภาษาอังกฤษ) ได้แสดงให้เห็นในหนังสือประวัติศาสตร์ของเธอเรื่อง Ending British Rule: Writers in a Common Cause (ค.ศ. 2009) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำแนะนำจากผู้อ่านต้นฉบับที่ไม่เห็นด้วยกับการตีพิมพ์ แต่ในปี ค.ศ. 1942 สำนักพิมพ์อัลเลนแอนด์อันวิน (Allen & Unwinภาษาอังกฤษ) ก็ได้ตีพิมพ์ผลงานของเขาเรื่อง Dark Testament (Dark Testamentภาษาอังกฤษ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เขาเก็บมาจากแอฟริกาใต้ ต่อมา สำนักพิมพ์โดโรธี คริสป์ (Dorothy Crispภาษาอังกฤษ) ได้ตีพิมพ์นวนิยายของเขาเรื่อง Song of the City (Song of the Cityภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1945 และ Mine Boy (Mine Boyภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งตามที่นักวิชาการชาวไนจีเรีย โคลาโวล โอปุงเบซัน (Kolawole Ogungbesanภาษาอังกฤษ) กล่าวไว้ว่า Mine Boy กลายเป็น "นวนิยายแอฟริกันเรื่องแรกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษและได้รับความสนใจจากนานาชาติ" และเป็นผลงานสำคัญที่ทำให้โลกได้รับรู้ถึงความจริงอันน่าสะพรึงกลัวของระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติในแอฟริกาใต้ ผลงานอื่นๆ ของเขาก็ตามมาอีกมากมาย ทั้งนวนิยายสองเรื่องคือ The Path of Thunder (The Path of Thunderภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1948 และ Wild Conquest (Wild Conquestภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1950 บันทึกการเดินทางกลับแอฟริกาในรูปแบบวารสารศาสตร์เรื่อง Return to Goli (Return to Goliภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1953 และบันทึกความทรงจำเรื่อง Tell Freedom (Tell Freedomภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกตีพิมพ์ทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1945 อับราฮัมส์มีส่วนร่วมในการจัดงานการประชุมแพน-แอฟริกันครั้งที่ 5 (Pan-African Congressภาษาอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นที่แมนเชสเตอร์ (Manchesterภาษาอังกฤษ) และได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้เพื่อเอกราช ในปี ค.ศ. 1956 อับราฮัมส์ได้ตีพิมพ์นวนิยายแบบ roman à clef (roman à clefภาษาฝรั่งเศส) เรื่อง A Wreath for Udomo (A Wreath for Udomoภาษาอังกฤษ) ซึ่งสะท้อนถึงชุมชนการเมืองที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งในลอนดอน ตัวละครหลักของเขาคือ ไมเคิล อูโดโม (Michael Udomoภาษาอังกฤษ) ซึ่งเดินทางจากลอนดอนกลับไปยังประเทศในแอฟริกาของตนเพื่อนำพาประเทศไปสู่การเป็นชาติเอกราชและอุตสาหกรรม ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากควาเม อึนครูมาห์เป็นหลัก และมีเค้าโครงของโจโม เคนยาตตาอยู่บ้าง ตัวละครสมมติอื่นๆ ที่สามารถระบุได้คือ จอร์จ แพดมอร์ (George Padmoreภาษาอังกฤษ) นวนิยายเรื่องนี้จบลงด้วยการฆาตกรรมอูโดโม ซึ่งตีพิมพ์หนึ่งปีก่อนที่อึนครูมาห์จะขึ้นปกครองกานา (Ghanaภาษาอังกฤษ) ที่เป็นเอกราช แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ที่ไม่ค่อยเป็นไปในทางบี่ดีสำหรับอนาคตของแอฟริกา
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขา ในปี ค.ศ. 2020 ได้มีการติดตั้งแผ่นป้ายสีน้ำเงินบนบ้านพักเดิมของเขาที่ Jessel Drive ในลอห์ตัน (Jessel Drive, Loughtonภาษาอังกฤษ) ลอนดอน
4. กิจกรรมทางการเมืองและสังคม
ปีเตอร์ อับราฮัมส์มีบทบาทสำคัญในกิจกรรมทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อเอกราชของแอฟริกาและการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ งานเขียนของเขาเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำเสนอความจริงอันโหดร้ายของระบบการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) สู่สายตานานาชาติ และเขายังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการจัดงานการประชุมแพน-แอฟริกันครั้งที่ 5 ที่แมนเชสเตอร์ในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ช่วยจุดประกายและกำหนดทิศทางการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศต่างๆ ในแอฟริกา
