1. ภาพรวม
มาลาวี หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐมาลาวี ซึ่งในอดีตรู้จักกันในชื่อ นยาซาแลนด์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีอาณาเขตติดต่อกับแซมเบียทางทิศตะวันตก แทนซาเนียทางทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ และโมซัมบิกทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศนี้มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นคือทะเลสาบมาลาวี ซึ่งกินพื้นที่กว่าหนึ่งในห้าของประเทศ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญ มาลาวีเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยเศรษฐกิจส่วนใหญ่พึ่งพาเกษตรกรรม และประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบทและมีอัตราการเติบโตสูง
ในอดีต พื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือมาลาวีมีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชนบันตูตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 และต่อมาได้ก่อตั้งอาณาจักรมาราวีซึ่งรุ่งเรืองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ในปี ค.ศ. 1891 พื้นที่นี้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในชื่อดินแดนอารักขากลางแอฟริกา และเปลี่ยนชื่อเป็นนยาซาแลนด์ในปี ค.ศ. 1907 นยาซาแลนด์ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1964 และเปลี่ยนชื่อเป็นมาลาวีภายใต้การนำของเฮสติงส์ บันดา ซึ่งต่อมาได้สถาปนาระบอบพรรคเดียวและปกครองประเทศในฐานะประธานาธิบดีตลอดชีพจนถึงปี ค.ศ. 1994 ยุคของบันดาโดดเด่นด้วยการกดขี่ปราบปรามทางการเมืองอย่างรุนแรง แม้จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอยู่บ้างก็ตาม หลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคในปี ค.ศ. 1993 มาลาวีได้จัดการเลือกตั้งหลายครั้งและเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในการสร้างเสริมระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม
มาลาวีเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเสรีภาพในการแสดงออก การใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำที่ย่ำแย่ รวมถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและกลุ่มเปราะบาง มาลาวีมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เน้นความเป็นกลางและนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น สหประชาชาติ สหภาพแอฟริกา และประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้
เศรษฐกิจของมาลาวีประสบปัญหาความยากจนอย่างกว้างขวาง การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน และการพึ่งพิงความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ภาคเกษตรกรรมเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจ โดยมีพืชผลสำคัญคือยาสูบ ชา และอ้อย แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่มั่นคงทางอาหารและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสังคมที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่สูง อัตราการตายของทารกสูง และปัญหาความอดอยากเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน แม้จะมีความพยายามในการพัฒนาการศึกษาและสาธารณสุข แต่ความเหลื่อมล้ำและการเข้าถึงบริการยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีและเด็ก วัฒนธรรมของมาลาวีมีความหลากหลาย สะท้อนผ่านศิลปะ ดนตรี การเต้นรำ และประเพณีท้องถิ่น ซึ่งเป็นมรดกที่สำคัญของชาติ
2. ที่มาของชื่อ
ชื่อประเทศ มาลาวี (Malawiมาลาวีภาษาอังกฤษ) มีที่มาจากคำว่า มาราวี (Maraviมาราวีภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นชื่อเรียกกลุ่มชนบันตูเผ่าหนึ่งที่อพยพมาจากทางใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเมื่อราว ค.ศ. 1400 และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นประเทศมาลาวีในปัจจุบัน คำว่า "มาราวี" ในภาษาเชวาและภาษาทุมบูกามีความหมายว่า "เปลวไฟ" หรือ "แสงสะท้อน" ซึ่งเชื่อกันว่าอาจสื่อถึงภาพแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบผืนน้ำของทะเลสาบมาลาวี ทำให้เกิดประกายคล้ายเปลวไฟ หรืออาจเกี่ยวข้องกับประเพณีการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกของชนเผ่าในสมัยโบราณ
ชื่อนี้ถูกเลือกใช้โดย เฮสติงส์ บันดา ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ หลังจากที่มาลาวีได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1964 ก่อนหน้านั้น ในยุคอาณานิคม มาลาวีเป็นที่รู้จักในชื่อ นยาซาแลนด์ (Nyasalandนยาซาแลนด์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่างคำว่า "นยาซา" (nyasaนยาซาYao) ในภาษาเย้าที่แปลว่า "ทะเลสาบ" (หมายถึงทะเลสาบมาลาวี) กับคำว่า "แลนด์" (landแลนด์ภาษาอังกฤษ) ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า "ดินแดน" ชื่อ "นยาซาแลนด์" นี้ถูกตั้งขึ้นโดย เดวิด ลิฟวิงสโตน นักสำรวจและมิชชันนารีชาวสกอตแลนด์ ผู้ซึ่งเดินทางเข้ามาสำรวจพื้นที่แถบนี้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
นอกจากนี้ มาลาวียังมีชื่อเรียกที่เป็นที่รู้จักในระดับสากลว่า "หัวใจอันอบอุ่นแห่งแอฟริกา" (The Warm Heart of Africaเดอะวอร์มฮาร์ตออฟแอฟริกาภาษาอังกฤษ) ซึ่งสื่อถึงความเป็นมิตรและอัธยาศัยดีของชาวมาลาวี
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคมาลาวีครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก การก่อตั้งอาณาจักร การเข้ามาของอิทธิพลจากภายนอก การเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การได้รับเอกราช และการพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่สำคัญ
3.1. ยุคก่อนอาณานิคม

พื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือประเทศมาลาวีมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีหลักฐานจากแหล่งศิลปะบนหินโชโงนี (Chongoni Rock Art Area) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มชนนักล่าสัตว์และเก็บของป่ามาเป็นเวลานาน ในช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 กลุ่มชาวบันตูเริ่มอพยพเข้ามาในภูมิภาคนี้จากทางเหนือ ชาวบันตูเหล่านี้เป็นเกษตรกรและช่างเหล็ก ซึ่งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาและค่อยๆ เข้ามาแทนที่หรือผสมผสานกับกลุ่มชนดั้งเดิมที่เรียกว่า อะกาฟูลา (Akafula) หรือ อะบาทวา (Abathwa)
ในช่วงคริสต์ศวรรษที่ 15 ถึง 16 กลุ่มชาติพันธุ์บันตูต่างๆ ได้รวมตัวกันก่อตั้งอาณาจักรขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ อาณาจักรมาราวี (Maravi Empire) ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มชาวเชวาเป็นหลัก อาณาจักรมาราวีขยายอำนาจครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ตั้งแต่ทางเหนือของเมืองอึงโคตาโคตาในปัจจุบันไปจนถึงแม่น้ำแซมเบซี และจากชายฝั่งทะเลสาบมาลาวีไปจนถึงแม่น้ำลูอังควาในประเทศแซมเบียปัจจุบัน นอกจากอาณาจักรมาราวีแล้ว ยังมีอาณาจักรอื่นๆ ที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เช่น อาณาจักรอึงคามังกา (Nkhamanga Kingdom) อาณาจักรมาราวีมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับกลุ่มชาติพันธุ์โดยรอบ รวมถึงการค้ากับชาวโปรตุเกสและพ่อค้าชาวอาหรับจากชายฝั่งสวาฮีลี สินค้าสำคัญได้แก่ งาช้าง เหล็ก และทาส
อย่างไรก็ตาม ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อาณาจักรมาราวีเริ่มเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากความขัดแย้งภายในและการแข่งขันทางการค้า จนกระทั่งแตกออกเป็นแคว้นเล็กๆ ที่ควบคุมโดยหัวหน้าเผ่าต่างๆ การค้าทาสในมหาสมุทรอินเดียทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีผู้คนประมาณ 20,000 คนต่อปีถูกจับเป็นทาสและขนส่งจากอึงโคตาโคตาไปยังกิลวา กีซีวานีเพื่อขายต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างทางสังคมและประชากรในภูมิภาคนี้
3.2. ยุคอาณานิคม

การเข้ามาของชาวยุโรปในภูมิภาคมาลาวีเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีเดวิด ลิฟวิงสโตน นักสำรวจและมิชชันนารีชาวสกอตแลนด์ เป็นบุคคลสำคัญ เขาเดินทางมาถึงทะเลสาบมาลาวี (ขณะนั้นเรียกว่าทะเลสาบนยาซา) ในปี ค.ศ. 1859 และระบุว่าพื้นที่สูงชีเร (Shire Highlands) ทางตอนใต้ของทะเลสาบมีความเหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป การมาเยือนของลิฟวิงสโตนนำไปสู่การก่อตั้งคณะเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายอังกลิคันและเพรสไบทีเรียนหลายแห่งในพื้นที่ในช่วงทศวรรษที่ 1860 และ 1870 บริษัทแอฟริกันเลคส์จำกัด (African Lakes Company Limited) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1878 เพื่อดำเนินกิจการค้าและการขนส่ง ในปี ค.ศ. 1876 ได้มีการตั้งถิ่นฐานเล็กๆ ของมิชชันนารีและพ่อค้าขึ้นที่เมืองบลันไทร์ และในปี ค.ศ. 1883 กงสุลอังกฤษได้เข้ามาประจำการที่นั่น
รัฐบาลโปรตุเกสก็มีความสนใจในพื้นที่นี้เช่นกัน เพื่อป้องกันการยึดครองของโปรตุเกส รัฐบาลอังกฤษได้ส่งแฮร์รี จอห์นสตัน เข้ามาเป็นกงสุลอังกฤษพร้อมคำสั่งให้ทำสนธิสัญญากับผู้ปกครองท้องถิ่นที่อยู่นอกเหนือเขตอำนาจของโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1889 ได้มีการประกาศให้พื้นที่สูงชีเรเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษ และขยายครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศมาลาวีในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1891 ภายใต้ชื่อ ดินแดนอารักขากลางแอฟริกาของอังกฤษ (British Central Africa Protectorate) ต่อมาในปี ค.ศ. 1907 ดินแดนอารักขานี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น นยาซาแลนด์ (Nyasaland) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