5. กิจกรรมทางวรรณกรรม
ปีเตอร์ อับราฮัมส์เป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดของแอฟริกาใต้ ผลงานของเขามักจะสำรวจประเด็นทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและระบบการแบ่งแยกสีผิว
5.1. นวนิยายสำคัญ
- Mine Boy (ค.ศ. 1946): นวนิยายเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์และเป็นนวนิยายแอฟริกันเรื่องแรกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษและได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ โดยเปิดเผยถึงความจริงอันน่าสะพรึงกลัวของระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติในแอฟริกาใต้
- The Path of Thunder (ค.ศ. 1948): นวนิยายเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับในด้านวรรณกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานศิลปะอื่นๆ เช่น บัลเลต์ชื่อเดียวกัน และโอเปร่าเรื่อง Reiter der Nacht (Reiter der Nachtภาษาเยอรมัน) โดย เอิร์นส์ เฮอร์มันน์ ไมเยอร์ (Ernst Hermann Meyerภาษาเยอรมัน)
- A Wreath for Udomo (ค.ศ. 1956): เป็นนวนิยายแบบ roman à clef (roman à clefภาษาฝรั่งเศส) ที่สะท้อนถึงชุมชนการเมืองในลอนดอนที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่ง นวนิยายเรื่องนี้จบลงด้วยการฆาตกรรมตัวละครหลัก และตีพิมพ์หนึ่งปีก่อนที่ควาเม อึนครูมาห์จะขึ้นปกครองกานาที่เป็นเอกราช ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ที่ไม่ค่อยเป็นไปในทางบี่ดีสำหรับอนาคตของแอฟริกา
- This Island Now (ค.ศ. 1966): เป็นนวนิยายเพียงเรื่องเดียวของเขาที่ไม่ได้มีฉากหลังอยู่ในแอฟริกา แต่ตั้งอยู่ในจาเมกา นวนิยายเรื่องนี้กล่าวถึงวิธีการนำเงินและอำนาจไปใช้ในด้านที่ประชาชนต้องการมากที่สุด
5.2. บันทึกความทรงจำและงานเขียนอื่นๆ
นอกเหนือจากนวนิยายแล้ว ปีเตอร์ อับราฮัมส์ยังได้เขียนบันทึกความทรงจำและผลงานอื่นๆ อีกหลายชิ้น:
- Dark Testament (ค.ศ. 1942): เป็นชุดรวมเรื่องสั้น
- Song of the City (ค.ศ. 1945)
- Return to Goli (ค.ศ. 1953): เป็นบันทึกการเดินทางในรูปแบบวารสารศาสตร์เกี่ยวกับการกลับไปแอฟริกา
- Tell Freedom (ค.ศ. 1954): เป็นบันทึกความทรงจำที่เล่าถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงระบบการแบ่งแยกสีผิว (apartheid)
- Jamaica: an Island Mosaic (ค.ศ. 1957): เป็นงานเขียนที่ตีพิมพ์โดยสำนักงานข้อมูลสาธารณะในชุด Corona Library
- A Night of Their Own (ค.ศ. 1965)
- The View from Coyaba (ค.ศ. 1985)
- The Coyaba Chronicles: Reflections on the Black Experience in the 20th Century (ค.ศ. 2000): เป็นบันทึกความทรงจำที่สะท้อนถึงประสบการณ์ของคนผิวสีในศตวรรษที่ 20
5.3. แก่นเรื่องและรูปแบบทางวรรณกรรม
งานเขียนของปีเตอร์ อับราฮัมส์มักจะเน้นแก่นเรื่องหลักเกี่ยวกับการต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติและระบบการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) รวมถึงการสำรวจปัญหาสังคมและอัตลักษณ์ของผู้คนในแอฟริกาและชาวแอฟริกันพลัดถิ่น เขาใช้รูปแบบการเล่าเรื่องที่เข้าถึงง่ายแต่ทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดความจริงอันโหดร้ายและความซับซ้อนของชีวิตภายใต้การกดขี่ ซึ่งทำให้งานของเขามีอิทธิพลอย่างมากในการสร้างความตระหนักรู้ในระดับนานาชาติ
6. ชีวิตในจาเมกา
ในปี ค.ศ. 1956 ปีเตอร์ อับราฮัมส์ได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในจาเมกา (Jamaicaภาษาอังกฤษ) และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตลอดช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต ในช่วงเวลานี้ เขายังคงสร้างสรรค์นวนิยายและบันทึกความทรงจำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับทำงานในฐานะนักข่าวและนักวิจารณ์วิทยุ ในปี ค.ศ. 1994 เขาได้รับรางวัลเหรียญทองมัสเกรฟ (Musgrave Gold Medalภาษาอังกฤษ) จากสถาบันจาเมกา (Institute of Jamaicaภาษาอังกฤษ) สำหรับผลงานด้านการเขียนและวารสารศาสตร์ของเขา
7. การเสียชีวิต
ปีเตอร์ อับราฮัมส์ถูกพบเสียชีวิตที่บ้านพักของเขาในเขตเซนต์แอนดรูว์พาริช (Saint Andrew Parishภาษาอังกฤษ) จาเมกา เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2017 ด้วยวัย 97 ปี การชันสูตรพลิกศพพบว่าการเสียชีวิตของเขาเกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นคดีฆาตกรรม ต่อมา นอร์แมน ทอมลินสัน (Norman Tomlinsonภาษาอังกฤษ) ชายวัย 61 ปีในพื้นที่ ได้ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม กระบวนการพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 หลังจากล่าช้าเนื่องจากไฟฟ้าดับเป็นเวลานานที่ศาล และในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ทอมลินสันได้สารภาพผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาเจ็ดปี
8. มรดกและอิทธิพล
ปีเตอร์ อับราฮัมส์ทิ้งมรดกทางวรรณกรรมและวัฒนธรรมอันล้ำค่าไว้ ซึ่งยังคงส่งผลกระทบและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง
8.1. อิทธิพลทางวรรณกรรม
ความสำเร็จทางวรรณกรรมของปีเตอร์ อับราฮัมส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวนิยายเรื่อง Mine Boy (ค.ศ. 1946) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ ทำให้เขาเป็นนักเขียนคนแรกๆ ที่นำเสนอความจริงอันโหดร้ายของระบบการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้สู่สายตาชาวโลก งานเขียนของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาวรรณกรรมแอฟริกันที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาสำรวจประเด็นทางสังคมและการเมืองในผลงานของตน
8.2. อิทธิพลทางวัฒนธรรม
ผลงานของปีเตอร์ อับราฮัมส์ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลในวงการวรรณกรรมเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่สาขาศิลปะและวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วย เช่น นวนิยายเรื่อง The Path of Thunder ได้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์:
- บัลเลต์ชื่อ İldırımlı yollarla (İldırımlı yollarlaภาษาอาเซอร์ไบจาน) หรือ The Path of Thunder ในปี ค.ศ. 1958 โดยนักประพันธ์เพลงชาวอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijaniภาษาอาเซอร์ไบจาน) การา การาเยฟ (Gara Garayevภาษาอาเซอร์ไบจาน)
- โอเปร่าเรื่อง Reiter der Nacht (Reiter der Nachtภาษาเยอรมัน) ในปี ค.ศ. 1973 โดยนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมนีตะวันออก เอิร์นส์ เฮอร์มันน์ ไมเยอร์ (Ernst Hermann Meyerภาษาเยอรมัน) ซึ่งสร้างจากนวนิยายเรื่องเดียวกัน
8.3. การระลึกถึง
เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณูปการของปีเตอร์ อับราฮัมส์ ในปี ค.ศ. 2020 ได้มีการติดตั้งแผ่นป้ายสีน้ำเงินบนบ้านพักเดิมของเขาที่ Jessel Drive ในเมืองลอห์ตัน (Loughtonภาษาอังกฤษ) ลอนดอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการยกย่องบุคคลสำคัญที่มีผลงานโดดเด่น
9. รายการผลงาน
ผลงานหลักของปีเตอร์ อับราฮัมส์ ได้แก่:
- Dark Testament (ค.ศ. 1942)
- Song of the City (ค.ศ. 1945) นวนิยาย ตีพิมพ์โดย Dorothy Crisp & Co Ltd London
- Mine Boy (ค.ศ. 1946) ตีพิมพ์โดย Dorothy Crisp & Co Ltd London - นวนิยายสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนคนแรกที่นำเสนอความจริงอันน่าสะพรึงกลัวของระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติ (apartheid) ในแอฟริกาใต้สู่สายตานานาชาติ
- The Path of Thunder (ค.ศ. 1948)
- Wild Conquest (ค.ศ. 1950)
- Return to Goli (ค.ศ. 1953)
- Tell Freedom (ค.ศ. 1954; ฉบับพิมพ์ใหม่ ค.ศ. 1970)
- A Wreath for Udomo (ค.ศ. 1956)
- Jamaica: an Island Mosaic (ค.ศ. 1957) ตีพิมพ์โดย Her Majesty's Stationery Office, The Corona Library
- A Night of Their Own (ค.ศ. 1965)
- This Island Now (ค.ศ. 1966)
- The View from Coyaba (ค.ศ. 1985)
- The Coyaba Chronicles: Reflections on the Black Experience in the 20th Century (ค.ศ. 2000)