โครงสร้างการปกครองในยุคอาณานิคมเป็นแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยมีผู้บริหารอาณานิคมชาวอังกฤษเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด งบประมาณในการบริหารจัดการในปี ค.ศ. 1891 มีเพียง 10.00 K GBP ซึ่งเพียงพอสำหรับจ้างพลเรือนชาวยุโรป 10 คน นายทหาร 2 นาย ทหารซิกข์ชาวปัญจาบ 70 นาย และคนขนของชาวแซนซิบาร์ 85 คน เพื่อบริหารและดูแลพื้นที่ประมาณ 94.00 K km2 ที่มีประชากรระหว่างหนึ่งถึงสองล้านคน การค้าทาสสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ในปีเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่สำคัญในยุคนี้คือการนำระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเข้ามาใช้ การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยาสูบและฝ้าย และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและทางรถไฟ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับชาวไร่ชาวยุโรปและบริษัทต่างๆ ในขณะที่ชาวแอฟริกันท้องถิ่นมักถูกบังคับให้ทำงานในไร่นาหรือเหมืองแร่ด้วยค่าแรงต่ำ และที่ดินที่ดีที่สุดก็ถูกยึดครองไป
การต่อต้านการปกครองของอังกฤษเริ่มก่อตัวขึ้น ในปี ค.ศ. 1915 จอห์น ชิเลมบเว นักบวชผู้ได้รับการศึกษาจากตะวันตก ได้นำการลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของอังกฤษ แม้ว่าการลุกฮือนี้จะถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญของการต่อต้านลัทธิอาณานิคมในมาลาวี ในปี ค.ศ. 1944 กลุ่มปัญญาชนชาวแอฟริกันได้ก่อตั้ง สภาแห่งชาติแอฟริกันนยาซาแลนด์ (Nyasaland African Congress - NAC) ขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ของชาวแอฟริกัน
ในปี ค.ศ. 1953 อังกฤษได้รวมนยาซาแลนด์เข้ากับโรดีเชียเหนือ (ปัจจุบันคือแซมเบีย) และโรดีเชียใต้ (ปัจจุบันคือซิมบับเว) ก่อตั้งเป็น สหพันธรัฐโรดีเชียและนยาซาแลนด์ (Federation of Rhodesia and Nyasaland) หรือที่เรียกว่าสหพันธรัฐแอฟริกากลาง (Central African Federation - CAF) การรวมตัวนี้ถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มชาตินิยมชาวแอฟริกันในนยาซาแลนด์ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าจะเป็นการเสริมอำนาจการปกครองของคนผิวขาวในโรดีเชียใต้ NAC ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางในการต่อต้านสหพันธรัฐฯ เฮสติงส์ บันดา แพทย์ผู้ได้รับการศึกษาในยุโรปและทำงานในกานา ได้รับการชักชวนให้เดินทางกลับนยาซาแลนด์ในปี ค.ศ. 1958 เพื่อเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องเอกราช เขาได้รับเลือกเป็นประธาน NAC และปลุกระดมให้เกิดกระแสชาตินิยม จนกระทั่งถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่อาณานิคมในปี ค.ศ. 1959 เขาได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1960 และได้รับเชิญให้ช่วยร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำหรับนยาซาแลนด์ ซึ่งมีข้อกำหนดให้ชาวแอฟริกันมีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติของอาณานิคม
3.3. ยุคเฮสติงส์ บันดา

ในปี ค.ศ. 1961 พรรคคองเกรสมาลาวี (Malawi Congress Party - MCP) ของเฮสติงส์ บันดา ได้รับชัยชนะเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ และบันดาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1963 สหพันธรัฐโรดีเชียและนยาซาแลนด์ถูกยุบลงในปีเดียวกัน และในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1964 นยาซาแลนด์ได้รับเอกราชจากอังกฤษและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น มาลาวี วันดังกล่าวถือเป็นวันประกาศอิสรภาพของชาติและเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาลาวีกลายเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ. 1966 โดยมีบันดาเป็นประธานาธิบดีคนแรก รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังได้กำหนดให้มาลาวีเป็นรัฐพรรคเดียวอย่างเป็นทางการ โดยมีพรรค MCP เป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมายเพียงพรรคเดียว ในปี ค.ศ. 1971 บันดาได้รับการประกาศให้เป็น ประธานาธิบดีตลอดชีพ
เป็นเวลาเกือบ 30 ปีที่บันดาปกครองประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการที่เข้มงวดและกดขี่ การเมืองถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ พรรคฝ่ายค้าน เช่น ขบวนการเสรีภาพมาลาวีของออร์ตัน ชีร์วา และสันนิบาตสังคมนิยมแห่งมาลาวี ถูกบีบให้ต้องไปเคลื่อนไหวในต่างแดน สิทธิมนุษยชนถูกละเมิดอย่างกว้างขวาง เสรีภาพในการพูดและการแสดงออกถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ผู้เห็นต่างทางการเมืองมักถูกจับกุม คุมขัง หรือหายสาบสูญ อย่างไรก็ตาม ในด้านเศรษฐกิจ ยุคของบันดามักถูกยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของประเทศที่ยากจน ไม่มีทางออกสู่ทะเล ประชากรหนาแน่น และขาดแคลนทรัพยากรแร่ธาตุ แต่สามารถบรรลุความก้าวหน้าทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมได้ มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา แต่การพัฒนาดังกล่าวมักมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างอำนาจของพรรค MCP และตัวบันดาเอง
การควบคุมทางสังคมเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย ทรงผม และพฤติกรรมส่วนบุคคลอย่างละเอียด สื่อถูกควบคุมอย่างหนัก และมีการปลูกฝังลัทธิบูชาตัวบุคคลรอบตัวบันดา แม้ว่าการปกครองของบันดาจะทำให้มาลาวีมีเสถียรภาพและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางอาวุธที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การประเมินทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยุคของบันดามีความหลากหลาย บางส่วนมองว่าเขาสร้างชาติและนำความมั่นคงมาสู่ประเทศ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการปกครองแบบเผด็จการ
3.4. ยุคประชาธิปไตยหลายพรรค
ภายใต้แรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศเพื่อเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ประธานาธิบดีเฮสติงส์ บันดา ตกลงที่จะจัดการประชามติในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรค ปลายปี ค.ศ. 1993 ได้มีการจัดตั้งสภาประธานาธิบดีขึ้น ตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดชีพถูกยกเลิก และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นการยุติการปกครองแบบพรรคเดียวของพรรคคองเกรสมาลาวี (MCP) อย่างเป็นทางการ
ในปี ค.ศ. 1994 การเลือกตั้งหลายพรรคครั้งแรกได้ถูกจัดขึ้นในมาลาวี และบันดาพ่ายแพ้ให้กับบากีลี มูลูซี (อดีตเลขาธิการพรรค MCP และอดีตรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของบันดา) จากพรรคแนวร่วมประชาธิปไตย (United Democratic Front - UDF) มูลูซีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสองสมัยจนถึงปี ค.ศ. 2004 เมื่อบิงกู วา มูทารีกาจากพรรค UDF ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางการเมืองจะถูกมองว่า "ท้าทาย" แต่ในปี ค.ศ. 2009 ก็ยังคงมีการระบุว่าระบบหลายพรรคยังคงดำรงอยู่ในมาลาวี การเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีแบบหลายพรรคครั้งที่สี่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2009 และประธานาธิบดีมูทารีกาได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง แม้จะมีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตการเลือกตั้งจากคู่แข่งของเขาก็ตาม
ประธานาธิบดีมูทารีกาถูกมองจากบางฝ่ายว่ามีแนวโน้มเป็นเผด็จการมากขึ้นและเพิกเฉยต่อสิทธิมนุษยชน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 ได้เกิดการประท้วงขึ้นเนื่องจากค่าครองชีพที่สูง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เสื่อมถอย ธรรมาภิบาลที่ย่ำแย่ และการขาดแคลนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ การประท้วงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 18 คน และบาดเจ็บจากกระสุนปืนอย่างน้อย 44 คน
ธงชาติมาลาวีถูกแก้ไขในปี ค.ศ. 2010 โดยเปลี่ยนแถบสีสามแถบและดวงอาทิตย์สีขาว แต่ก็ใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ จนถึงปี ค.ศ. 2012 เมื่อมีการนำธงแบบเดิมที่มีสีดำ-แดง-เขียวกลับมาใช้ใหม่
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 ประธานาธิบดีมูทารีกาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย การเสียชีวิตของเขาถูกเก็บเป็นความลับเป็นเวลา 48 ชั่วโมง รวมถึงการนำร่างของเขาขึ้นเครื่องบินไปยังแอฟริกาใต้ ซึ่งคนขับรถพยาบาลปฏิเสธที่จะเคลื่อนย้ายร่างโดยอ้างว่าไม่มีใบอนุญาตให้เคลื่อนย้ายศพ หลังจากรัฐบาลแอฟริกาใต้ขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูล ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงตกเป็นของรองประธานาธิบดี จอยซ์ บันดา (ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฮสติงส์ บันดา)
ในการเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ. 2014 จอยซ์ บันดา พ่ายแพ้การเลือกตั้ง (ได้อันดับสาม) และถูกแทนที่โดย ปีเตอร์ มูทารีกา น้องชายของอดีตประธานาธิบดีมูทารีกา ในการเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ. 2019 ประธานาธิบดีปีเตอร์ มูทารีกา ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ศาลรัฐธรรมนูญมาลาวีได้สั่งให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะเนื่องจากความผิดปกติและการทุจริตอย่างกว้างขวาง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 ศาลฎีกามาลาวีได้ยืนตามคำตัดสินและประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กรกฎาคม นี่เป็นครั้งแรกที่การเลือกตั้งในประเทศถูกท้าทายทางกฎหมาย ผู้นำฝ่ายค้าน ลาซารัส ชาเควรา ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2020 และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของมาลาวี
การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคในมาลาวีได้นำมาซึ่งเสรีภาพทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ปัญหาคอร์รัปชัน ความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ และการเสริมสร้างสถาบันประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง สาเหตุของความท้าทายเหล่านี้มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อกลุ่มต่างๆ ในสังคมแตกต่างกันไป การเลือกตั้งยังคงเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งสูง และความพยายามในการสร้างความปรองดองแห่งชาติและการปฏิรูปทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไป
4. ภูมิศาสตร์
มาลาวีเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับแซมเบียทางตะวันตกเฉียงเหนือ แทนซาเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และโมซัมบิกทางใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกทั่วไป ประเทศมาลาวีตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 9° ถึง 18° ใต้ และลองจิจูด 32° ถึง 36° ตะวันออก ลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญคือ เกรตริฟต์แวลลีย์ (Great Rift Valley) หรือที่รู้จักในชื่อ หุบเขาทรุดแอฟริกาตะวันออก (East African Rift) ซึ่งทอดตัวยาวผ่านประเทศจากเหนือจรดใต้ ทางตะวันออกของหุบเขานี้คือ ทะเลสาบมาลาวี (Lake Malawi หรือที่เรียกว่าทะเลสาบนยาซา) ซึ่งกินพื้นที่กว่าสามในสี่ของแนวพรมแดนด้านตะวันออกของมาลาวี ทะเลสาบมาลาวี บางครั้งเรียกว่า "ทะเลสาบปฏิทิน" (Calendar Lake) เนื่องจากมีความยาวประมาณ 587409 m (365 mile) และกว้างประมาณ 83686 m (52 mile) แม่น้ำชีเร (Shire River) ไหลออกจากทางใต้สุดของทะเลสาบและไปรวมกับแม่น้ำแซมเบซี (Zambezi River) ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางใต้ 402335 m (250 mile) ในประเทศโมซัมบิก พื้นผิวของทะเลสาบมาลาวีอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 0.5 K m (1.50 K ft) และมีความลึกสูงสุด 0.7 K m (2.30 K ft) ซึ่งหมายความว่าก้นทะเลสาบบางจุดอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 213 m (700 ft)
ในบริเวณที่เป็นภูเขาล้อมรอบเกรตริฟต์แวลลีย์ มีที่ราบสูงโดยทั่วไปสูงจากระดับน้ำทะเล 0.9 K m (3.00 K ft) ถึง 1.2 K m (4.00 K ft) แม้ว่าบางแห่งจะสูงถึง 2.4 K m (8.00 K ft) ทางตอนเหนือ ทางใต้ของทะเลสาบมาลาวีคือที่ราบสูงชีเร (Shire Highlands) ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นเนินเขาสลับซับซ้อน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 0.9 K m (3.00 K ft) ในบริเวณนี้ มียอดเขาซอมบา (Zomba) และเทือกเขามูลันเจ (Mulanje Massif) ซึ่งมีความสูงถึง 2.1 K m (7.00 K ft) และ 3.0 K m (10.00 K ft) ตามลำดับ
เมืองหลวงของมาลาวีคือ ลิลองเว และศูนย์กลางการค้าคือ บลันไทร์ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 500,000 คน มาลาวีมีแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกสองแห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทะเลสาบมาลาวี (Lake Malawi National Park) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนครั้งแรกในปี ค.ศ. 1984 และแหล่งศิลปะบนหินโชโงนี (Chongoni Rock Art Area) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในปี ค.ศ. 2006
ลักษณะภูมิอากาศโดยรวมของมาลาวีเป็นแบบร้อนชื้นในพื้นที่ลุ่มต่ำทางตอนใต้ของประเทศ และอบอุ่นในที่ราบสูงทางตอนเหนือ ระดับความสูงช่วยลดความรุนแรงของภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตรลงได้ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน อากาศจะอบอุ่น มีฝนตกและพายุฝนฟ้าคะนองแบบเขตร้อน โดยพายุจะรุนแรงที่สุดในช่วงปลายเดือนมีนาคม หลังจากเดือนมีนาคม ปริมาณน้ำฝนจะลดลงอย่างรวดเร็ว และตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน จะมีหมอกชื้นลอยจากที่สูงลงสู่ที่ราบสูง และแทบจะไม่มีฝนตกเลยในช่วงเดือนเหล่านี้
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและระบบแหล่งน้ำ

ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นที่สุดของมาลาวีคือ เกรตริฟต์แวลลีย์แอฟริกา (African Great Rift Valley) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบหุบเขาทรุดขนาดใหญ่ที่ทอดตัวยาวจากตะวันออกกลางลงมาถึงแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ ในมาลาวี หุบเขานี้ทอดตัวจากเหนือจรดใต้ และเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบมาลาวี (Lake Malawi) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบนยาซา (Lake Nyasa) ทะเลสาบมาลาวีเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของแอฟริกาและใหญ่เป็นอันดับเก้าของโลก มีความยาวประมาณ 580 km และกว้างเฉลี่ย 75 km ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20% ของประเทศ ทะเลสาบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจของมาลาวี เป็นแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร (โดยเฉพาะปลา) และเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ
น้ำจากทะเลสาบมาลาวีไหลออกทางตอนใต้ผ่าน แม่น้ำชีเร (Shire River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศ แม่น้ำชีเรไหลลงใต้ผ่านที่ราบสูงชีเร (Shire Highlands) และเข้าสู่ประเทศโมซัมบิกเพื่อไปบรรจบกับแม่น้ำแซมเบซีในที่สุด แม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่อการเกษตร การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และการคมนาคมขนส่ง
นอกเหนือจากทะเลสาบมาลาวีและแม่น้ำชีเรแล้ว มาลาวียังมีแหล่งน้ำอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ทะเลสาบมาลอมเบ (Lake Malombe) ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดเล็กกว่าที่อยู่ทางใต้ของทะเลสาบมาลาวีและเชื่อมต่อกันด้วยแม่น้ำชีเร และทะเลสาบชิลวา (Lake Chilwa) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำตื้นขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ทะเลสาบชิลวาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาอย่างยิ่ง และเป็นแหล่งทำประมงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของมาลาวีเป็นที่ราบสูง โดยเฉพาะทางตอนเหนือและตอนกลาง พื้นที่สูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ราบสูงแอฟริกากลาง (Central African Plateau) ทางตอนใต้มีเทือกเขามูลันเจ (Mulanje Massif) ซึ่งเป็นเทือกเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่และเป็นจุดที่สูงที่สุดของประเทศ โดยมียอดเขาซาปิตวา (Sapitwa Peak) สูงถึง 3.00 K m นอกจากนี้ยังมีที่ราบสูงซอมบา (Zomba Plateau) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สูงที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของเมืองซอมบา อดีตเมืองหลวงของประเทศ
4.2. ภูมิอากาศ

ภูมิอากาศของมาลาวีโดยทั่วไปเป็นแบบ กึ่งเขตร้อน (subtropical) โดยได้รับอิทธิพลจากระดับความสูงและทะเลสาบมาลาวี ประเทศมีสองฤดูหลักคือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง
- ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน ในช่วงนี้อากาศจะร้อนและชื้น โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20 °C ถึง 27 °C ในพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ในพื้นที่ลุ่มต่ำตามแนวทะเลสาบและหุบเขาชีเรตอนล่าง อุณหภูมิอาจสูงถึง 30 °C หรือมากกว่านั้น ปริมาณน้ำฝนจะสูงที่สุดในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยมักจะมีพายุฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่ายและเย็น ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยพื้นที่สูงทางตอนเหนือ เช่น ที่ราบสูงวีปยา (Viphya Plateau) และที่ราบสูงนยิกา (Nyika Plateau) จะมีปริมาณน้ำฝนสูงที่สุด (มากกว่า 1.50 K mm ต่อปี) ในขณะที่พื้นที่ลุ่มต่ำบางแห่งอาจมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 800 mm ต่อปี
- ฤดูแล้ง เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ในช่วงนี้อากาศจะเย็นและแห้งกว่า โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยจะลดลง โดยในพื้นที่สูงอาจมีอุณหภูมิต่ำถึง 4 °C ในตอนกลางคืน ส่วนในตอนกลางวันอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20 °C ถึง 25 °C ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝนใหม่ ในช่วงนี้แทบจะไม่มีฝนตกเลย ยกเว้นหมอกชื้นที่เรียกว่า "เชียเปโรนี" (Chiperoni) ซึ่งอาจพัดมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้และทำให้เกิดฝนตกปรอยๆ ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบสูงมูลันเจและชีเร
ทะเลสาบมาลาวีมีอิทธิพลต่อภูมิอากาศในท้องถิ่น โดยช่วยลดความรุนแรงของอุณหภูมิในบริเวณใกล้เคียง และเป็นแหล่งความชื้นที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนในแต่ละปีอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
4.3. พืชพรรณและสัตว์ป่า

มาลาวีมีความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าประเทศจะเผชิญกับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ตาม พืชพรรณและสัตว์ป่าที่เป็นตัวแทนของประเทศกระจายตัวอยู่ในระบบนิเวศต่างๆ ตั้งแต่ป่าไม้ ทุ่งหญ้าสะวันนา ไปจนถึงพื้นที่ชุ่มน้ำและทะเลสาบ
พืชพรรณ:
พืชพรรณส่วนใหญ่ของมาลาวีเป็น ป่าไมโอมโบ (Miombo woodland) ซึ่งเป็นลักษณะของป่าผลัดใบเขตร้อนที่พบได้ทั่วไปในแอฟริกากลางและใต้ ประกอบด้วยไม้ในสกุล Brachystegia, Julbernardia และ Isoberlinia นอกจากนี้ยังมีป่าประเภทอื่นๆ เช่น ป่าดิบเขาในพื้นที่สูง (montane forest) ป่าริมแม่น้ำ (riparian forest) และทุ่งหญ้าสะวันนา (savanna grassland) ในพื้นที่สูง เช่น อุทยานแห่งชาตินยิกา (Nyika National Park) และเทือกเขามูลันเจ (Mulanje Massif) จะพบพืชพรรณเฉพาะถิ่นหลายชนิด รวมถึงกล้วยไม้และเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ ต้นซีดาร์มูลันเจ (Widdringtonia whytei) เป็นพันธุ์ไม้สนเฉพาะถิ่นที่พบได้บนเทือกเขามูลันเจเท่านั้นและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
สัตว์ป่า:
มาลาวีเป็นบ้านของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายชนิด รวมถึง ช้างแอฟริกา (African elephant) สิงโต (lion) เสือดาว (leopard) ควายป่าแอฟริกา (African buffalo) และ แรดดำ (black rhinoceros) ซึ่งกำลังได้รับการฟื้นฟูประชากรในบางพื้นที่คุ้มครอง สัตว์กีบคู่ที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ แอนทิโลปชนิดต่างๆ เช่น คูดู (kudu) อีแลนด์ (eland) เซเบิลแอนทิโลป (sable antelope) และวอเตอร์บัค (waterbuck) รวมถึงฮิปโปโปเตมัส (hippopotamus) ซึ่งพบได้ตามแม่น้ำและทะเลสาบ ลิงชนิดต่างๆ เช่น ลิงบาบูนและลิงเวอร์เวตก็มีอยู่ทั่วไป
มาลาวีเป็นแหล่งอาศัยของนกกว่า 650 ชนิด ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักดูนก ชนิดที่โดดเด่น ได้แก่ นกอินทรีปลาแอฟริกัน (African fish eagle) นกเงือก และนกกินปลีหลากสีสัน
ระบบนิเวศทางน้ำ:
ทะเลสาบมาลาวี มีชื่อเสียงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของปลา โดยเฉพาะ ปลาหมอสี (cichlids) ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 800 ชนิด และส่วนใหญ่เป็นปลาเฉพาะถิ่น (endemic species) ที่ไม่พบที่อื่นในโลก ความหลากหลายนี้ทำให้ทะเลสาบมาลาวีเป็นห้องปฏิบัติการทางธรรมชาติที่สำคัญสำหรับการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นอกจากปลาแล้ว ทะเลสาบและแม่น้ำยังเป็นที่อยู่อาศัยของจระเข้และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิด
การอนุรักษ์:
ความพยายามในการอนุรักษ์พืชพรรณและสัตว์ป่าในมาลาวีดำเนินการผ่านเครือข่ายอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และป่าสงวน อุทยานแห่งชาติที่สำคัญ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทะเลสาบมาลาวี (ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก) อุทยานแห่งชาตินยิกา อุทยานแห่งชาติลีวอนเด (Liwonde National Park) อุทยานแห่งชาติเล้งเว (Lengwe National Park) และอุทยานแห่งชาติกาซungu (Kasungu National Park) องค์กรอนุรักษ์ทั้งในและต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ต่างๆ เช่น การต่อต้านการลักลอบล่าสัตว์ การฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัย และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่มาก เช่น การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงและขยายพื้นที่เกษตรกรรม การลักลอบล่าสัตว์ และความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า ผลกระทบทางสังคมต่อชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่คุ้มครองเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในการวางแผนการอนุรักษ์ เพื่อให้การอนุรักษ์เป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ประเทศนี้มีคะแนนเฉลี่ย ดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ ปี 2019 อยู่ที่ 5.74/10 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 96 จาก 172 ประเทศทั่วโลก
5. การเมืองการปกครอง
มาลาวีเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีแบบหลายพรรค รัฐธรรมนูญปัจจุบันประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 โดยมีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็นสามฝ่ายคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในมาลาวีมักเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างประชาธิปไตย การต่อต้านคอร์รัปชัน การพัฒนาเศรษฐกิจ และการปรับปรุงสิทธิมนุษยชน
5.1. โครงสร้างรัฐบาล

มาลาวีเป็นสาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดีภายใต้การนำของประธานาธิบดี ลาซารัส ชาเควรา รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 โครงสร้างของรัฐบาลประกอบด้วยฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
- ฝ่ายบริหาร: ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ ประธานาธิบดีมีอำนาจแต่งตั้งรองประธานาธิบดี (อาจมีรองประธานาธิบดีคนที่หนึ่งและคนที่สอง หากประธานาธิบดีเลือกที่จะแต่งตั้ง และรองประธานาธิบดีคนที่สองต้องมาจากพรรคการเมืองอื่น) และคณะรัฐมนตรี สมาชิกคณะรัฐมนตรีสามารถมาจากทั้งในและนอกสภานิติบัญญัติ
- ฝ่ายนิติบัญญัติ: ประกอบด้วยรัฐสภาแห่งชาติ ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิกรวม 193 คน มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี แม้ว่ารัฐธรรมนูญของมาลาวีจะบัญญัติให้มีวุฒิสภาจำนวน 80 ที่นั่ง แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดตั้งวุฒิสภา หากมีการจัดตั้งขึ้น วุฒิสภาจะมีบทบาทในการเป็นตัวแทนของผู้นำตามประเพณี กลุ่มผลประโยชน์พิเศษต่างๆ รวมถึงผู้พิการ เยาวชน และสตรี และเขตทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย
- ฝ่ายตุลาการ: เป็นอิสระและยึดตามแบบจำลองของกฎหมายอังกฤษ ประกอบด้วยศาลอุทธรณ์สูงสุด ศาลสูงซึ่งแบ่งออกเป็นสามแผนก (ทั่วไป รัฐธรรมนูญ และพาณิชย์) ศาลแรงงานสัมพันธ์ และศาลแขวง ซึ่งศาลแขวงยังแบ่งออกเป็นห้าระดับและรวมถึงศาลยุติธรรมเด็ก ระบบตุลาการมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งนับตั้งแต่มาลาวีได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1964 ศาลทั่วไปและศาลตามประเพณีได้ถูกนำมาใช้ผสมผสานกัน โดยมีระดับความสำเร็จและการทุจริตที่แตกต่างกันไป
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ของรัฐบาลเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ โดยมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ อำนาจมักจะรวมศูนย์อยู่ที่ฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตัวประธานาธิบดี
5.2. พรรคการเมืองหลักและการเลือกตั้ง
มาลาวีใช้ระบบการเมืองแบบหลายพรรคมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 พรรคการเมืองหลักที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองมาลาวี ได้แก่:
- พรรคคองเกรสมาลาวี (Malawi Congress Party - MCP): เป็นพรรคที่เก่าแก่ที่สุดพรรคหนึ่ง นำโดยประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ลาซารัส ชาเควรา มีฐานเสียงสนับสนุนหลักในภาคกลางของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวเชวา พรรค MCP เคยเป็นพรรครัฐบาลพรรคเดียวภายใต้การปกครองของเฮสติงส์ บันดา ปัจจุบันเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตรทอนเซ (Tonse Alliance) ซึ่งเป็นรัฐบาลผสม
- พรรคก้าวหน้าประชาธิปไตย (Democratic Progressive Party - DPP): ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีบิงกู วา มูทารีกา และต่อมานำโดยน้องชายของเขา อดีตประธานาธิบดีปีเตอร์ มูทารีกา พรรค DPP มีฐานเสียงสำคัญในภาคใต้ของประเทศ และปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก
- พรรคแนวร่วมประชาธิปไตย (United Democratic Front - UDF): เป็นพรรคที่นำโดยอดีตประธานาธิบดีบากีลี มูลูซี ซึ่งเป็นพรรคแรกที่ชนะการเลือกตั้งหลังจากยุคพรรคเดียวของ MCP พรรค UDF มีฐานเสียงในภาคใต้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มชาวเย้า
- พรรคประชาชน (People's Party - PP): ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีจอยซ์ บันดา ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดีก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังการเสียชีวิตของบิงกู วา มูทารีกา
ระบบการเลือกตั้ง:
ประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือพลเมืองที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป การเลือกตั้งประธานาธิบดีใช้ระบบคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา (first-past-the-post) ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนเสียงข้างมากธรรมดาเช่นกัน
การเลือกตั้งครั้งสำคัญล่าสุด:
การเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2019 ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เป็นโมฆะเนื่องจากความผิดปกติอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งนายลาซารัส ชาเควรา ผู้นำฝ่ายค้านในขณะนั้น สามารถเอาชนะนายปีเตอร์ มูทารีกา ประธานาธิบดีคนเดิมได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองมาลาวี เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่
ความท้าทายทางการเมืองยังคงมีอยู่ เช่น การแบ่งขั้วทางการเมืองตามภูมิภาคและชาติพันธุ์ ปัญหาคอร์รัปชัน และความพยายามในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันประชาธิปไตย
5.3. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในมาลาวียังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในบางด้านนับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคในปี ค.ศ. 1993 ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาในหลายด้าน:
- การใช้กำลังเกินกว่าเหตุโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังความมั่นคง: มีรายงานการใช้กำลังเกินกว่าเหตุโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บ่อยครั้ง และผู้กระทำผิดมักจะไม่ถูกลงโทษ ปัญหาการรุมประชาทัณฑ์ก็ยังคงปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว
- สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ: สภาพเรือนจำยังคงเลวร้ายและบางครั้งเป็นอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากความแออัดยัดเยียด การขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาด รวมถึงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ
- เสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ: แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพเหล่านี้ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อจำกัด สื่อมวลชนและนักกิจกรรมทางสังคมอาจเผชิญกับการข่มขู่หรือการดำเนินคดี หากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ
- หลักนิติธรรมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม: การคุมขังก่อนการพิจารณาคดีเป็นเวลานาน และการจับกุมและคุมขังโดยพลการยังคงเป็นปัญหา การทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลและในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคง เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาหลักนิติธรรม แม้ว่าสำนักงานต่อต้านการทุจริตแห่งมาลาวี (Anti-Corruption Bureau - ACB) จะพยายามลดปัญหานี้ก็ตาม
- การเลือกปฏิบัติทางสังคม:
- สตรี: การใช้ความรุนแรงต่อสตรี การค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานเด็กยังคงเป็นปัญหาสำคัญ การคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับสตรีจากการล่วงละเมิดทางเพศและการคุกคามทางเพศยังไม่เพียงพอ อัตราการตายของมารดาขณะคลอดบุตรยังคงสูง การแต่งงานในเด็กเคยเป็นปัญหาใหญ่ แต่ในปี ค.ศ. 2015 มาลาวีได้เพิ่มอายุขั้นต่ำในการสมรสจาก 15 ปี เป็น 18 ปี
- กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT): การรักร่วมเพศยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในมาลาวี แม้ว่าในปี ค.ศ. 2015 ประธานาธิบดีปีเตอร์ มูทารีกา จะได้สั่งพักการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านผู้มีความหลากหลายทางเพศเพื่อรอการทบทวนเพิ่มเติม และในปี ค.ศ. 2021 ชุมชน LGBT ในมาลาวีได้จัดการเดินขบวนไพรด์พาเหรดครั้งแรกในกรุงลิลองเวก็ตาม
- ผู้ป่วยโรคเผือก (Albinism): ผู้ป่วยโรคเผือกในมาลาวียังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความรุนแรง รวมถึงการถูกทำร้ายและสังหารเพื่อนำอวัยวะไปใช้ในพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
- ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด: การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาว่าเป็นแม่มดยังคงเกิดขึ้นในบางชุมชน
แม้จะมีปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลมาลาวีได้แสดงความพยายามในการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนอยู่บ้าง เช่น การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ และการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่มาก และจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และประชาคมระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในมาลาวีอย่างแท้จริง
6. การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศมาลาวีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 ภาค (Region) ซึ่งแต่ละภาคจะแบ่งย่อยออกเป็น เขต (District) รวมทั้งหมด 28 เขต นอกจากนี้ เขตต่างๆ ยังแบ่งย่อยลงไปอีกเป็นประมาณ 250 หน่วยการปกครองตามประเพณี (traditional authorities) และ 110 แขวงบริหาร (administrative wards) การปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารงานโดยผู้บริหารภาคและนายอำเภอที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลกลาง การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในยุคหลายพรรคจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 โดยพรรค UDF ชนะที่นั่งส่วนใหญ่ แต่การเลือกตั้งท้องถิ่นรอบที่สองที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2005 ถูกรัฐบาลยกเลิกไป
ภาคและเขตต่างๆ มีดังนี้:
อันดับ | เมือง | ภาค | ประชากร | ภาพ |
---|---|---|---|---|
1 | ลิลองเว | ภาคกลาง | 989,318 | ![]() |
2 | บลันไทร์ | ภาคใต้ | 800,264 | ![]() |
3 | อึมซูซู | ภาคเหนือ | 221,272 | |
4 | ซอมบา | ภาคใต้ | 105,013 | |
5 | การองกา | ภาคเหนือ | 61,609 | |
6 | กาซุงกู | ภาคกลาง | 58,653 | |
7 | มังโกจี | ภาคใต้ | 53,498 | |
8 | ซาลีมา | ภาคกลาง | 36,789 | |
9 | ลีวอนเด | ภาคใต้ | 36,421 | |
10 | บาลากา | ภาคใต้ | 36,308 |
10.2. กลุ่มชาติพันธุ์และภาษา
ประชากรของมาลาวีประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองหลายกลุ่ม รวมถึงชาวเอเชียและชาวยุโรป กลุ่มชาติพันธุ์หลักๆ ได้แก่:
- ชาวเชวา (Chewa): 34.4%
- ชาวทุมบูกา (Tumbuka): 22.2% (รวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาใกล้เคียงกัน)
- ชาวลอมเว (Lomwe): 18.9%
- ชาวยาว (Yao): 14.3%
- ชาวเซนา (Sena): 3.8%
- ชาวมันกันจา (Mang'anja): 3.2%
- ชาวยานจา (Nyanja): 1.9%
- ชาวตองกา (Tonga): 1.8%
- ชาวอึงโกนเด (Ngonde): 1%
- ชาวลัมบยา (Lambya): 0.6%
- ชาวซูกวา (Sukwa): 0.5%
- อื่นๆ: 1.1%
ภาษา:

ภาษาทางการของมาลาวีคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้ในการบริหารราชการ การศึกษา และธุรกิจระดับสูง
ภาษาเชวา (Chichewa หรือ Chinyanja) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย และเป็นภาษาแม่หรือภาษาที่สองของประชากรส่วนใหญ่ (ประมาณ 42.2% พูดเป็นภาษาหลักตามสำมะโนปี 2018) นักเรียนทุกคนในโรงเรียนประถมของรัฐได้รับการสอนเป็นภาษาเชวา ส่วนนักเรียนในโรงเรียนประถมเอกชนจะได้รับการสอนเป็นภาษาอังกฤษหากพวกเขาใช้หลักสูตรแบบอเมริกันหรืออังกฤษ
ภาษาอื่นๆ ที่พูดกันอย่างแพร่หลายในระดับภูมิภาค ได้แก่:
- ภาษาทุมบูกา (Chitumbuka): พูดโดยประชากรประมาณ 33.8% ส่วนใหญ่ในภาคเหนือ
- ภาษายาว (Chiyao): พูดโดยประชากรประมาณ 12.1% ส่วนใหญ่ทางตอนใต้
- ภาษาเซนา (Chisena): พูดโดยประชากรประมาณ 9.7% ทางตอนใต้
- ภาษาโลมเว (Chilomwe): พูดโดยประชากรประมาณ 7.3% ทางตะวันออกเฉียงใต้
- ภาษาอื่นๆ รวมถึง ภาษาตองกา (Chitonga), ภาษาอึงคอนเด (Chinkhonde), ภาษาลัมบยา (Chilambya), ภาษานยาคูซา (Chinyakyusa), ภาษาโกโกลา, และภาษาอึนดาลี
แม้ว่าในอดีตจะมีความขัดแย้งในระดับภูมิภาคที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ แต่ภายในปี 2008 ความขัดแย้งภายในนี้ได้ลดลงอย่างมาก และแนวคิดในการระบุตัวตนด้วยสัญชาติมาลาวีได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงสิทธิของชนกลุ่มน้อยในการใช้ภาษาและวัฒนธรรมของตนเองยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมในสังคม
10.3. ศาสนา

มาลาวีเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ โดยมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก จากการสำรวจของรัฐบาล (สำมะโนปี 2018) ระบุว่า:
- ศาสนาคริสต์: 77.3%
- ศาสนาอิสลาม: 13.8%
- ศาสนาดั้งเดิม: 1.1%
- อื่นๆ หรือไม่มีศาสนา: 7.8%
ศาสนาคริสต์:
เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในมาลาวี กลุ่มคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดคือ:
- คริสตจักรโรมันคาทอลิก: ประมาณ 19% ของประชากรทั้งหมดเป็นสมาชิกของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
- คริสตจักรเพรสไบทีเรียนแห่งแอฟริกากลาง (Church of Central Africa Presbyterian - CCAP): ประมาณ 18% ของประชากรเป็นสมาชิก CCAP เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในมาลาวี มีสมาชิกประมาณ 1.3 ล้านคน
- นิกายเพรสไบทีเรียนอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า ได้แก่ คริสตจักรเพรสไบทีเรียนปฏิรูปแห่งมาลาวี (Reformed Presbyterian Church of Malawi) และคริสตจักรเพรสไบทีเรียนอีแวนเจลิคัลแห่งมาลาวี (Evangelical Presbyterian Church of Malawi)
- นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเล็กๆ ของผู้นับถือนิกายอังกลิคัน นิกายแบปทิสต์ กลุ่มอีแวนเจลิคัล คริสตจักรเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ และลูเทอแรน
ศาสนาอิสลาม:
ประชากรมุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนี ซึ่งอาจสังกัดกลุ่มย่อย กอดิรียะห์ (Qadriya) หรือ ซุกกูตู (Sukkutu) ศาสนาอิสลามเข้ามาในภูมิภาคนี้ผ่านทางการค้ากับพ่อค้าชาวอาหรับและสวาฮิลีตั้งแต่ก่อนยุคอาณานิคม และมีอิทธิพลสำคัญในบางพื้นที่ โดยเฉพาะทางตอนใต้และตามแนวชายฝั่งทะเลสาบมาลาวี
ศาสนาและความเชื่ออื่นๆ:
- พยานพระยะโฮวา: มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 100,000 คน
- ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย: มีสมาชิกประมาณ 2,000 คน ณ สิ้นปี 2015
- ขบวนการราสตาฟารี
- ศาสนาฮินดู
- ศาสนาบาไฮ: ประมาณ 0.2% ของประชากร
- ผู้ที่ไม่นับถือศาสนา (Atheists) หรือผู้ที่นับถือศาสนาดั้งเดิมของแอฟริกาที่ไม่นับถือเทพเจ้าใดๆ มีประมาณ 4%
ศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวมาลาวี และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม ค่านิยมทางสังคม และการเมือง สถาบันศาสนาต่างๆ มักมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาสังคม เช่น การให้บริการด้านการศึกษาและสาธารณสุข
10.4. การศึกษา
ระบบการศึกษาในมาลาวีประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ในปี ค.ศ. 1994 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายการศึกษาประถมศึกษาฟรีสำหรับเด็กชาวมาลาวีทุกคน และการศึกษาประถมศึกษาได้กลายเป็นภาคบังคับตั้งแต่มีการผ่านพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับแก้ไขในปี ค.ศ. 2012 ส่งผลให้อัตราการลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 58% ในปี ค.ศ. 1992 เป็น 75% ในปี ค.ศ. 2007 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพิ่มขึ้นจาก 64% ในปี ค.ศ. 1992 เป็น 86% ในปี ค.ศ. 2006 จากข้อมูลของธนาคารโลก อัตราการรู้หนังสือของเยาวชน (อายุ 15-24 ปี) ก็เพิ่มขึ้นจาก 68% ในปี ค.ศ. 2000 เป็น 75% ในปี ค.ศ. 2015 การเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปรับปรุงสื่อการเรียนการสอนในโรงเรียน โครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น และโครงการอาหารกลางวันที่ดำเนินการทั่วทั้งระบบโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาลดลงเหลือประมาณ 25% โดยอัตราการเข้าเรียนของนักเรียนชายสูงกว่าเล็กน้อย อัตราการออกกลางคันสูงกว่าในกลุ่มนักเรียนหญิงมากกว่านักเรียนชาย
การศึกษาในมาลาวีประกอบด้วยการศึกษาประถมศึกษา 8 ปี, มัธยมศึกษา 4 ปี และมหาวิทยาลัย 4 ปี มีมหาวิทยาลัยของรัฐ 4 แห่งในมาลาวี ได้แก่ มหาวิทยาลัยอึมซูซู (Mzuzu University - MZUNI), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติลิลองเว (Lilongwe University of Agriculture and Natural Resources - LUANAR), มหาวิทยาลัยมาลาวี (University of Malawi - UNIMA) และ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาลาวี (Malawi University of Science and Technology - MUST) นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยเอกชน เช่น ลิฟวิงสโตเนีย, มาลาวีเลควิว และมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งมาลาวี คุณสมบัติในการเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษาคือต้องได้หน่วยกิต 6 หน่วยกิตจากประกาศนียบัตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของมาลาวี (Malawi School Certificate of Education) ซึ่งเทียบเท่ากับระดับ O-levels
แม้จะมีความก้าวหน้าในการขยายการเข้าถึงการศึกษา แต่คุณภาพการศึกษายังคงเป็นความท้าทายสำคัญ รวมถึงการขาดแคลนครูผู้สอนที่มีคุณภาพ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ ภารกิจการปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ยังคงเป็นวาระสำคัญของประเทศ
10.5. สาธารณสุขและการแพทย์
มาลาวีมีโรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลระดับภูมิภาค และสถานพยาบาลเอกชน ภาครัฐให้บริการด้านสุขภาพและยาฟรี ในขณะที่องค์กรพัฒนาเอกชนให้บริการและยาโดยคิดค่าธรรมเนียม แพทย์เอกชนให้บริการและยาโดยคิดค่าธรรมเนียม โครงการประกันสุขภาพได้เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ประเทศนี้มีอุตสาหกรรมการผลิตยาซึ่งประกอบด้วยบริษัทเอกชน 4 แห่ง สถานพยาบาลที่สำคัญบางแห่งในประเทศ ได้แก่ โรงพยาบาลแอดเวนติสต์บลันไทร์ โรงพยาบาลเอกชนมไววาตู และโรงพยาบาลกลางคามูซู
ตัวชี้วัดทางสุขภาพที่สำคัญ:
- อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด: อยู่ที่ 50.03 ปี ซึ่งค่อนข้างต่ำ
- อัตราการตายของทารก: ยังคงสูง แม้ว่าจะมีความพยายามในการลดลง
- อัตราการตายของมารดา: สูงมาก แสดงถึงความท้าทายในการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก
สถานการณ์ของโรคที่สำคัญ:
- เอชไอวี/เอดส์: มีอัตราการระบาดในผู้ใหญ่สูง โดยประมาณ 980,000 คน (หรือ 9.1% ของประชากร) ติดเชื้อในปี ค.ศ. 2015 มีผู้เสียชีวิตจากเอชไอวี/เอดส์ประมาณ 27,000 คนต่อปี และเด็กกำพร้ากว่าครึ่งล้านคนเนื่องจากโรคนี้ (ปี ค.ศ. 2015) ประมาณ 250 คนติดเชื้อใหม่ทุกวัน และอย่างน้อย 70% ของเตียงในโรงพยาบาลของมาลาวีถูกใช้โดยผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ อัตราการติดเชื้อที่สูงส่งผลให้แรงงานในภาคเกษตรกรรมประมาณ 5.8% เสียชีวิตจากโรคนี้ รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่า 120.00 K USD ต่อปีสำหรับงานศพของข้าราชการที่เสียชีวิตจากโรคนี้
- มาลาเรีย: ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- โรคติดเชื้ออื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ โรคท้องร่วง จากแบคทีเรียและโปรโตซัว ไวรัสตับอักเสบ เอ ไข้ไทฟอยด์ กาฬโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด และ โรคพิษสุนัขบ้า
การเข้าถึงบริการทางการแพทย์และนโยบายสาธารณสุข:
การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส รัฐบาลและองค์กรต่างๆ พยายามปรับปรุงการเข้าถึงบริการและคุณภาพการรักษาพยาบาล นโยบายสาธารณสุขมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ การส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก และการขยายบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล
กฎหมายการทำแท้ง: การทำแท้งผิดกฎหมายในมาลาวี ยกเว้นเพื่อช่วยชีวิตมารดา ประมวลกฎหมายอาญาลงโทษผู้หญิงที่ทำแท้งผิดกฎหมายหรือทำแท้งในคลินิกด้วยโทษจำคุก 7 ปี และ 14 ปีสำหรับผู้ที่ทำแท้งให้
แม้ว่ามาลาวีจะมีความก้าวหน้าในการลดอัตราการตายของเด็กและการเกิดโรคเอชไอวี/เอดส์ มาลาเรีย และโรคอื่นๆ แต่ประเทศยัง "ทำได้ไม่ดีนัก" ในการลดอัตราการตายของมารดาและการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ การขลิบอวัยวะเพศหญิง (FGM) แม้จะไม่แพร่หลาย แต่ก็มีการปฏิบัติในบางชุมชนท้องถิ่น การพิจารณาถึงผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ
10.6. สตรี

สถานภาพทางสังคมและสิทธิของสตรีในมาลาวียังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในบางด้านก็ตาม
- การศึกษา: แม้ว่าสัดส่วนนักเรียนหญิงต่อนักเรียนชายจะใกล้เคียงกันในระดับประถมศึกษา แต่จำนวนนักเรียนหญิงจะลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อัตราการออกกลางคันของนักเรียนหญิงยังคงสูงกว่านักเรียนชาย โดยมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความยากจน การแต่งงานในวัยเด็ก และภาระงานบ้าน
- สุขภาพ: อายุคาดเฉลี่ยของสตรีอยู่ที่ประมาณ 58 ปีในปี 2010 และเพิ่มขึ้นเป็น 66 ปีในปี 2017 อัตราการตายของมารดาในมาลาวีถือว่าต่ำเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบริการสุขภาพแม่และเด็กยังคงเป็นความท้าทาย
- การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ: สตรีจำนวนมากมีส่วนร่วมในภาคเกษตรกรรมที่ไม่เป็นทางการและเกษตรกรรมเพื่อยังชีพ สัดส่วนของประชากรชายที่ได้รับการจ้างงานมีสูงกว่า แต่ประชากรหญิงมีจำนวนผู้ได้รับการจ้างงานทั้งหมดสูงกว่า และมีอัตราการว่างงานใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ช่องว่างด้านค่าจ้างระหว่างเพศยังคงมีอยู่ โดยสตรีมักได้รับค่าจ้างน้อยกว่าบุรุษสำหรับงานประเภทเดียวกัน
- การมีส่วนร่วมทางการเมือง: การมีส่วนร่วมของสตรีในการเมืองระดับชาติยังคงอ่อนแอกว่าบุรุษ เนื่องจากทัศนคติแบบเหมารวมทางเพศ การเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการชนะการเลือกตั้งและการรักษาที่นั่งในรัฐสภายังถูกจำกัดโดย "ผู้เฝ้าประตู" (gatekeepers) แม้ว่ารัฐสภาแห่งชาติจะมีการแต่งตั้งสมาชิกสตรีเข้ารับตำแหน่ง และกว่า 20% ของที่นั่งในรัฐสภาเป็นของสตรี แต่จำนวนสตรีในตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญยังคงมีจำกัด
- สิทธิทางกฎหมาย: สิทธิในการรับมรดกในมาลาวีมีความเท่าเทียมกันทางเพศสำหรับบุตรและคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับสตรีในประเด็นอื่นๆ เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความท้าทาย
- ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ: สตรีในมาลาวียังคงเผชิญกับความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ รวมถึงความรุนแรงในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ และการค้ามนุษย์ การแต่งงานในเด็กเคยเป็นปัญหาใหญ่ แต่ในปี 2015 มาลาวีได้เพิ่มอายุขั้นต่ำตามกฎหมายสำหรับการสมรสจาก 15 ปีเป็น 18 ปี
นโยบายต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและเพิ่มขีดความสามารถของสตรี เช่น นโยบายส่งเสริมการศึกษาของเด็กหญิง และการสนับสนุนบทบาทของสตรีในการพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการบรรลุความเสมอภาคทางเพศอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ และจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วนในสังคม
10.7. ปัญหาความอดอยาก
ปัญหาความอดอยากและการขาดแคลนอาหารเป็นความท้าทายที่สำคัญและเรื้อรังในมาลาวี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเป็นอยู่ของประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ
สถานการณ์:
มาลาวีประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูเก็บเกี่ยว (lean season) ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ภาวะทุพโภชนาการในเด็กยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ตามดัชนีความหิวโหยโลก (Global Hunger Index - GHI) ปี 2024 มาลาวีมีคะแนนอยู่ที่ 21.9 ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความหิวโหยที่ รุนแรง (serious) โดยอยู่ในอันดับที่ 93 จาก 127 ประเทศ
สาเหตุของปัญหา:
1. การพึ่งพาเกษตรกรรมที่อาศัยน้ำฝน: เศรษฐกิจของมาลาวีพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเกษตรแบบอาศัยน้ำฝน ทำให้มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและอุทกภัย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรโดยตรง
2. ความยากจน: ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ทำให้ขาดกำลังซื้ออาหารแม้ในช่วงที่อาหารมีราคาแพงขึ้น และขาดความสามารถในการลงทุนในปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
3. การเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว: อัตราการเติบโตของประชากรที่สูงสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรที่ดินและอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด
4. ผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์: การแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ส่งผลให้สูญเสียแรงงานในภาคเกษตรกรรม และเพิ่มภาระให้กับครัวเรือนในการดูแลผู้ป่วย
5. นโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน: การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนภาคเกษตรกรรม เช่น ระบบชลประทาน ถนนหนทางในการขนส่งผลผลิต และคลังจัดเก็บผลผลิต รวมถึงนโยบายที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
6. ความผันผวนของราคาในตลาดโลก: สำหรับพืชเศรษฐกิจบางชนิด เช่น ยาสูบ ราคาในตลาดโลกที่ผันผวนส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและความสามารถในการซื้ออาหาร
ความพยายามในการแก้ไขปัญหา:
ทั้งภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และประชาคมระหว่างประเทศได้ดำเนินความพยายามต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความอดอยากในมาลาวี ได้แก่:
- โครงการอุดหนุนปัจจัยการผลิตทางการเกษตร: เช่น โครงการ FISP และ AIP เพื่อช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง
- การส่งเสริมความหลากหลายของพืชผล: เพื่อลดการพึ่งพิงพืชชนิดเดียว (เช่น ข้าวโพด) และส่งเสริมการปลูกพืชที่ทนแล้งและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทาน: เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้ง
- โครงการอาหารและการโภชนาการ: เช่น โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน และการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่กลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤต
- การส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน: เช่น การทำเกษตรอินทรีย์ และการอนุรักษ์ดินและน้ำ
- การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม: จากองค์การระหว่างประเทศ เช่น โครงการอาหารโลก (WFP) ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ
การแก้ไขปัญหาความอดอยากในมาลาวีจำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกร การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือนและระดับชาติ และการแก้ไขปัญหาความยากจนในระยะยาว
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของมาลาวีเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กับอิทธิพลจากภายนอก โดยเฉพาะจากยุคอาณานิคมของอังกฤษ ชื่อเล่นของประเทศว่า "หัวใจอันอบอุ่นแห่งแอฟริกา" (The Warm Heart of Africa) สะท้อนถึงลักษณะนิสัยที่เป็นมิตรและมีอัธยาศัยดีของชาวมาลาวี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในชนบท มีความเป็นอนุรักษ์นิยม และโดยทั่วไปแล้วไม่นิยมความรุนแรง
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ถึง 2010 และอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ธงชาติมาลาวีประกอบด้วยแถบแนวนอนสามแถบขนาดเท่ากัน สีดำ แดง และเขียว โดยมีรูปพระอาทิตย์ขึ้นสีแดงซ้อนทับอยู่ตรงกลางแถบสีดำ แถบสีดำหมายถึงชาวแอฟริกัน สีแดงหมายถึงเลือดของผู้พลีชีพเพื่ออิสรภาพของแอฟริกา สีเขียวหมายถึงธรรมชาติที่เขียวชอุ่มตลอดปีของมาลาวี และพระอาทิตย์ขึ้นหมายถึงรุ่งอรุณแห่งอิสรภาพและความหวังสำหรับแอฟริกา ในปี ค.ศ. 2010 ธงได้ถูกเปลี่ยน โดยนำรูปพระอาทิตย์ขึ้นสีแดงออกและเพิ่มรูปพระอาทิตย์เต็มดวงสีขาวเข้ามาตรงกลางเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของมาลาวี การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 2012 และกลับไปใช้ธงแบบเดิม
คณะนาฏศิลป์แห่งชาติ (เดิมชื่อคณะวัฒนธรรมควาชา) ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1987 โดยรัฐบาล ดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิมสามารถพบเห็นได้ในพิธีการต่างๆ เช่น พิธีเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ พิธีกรรมทางศาสนา พิธีแต่งงาน และงานเฉลิมฉลอง กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองของมาลาวีมีประเพณีการจักสานและการแกะสลักหน้ากากไม้ งานแกะสลักไม้และภาพวาดสีน้ำมันยังเป็นที่นิยมในศูนย์กลางเมืองใหญ่ โดยสินค้าจำนวนมากที่ผลิตขึ้นจะขายให้กับนักท่องเที่ยว
11.1. ศิลปะและงานฝีมือดั้งเดิม

มาลาวีมีมรดกทางศิลปะและงานฝีมือดั้งเดิมที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศ งานฝีมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสวยงาม แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและมักถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมและชีวิตประจำวัน รูปแบบศิลปะและงานฝีมือดั้งเดิมที่สำคัญ ได้แก่:
- งานแกะสลักไม้ (Wood Carving): เป็นงานฝีมือที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของมาลาวี ช่างฝีมือจะแกะสลักไม้เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น หน้ากาก รูปคน สัตว์ และสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน หน้ากากมักใช้ในการเต้นรำในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเต้นรำ "กูเล วัมกูลู" (Gule Wamkulu) ของชาวเชวา ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก งานแกะสลักไม้อื่นๆ รวมถึงเก้าอี้เท้าแขน (Chief's chairs) และเครื่องประดับต่างๆ ไม้ที่นิยมใช้คือไม้มะฮอกกานี ไม้มะเกลือ และไม้เนื้ออ่อนอื่นๆ
- งานจักสาน (Basketry): การจักสานเป็นทักษะที่สืบทอดกันมาในหลายชุมชน โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น หญ้า ใบปาล์ม และกก มาสานเป็นภาชนะต่างๆ เช่น ตะกร้า เสื่อ หมวก และของใช้ในครัวเรือน ลวดลายและรูปแบบการสานจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและกลุ่มชาติพันธุ์
- สิ่งทอ (Textiles): การทอผ้าแบบดั้งเดิมอาจไม่แพร่หลายเท่าในบางประเทศแอฟริกาตะวันตก แต่ก็มีการผลิตผ้าพื้นเมือง เช่น "ชิเทนเจ" (Chitenje) ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายพิมพ์ลายสีสันสดใสที่ผู้หญิงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องแต่งกายหรือใช้ห่อของ ผ้าชิเทนเจมักมีลวดลายที่สื่อความหมายหรือข้อความต่างๆ
- เครื่องปั้นดินเผา (Pottery): การปั้นหม้อและภาชนะดินเผาเป็นงานฝีมือที่ทำกันมาแต่โบราณ โดยเฉพาะในกลุ่มสตรี ภาชนะดินเผาใช้สำหรับเก็บน้ำ ปรุงอาหาร และในพิธีกรรมต่างๆ
- เครื่องประดับ (Jewelry): มีการทำเครื่องประดับจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ลูกปัด เมล็ดพืช เปลือกหอย และโลหะ
งานฝีมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับช่างฝีมือและชุมชนท้องถิ่นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขายให้กับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การสืบทอดทักษะเหล่านี้ไปยังคนรุ่นใหม่และการรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ
11.2. ดนตรีและการเต้นรำ
ดนตรีและการเต้นรำเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมาลาวี สะท้อนถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คน ทั้งดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิมและร่วมสมัยต่างก็มีบทบาทสำคัญในสังคม
ดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิม:
แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ในมาลาวีมีรูปแบบดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางสังคม ศาสนา และเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การเกิด การเข้าสู่วัยหนุ่มสาว การแต่งงาน และการเสียชีวิต
- กูเล วัมกูลู (Gule Wamkulu): เป็นการเต้นรำในพิธีกรรมลับของชาวเชวา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ผู้เต้นจะสวมหน้ากากไม้แกะสลักขนาดใหญ่และเครื่องแต่งกายที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อเป็นตัวแทนของวิญญาณบรรพบุรุษ สัตว์ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
- วิมบูซา (Vimbuza): เป็นการเต้นรำเพื่อการรักษาโรคของชาวทุมบูกาทางตอนเหนือ ซึ่งก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมฯ เช่นกัน เชื่อกันว่าการเต้นรำและดนตรีประกอบจะช่วยขับไล่วิญญาณร้ายที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย
- การเต้นรำอื่นๆ: เช่น การเต้นรำ เบนิ (Beni) ของชาวยาว ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวงโยธวาทิตของทหารในยุคอาณานิคม, การเต้นรำ มาลีพันกา (Malipenga) ของชาวตองกา และการเต้นรำ ชิopa (Tchopa) ของชาวลอมเว ซึ่งเป็นการเต้นรำเพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวที่ดีหรือชัยชนะในการล่าสัตว์
เครื่องดนตรี:
เครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมมีความหลากหลาย เช่น
- กลอง (Drums): เป็นเครื่องดนตรีหลักในดนตรีแอฟริกันหลายประเภท มีหลายขนาดและรูปแบบ
- บันจิรา (Bangwe) หรือ ซีโลโฟน (Xylophone): ทำจากแผ่นไม้ที่วางเรียงกันบนโครงและตีให้เกิดเสียง
- มาลิมบา (Malimba) หรือ อึมบิรา (Mbira): เป็นเครื่องดนตรีประเภทเปียโนนิ้วโป้ง ทำจากแผ่นโลหะหรือไม้ไผ่ที่ยึดติดกับกล่องเสียง
- ขลุ่ย และ แตร ที่ทำจากเขาหรือเขาสัตว์
ดนตรีสมัยนิยมร่วมสมัย:
มาลาวีมีวงการดนตรีสมัยนิยมที่กำลังเติบโต โดยได้รับอิทธิพลจากดนตรีแอฟริกันแนวอื่นๆ เช่น กวาสซา กวาสซา (Kwassa Kwassa) จากคองโก เร็กเก้ และฮิปฮอป รวมถึงดนตรีตะวันตก นักดนตรีชาวมาลาวีหลายคนได้ผสมผสานองค์ประกอบของดนตรีดั้งเดิมเข้ากับแนวดนตรีสมัยใหม่ สร้างสรรค์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง นักดนตรีคนสำคัญในอดีตและปัจจุบัน เช่น วัมบายา มซาซา (Wambali Mkandawire) ผู้ล่วงลับ, ลักกี ดูเบ (Lucky Dube - แม้จะเป็นชาวแอฟริกาใต้ แต่มีอิทธิพลอย่างมาก), กิฟต์ ฟูโม (Giddes Chalamanda), ลูเซียส บันดา (Lucius Banda), และศิลปินรุ่นใหม่อย่าง เทย์ กริน (Tay Grin) และ สนุกกี้ (Skeffa Chimoto)
ดนตรีและการเต้นรำยังคงเป็นส่วนสำคัญของงานเฉลิมฉลอง เทศกาล และการรวมตัวทางสังคมในมาลาวี
11.3. อาหาร
อาหารมาลาวีมีลักษณะเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรสชาติ โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นหลัก อาหารหลักและอาหารพื้นเมืองที่เป็นตัวแทนของประเทศ ได้แก่:
- อึนซิมา (Nsima): เป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุดของชาวมาลาวี ทำจากแป้งข้าวโพดสีขาว (maize flour) นำมาต้มกับน้ำและคนจนข้นเหนียวคล้ายโจ๊กหรือแป้งเปียก มักปั้นเป็นก้อนและรับประทานด้วยมือ อึนซิมาจะรับประทานคู่กับ "เรลิช" (ndiwo) ซึ่งเป็นกับข้าว
- เรลิช (Ndiwo): เป็นกับข้าวที่รับประทานคู่กับอึนซิมา มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีในแต่ละฤดูกาลและแต่ละท้องถิ่น ได้แก่:
- ผักใบเขียว: เช่น ใบฟักทอง (pumpkin leaves - mnkhwaniอึมควานิChichewa), ใบมันสำปะหลัง (cassava leaves - chigwadaชิกวาดาChichewa), ใบถั่ว (bean leaves), และผักกาดเขียว (mustard greens) นำมาต้มหรือผัดกับมะเขือเทศและหัวหอม บางครั้งอาจใส่ถั่วลิสงบด (peanut flour) เพื่อเพิ่มรสชาติและความเข้มข้น
- เนื้อสัตว์และปลา: เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อไก่ และปลา เป็นเรลิชที่นิยมเช่นกัน ปลาที่นิยมนำมาทำกับข้าว ได้แก่ ปลาชอมโบ (Chambo - ปลานิลชนิดหนึ่งจากทะเลสาบมาลาวี) ปลาอูซิปา (Usipa - ปลาซาร์ดีนขนาดเล็ก) และปลากัมปังโก (Kampango - ปลาหนังชนิดหนึ่ง) ปลามักจะนำมาย่าง ต้ม หรือทอด
- ถั่วต่างๆ: เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วแขก นำมาต้มเป็นสตูว์
- ทีฟวาสา (Thobwa): เป็นเครื่องดื่มหมักที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (หรือมีแอลกอฮอล์ต่ำมาก) ทำจากข้าวโพดหรือข้าวฟ่าง มีรสหวานอมเปรี้ยว เป็นที่นิยมดื่มเพื่อความสดชื่น
- มันเทศและมันสำปะหลัง: เป็นพืชหัวที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง มักนำมาต้มหรือย่างรับประทาน
- ผลไม้: มาลาวีมีผลไม้ตามฤดูกาลหลากหลายชนิด เช่น มะม่วง กล้วย สับปะรด และอะโวคาโด
วัฒนธรรมอาหารในแต่ละภูมิภาคอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น เช่น บริเวณใกล้ทะเลสาบมาลาวีจะบริโภคปลาเป็นหลัก การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนเป็นเรื่องปกติในสังคมมาลาวี และมักจะใช้มือในการรับประทานอึนซิมา
11.4. กีฬา

กีฬาเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในมาลาวี โดยมีกีฬาหลายประเภทที่ผู้คนให้ความสนใจทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้ชม กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่:
- ฟุตบอล (Football/Soccer): เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดและถือเป็นกีฬาแห่งชาติของมาลาวี ฟุตบอลถูกนำเข้ามาในช่วงการปกครองของอังกฤษ ทีมฟุตบอลชาติมาลาวี หรือที่รู้จักในชื่อ "เดอะ เฟลมส์" (The Flames) แม้ว่าจะยังไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก แต่ก็เคยเข้าร่วมการแข่งขัน แอฟริกาคัพออฟเนชันส์ (Africa Cup of Nations) หลายครั้ง โดยผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ 2021 ลีกฟุตบอลในประเทศคือ มาลาวีพรีเมียร์ดิวิชัน (Malawi Premier Division) ซึ่งมีสโมสรที่สำคัญ เช่น ไมตี้ วันเดอเรอร์ส (Mighty Wanderers), บิก บูลเล็ตส์ เอฟซี (Nyasa Big Bullets FC), ซิลเวอร์ สไตรเกอร์ส เอฟซี (Silver Strikers FC), บลู อีเกิลส์ เอฟซี (Blue Eagles FC), และ มอยาเล บาร์แรคส์ เอฟซี (Moyale Barracks FC)
- เนตบอล (Netball): เป็นกีฬาที่มาลาวีประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับนานาชาติ ทีมเนตบอลหญิงชาติมาลาวี หรือ "เดอะ ควีนส์" (The Queens) เป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของโลก โดยมักจะติดอันดับท็อป 10 ของโลก และเคยทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในการแข่งขันชิงแชมป์โลกและกีฬาเครือจักรภพ เนตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มสตรีและเด็กผู้หญิง
- บาสเกตบอล (Basketball): กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนในเขตเมือง แม้ว่าทีมชาติบาสเกตบอลมาลาวีจะยังไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญมากนัก แต่ก็มีการพัฒนาลีกในประเทศและการฝึกสอนอย่างต่อเนื่อง
- กรีฑา (Athletics): แม้ว่าจะไม่โดดเด่นเท่าฟุตบอลหรือเนตบอล แต่ก็มีนักกีฬามาลาวีเข้าร่วมการแข่งขันกรีฑาระดับนานาชาติ เช่น กีฬาโอลิมปิกและกีฬาเครือจักรภพ โดยเฉพาะในประเภทวิ่งระยะไกล
กีฬาอื่นๆ ที่มีการเล่นกันบ้างในมาลาวี ได้แก่ วอลเลย์บอล มวย และกีฬาพื้นบ้านต่างๆ รัฐบาลและองค์กรกีฬาในมาลาวีกำลังพยายามส่งเสริมการพัฒนากีฬาในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึงระดับอาชีพ เพื่อยกระดับมาตรฐานและสร้างโอกาสให้นักกีฬาชาวมาลาวีได้แสดงความสามารถในเวทีโลก
11.5. วรรณกรรม
วรรณกรรมมาลาวีมีรากฐานมาจากขนบวรรณกรรมมุขปาฐะ (oral literature) ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่าเรื่อง การถ่ายทอดความรู้ และความบันเทิงที่สำคัญในสังคมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ประกอบด้วยนิทาน ตำนาน สุภาษิต บทกวี และเพลง ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นผ่านการบอกเล่า
การพัฒนาของวรรณกรรมสมัยใหม่ในมาลาวีเริ่มเด่นชัดขึ้นในช่วงหลังได้รับเอกราช โดยมีนักเขียนหลายคนที่สร้างสรรค์ผลงานทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษาเชวา นักเขียนคนสำคัญและผลงานที่เป็นตัวแทน ได้แก่:
- แจ็ค มาปันเจ (Jack Mapanje): เป็นกวีที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ผลงานของเขามักสะท้อนถึงประเด็นทางการเมืองและสังคมในมาลาวีในช่วงการปกครองของเฮสติงส์ บันดา ซึ่งทำให้เขาเคยถูกจำคุกโดยไม่มีการพิจารณาคดี ผลงานเด่นคือรวมบทกวี "Of Chameleons and Gods" (1981)
- พอล ทิยัมเบ เซเลซา (Paul Tiyambe Zeleza): เป็นนักประวัติศาสตร์ นักวิจารณ์ นักเขียนเรื่องสั้น และนักประพันธ์นวนิยาย ผลงานของเขามีความหลากหลาย ครอบคลุมทั้งประเด็นทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมในแอฟริกา
- เลกสัน คายิรา (Legson Kayira): เป็นนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงจากผลงานอัตชีวประวัติ "I Will Try" (1965) ซึ่งเล่าเรื่องการเดินทางด้วยเท้าจากมาลาวีไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อ นอกจากนี้ยังมีนวนิยายอื่นๆ เช่น "The Looming Shadow" (1967)
- เดวิด รับบาดิรี (David Rubadiri): เป็นนักการทูต นักวิชาการ และกวี ผลงานกวีของเขามักสะท้อนถึงประสบการณ์ในยุคอาณานิคมและการต่อสู้เพื่อเอกราช
- สตีฟ ชิโมมโบ (Steve Chimombo): เป็นนักเขียนบทละคร กวี และนักวิชาการ มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปะในมาลาวี
แนวโน้มในวงวรรณกรรมมาลาวีร่วมสมัยมีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีนักเขียนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่างๆ และหยิบยกประเด็นทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่ร่วมสมัยมานำเสนอ อย่างไรก็ตาม วงการวรรณกรรมยังเผชิญกับความท้าทายในด้านการพิมพ์ การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการอ่านในประเทศ
11.6. สื่อมวลชน
การพัฒนาของสื่อมวลชนในมาลาวีมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งนำมาซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น
- หนังสือพิมพ์: มีหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์หลายฉบับที่ตีพิมพ์ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาเชวา หนังสือพิมพ์ที่สำคัญ ได้แก่ "เดอะ เนชั่น" (The Nation), "เดอะ เดลี่ ไทมส์" (The Daily Times), และ "นยาซา ไทมส์ ออนไลน์" (Nyasa Times Online) ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยม
- วิทยุ: เป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้กว้างขวางที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งมาลาวี (Malawi Broadcasting Corporation - MBC) เป็นสถานีของรัฐ นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุเอกชนและสถานีวิทยุชุมชนอีกจำนวนมากที่ดำเนินการอยู่
- โทรทัศน์: สถานีโทรทัศน์แห่งมาลาวี (MBC TV) เป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ นอกจากนี้ยังมีสถานีโทรทัศน์เอกชนหลายแห่ง เช่น Zodiak Television และ Times Television ณ ปี 2016 มาลาวีมีสถานีโทรทัศน์ประมาณ 20 สถานีที่ออกอากาศผ่านเครือข่ายดิจิทัล MDBNL
- อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเมืองและในกลุ่มเยาวชน สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊กและวอตส์แอปป์ กลายเป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารและการแสดงความคิดเห็น
หน่วยงานกำกับดูแลการสื่อสารของมาลาวี (Malawi Communications Regulatory Authority - MACRA) มีหน้าที่กำกับดูแลกิจการวิทยุ โทรทัศน์ ไปรษณีย์ และโทรคมนาคมในประเทศ
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร:
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ แต่ในทางปฏิบัติ สื่อมวลชนในมาลาวียังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การแทรกแซงทางการเมือง การข่มขู่คุกคามนักข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อปิดปากสื่อ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อบางฉบับยังถูกมองว่าล้าสมัยและอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลจากภาครัฐ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องมีการปรับปรุง องค์กรภาคประชาสังคมและกลุ่มสื่อมวลชนในมาลาวีกำลังทำงานเพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของสื่อและความปลอดภัยของนักข่าว รวมถึงการผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
11.7. แหล่งมรดกโลก
มาลาวีมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จำนวน 2 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ ได้แก่:
1. อุทยานแห่งชาติทะเลสาบมาลาวี (Lake Malawi National Park):
- ประเภท: มรดกโลกทางธรรมชาติ
- ปีที่ขึ้นทะเบียน: ค.ศ. 1984
- คุณค่า: อุทยานแห่งชาติทะเลสาบมาลาวีได้รับการยอมรับในด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหลากหลายของพันธุ์ปลาในกลุ่มปลาหมอสี (cichlids) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาเฉพาะถิ่นที่ไม่พบที่ใดในโลก ทะเลสาบมาลาวีเป็นตัวอย่างที่สำคัญของกระบวนการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด (adaptive radiation) ในสิ่งมีชีวิต การอนุรักษ์ระบบนิเวศของทะเลสาบแห่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการรักษาสมดุลของธรรมชาติ อุทยานฯ ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ของทะเลสาบ รวมถึงเกาะแก่งต่างๆ และพื้นที่ชายฝั่งบางส่วน
2. แหล่งศิลปะบนหินโชโงนี (Chongoni Rock Art Area):
- ประเภท: มรดกโลกทางวัฒนธรรม
- ปีที่ขึ้นทะเบียน: ค.ศ. 2006
- คุณค่า: แหล่งศิลปะบนหินโชโงนีประกอบด้วยภาพวาดบนหินจำนวนมากที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ป่าบนที่ราบสูงทางตอนกลางของมาลาวี ภาพวาดเหล่านี้สร้างสรรค์ขึ้นโดยกลุ่มชนนักล่าสัตว์เก็บของป่า (ชาวบาตวา) และกลุ่มเกษตรกร (ชาวเชวา) ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยมีอายุตั้งแต่ยุคหินตอนปลายมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาพวาดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพวาดของชาวเชวาที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมสตรีและการเต้นรำ "กูเล วัมกูลู" (Gule Wamkulu) ซึ่งเป็นประเพณีที่ยังคงปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน แหล่งศิลปะบนหินโชโงนีเป็นหลักฐานสำคัญทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้
แหล่งมรดกโลกทั้งสองแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของมาลาวี และเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของประเทศ
11.8. วันหยุดนักขัตฤกษ์
มาลาวีมีวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญหลายวัน ซึ่งสะท้อนถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ และประเพณีทางศาสนาของประเทศ วันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญบางวัน ได้แก่:
- 1 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่ (New Year's Day)
- 15 มกราคม: วันจอห์น ชิเลมบเว (John Chilembwe Day) - เป็นวันรำลึกถึงบาทหลวงจอห์น ชิเลมบเว นักการศึกษาและผู้นำการลุกฮือต่อต้านการปกครองอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1915 ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษคนสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชของมาลาวี
- 3 มีนาคม: วันผู้พลีชีพเพื่อชาติ (Martyrs' Day) - เป็นวันรำลึกถึงวีรบุรุษทางการเมืองที่เสียสละชีวิตในการต่อสู้กับลัทธิอาณานิคมของอังกฤษ โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตในระหว่างการประกาศภาวะฉุกเฉินในปี ค.ศ. 1959
- วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) และ วันอีสเตอร์จันทร์ (Easter Monday) - เป็นวันหยุดทางศาสนาคริสต์ กำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม
- 1 พฤษภาคม: วันแรงงานสากล (Labour Day)
- 14 พฤษภาคม: วันคามูซู บันดา (Kamuzu Day) - เป็นวันรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของ ดร.เฮสติงส์ คามูซู บันดา ประธานาธิบดีคนแรกของมาลาวี
- 6 กรกฎาคม: วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) - เป็นวันเฉลิมฉลองการได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1964
- วันอีดิลฟิฏริ (Eid al-Fitr) - เป็นวันหยุดทางศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นการสิ้นสุดเดือนรอมฎอน (เดือนแห่งการถือศีลอด) กำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติ
- 15 ตุลาคม: วันแม่ (Mother's Day) - วันนี้ยังตรงกับวันสตรีชนบทสากล (International Day of Rural Women)
- 25 ธันวาคม: วันคริสต์มาส (Christmas Day)
- 26 ธันวาคม: วันบ็อกซิ่งเดย์ (Boxing Day)
นอกจากนี้ อาจมีวันหยุดพิเศษอื่นๆ ที่ประกาศโดยรัฐบาลเป็นครั้งคราว วันหยุดเหล่านี้เป็นโอกาสให้ประชาชนได้พักผ่อน เฉลิมฉลอง และรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของชาติ