1. ภาพรวม
มอนเตเนโกรเป็นประเทศในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ บนคาบสมุทรบอลข่าน มีพรมแดนติดกับทะเลเอเดรียติกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โครเอเชียทางทิศตะวันตก บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เซอร์เบียทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คอซอวอทางทิศตะวันออก และแอลเบเนียทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด ส่วนเซติเญเป็นเมืองหลวงเก่าและศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ภูมิประเทศของมอนเตเนโกรมีความหลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสูงตามแนวชายแดน ไปจนถึงที่ราบชายฝั่งแคบ ๆ และภูมิประเทศแบบคาสต์ที่โดดเด่น ประเทศนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง เช่น ดูร์มิตอร์และทะเลสาบสคาดาร์
ประวัติศาสตร์ของมอนเตเนโกรเริ่มต้นตั้งแต่สมัยโบราณด้วยชาวอิลลิเรีย ตามด้วยการปกครองของจักรวรรดิโรมัน การเข้ามาของชาวสลาฟในยุคกลางได้ก่อให้เกิดรัฐต่าง ๆ เช่น ดูเคลีย และซีตา ต่อมาพื้นที่นี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันและสาธารณรัฐเวนิส มอนเตเนโกรได้รับเอกราชบางส่วนภายใต้การปกครองของราชวงศ์เปโตรวิช-นีเยกอชในฐานะรัฐมุขนายก และต่อมาเป็นราชรัฐ จนกระทั่งได้รับการยอมรับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) และกลายเป็นราชอาณาจักรมอนเตเนโกรในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มอนเตเนโกรได้รวมเข้ากับราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้กลายเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมมอนเตเนโกรภายในสหพันธ์ยูโกสลาเวีย หลังการล่มสลายของยูโกสลาเวีย มอนเตเนโกรยังคงอยู่ร่วมกับเซอร์เบียในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (ต่อมาคือเซอร์เบียและมอนเตเนโกร) จนกระทั่งประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) หลังการลงประชามติ ปัจจุบันมอนเตเนโกรเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เนโท และกำลังดำเนินการเพื่อเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
การเมืองของมอนเตเนโกรเป็นระบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) กำหนดให้ประเทศเป็นรัฐพลเมือง ประชาธิปไตย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเมืองในช่วงหลังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากมิโล จูคานอวิช ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทุจริตและการปกครองแบบอำนาจนิยม ประเทศเผชิญกับความท้าทายในการเสริมสร้างประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และการต่อสู้กับการทุจริต
เศรษฐกิจของมอนเตเนโกรมีพื้นฐานมาจากการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญเนื่องจากมีชายฝั่งทะเลเอเดรียติกที่สวยงามและภูมิประเทศที่เป็นภูเขา นอกจากนี้ยังมีภาคเกษตรกรรมและการผลิต ประเทศใช้สกุลเงินยูโร แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของยูโรโซน โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและพลังงานกำลังได้รับการพัฒนา
สังคมมอนเตเนโกรเป็นสังคมพหุชาติพันธุ์ โดยมีชาวมอนเตเนโกรเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ตามด้วยชาวเซิร์บ บอสนีแอก และแอลเบเนีย ภาษามอนเตเนโกรเป็นภาษาทางการ และมีการใช้ภาษาเซอร์เบีย บอสเนีย แอลเบเนีย และโครเอเชียด้วย ศาสนาหลักคือคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ตะวันออก รองลงมาคือศาสนาอิสลามและคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก วัฒนธรรมมอนเตเนโกรได้รับอิทธิพลจากหลายแหล่ง ทั้งออร์ทอดอกซ์ ออตโตมัน สลาฟ ยุโรปกลาง และวัฒนธรรมเอเดรียติกทางทะเล
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศมอนเตเนโกรในภาษาอังกฤษ Montenegroมอนเตเนโกรภาษาอังกฤษ มาจากคำในภาษาเวเนเชียน (monteภูเขาvec + negroสีดำvec) ซึ่งเป็นการแปลคำในภาษามอนเตเนโกรว่า Crna GoraMontenegrin (ระบบการเขียนภาษาละติน) (Црна ГораMontenegrin; Crna Goraツรนา โกราMontenegrin) ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า "ภูเขาสีดำ" ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะของภูเขาลอฟเชน (Mount Lovćenเมานต์ลอฟเชนภาษาอังกฤษ) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกคลุมไปด้วยป่าดิบชื้นหนาแน่น คำว่า Crna Goraツรนา โกราMontenegrin ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยสเตฟาน อูรอชที่ 1 ถึงที่ตั้งของมุขมณฑลซีตาของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียที่เกาะวรานยินาในทะเลสาบสคาดาร์ และเริ่มใช้เรียกพื้นที่ส่วนใหญ่ของมอนเตเนโกรในปัจจุบันในคริสต์ศตวรรษที่ 15
มอนเตเนโกรในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นด้วยชื่อนี้ในยุคประวัติศาสตร์หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรเดสปอตเซอร์เบียในปี ค.ศ. 1459 เดิมทีชื่อนี้หมายถึงเพียงแถบที่ดินเล็ก ๆ ภายใต้การปกครองของชนเผ่าปาชโตรวิชี แต่ในที่สุดชื่อนี้ก็ถูกนำมาใช้เรียกภูมิภาคภูเขาที่กว้างขึ้นหลังจากตระกูลตเซอร์โนเยวิชขึ้นสู่อำนาจในอัปเปอร์ซีตา ภูมิภาคดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อ Stara Crna Goraสตาราตซร์นากอราMontenegrin (Old Montenegroโอลด์มอนเตเนโกรภาษาอังกฤษ หรือ มอนเตเนโกรเก่า) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างภูมิภาคอิสระกับดินแดนมอนเตเนโกรที่อยู่ภายใต้การยึดครองของออตโตมันที่อยู่ใกล้เคียง คือ Brdaเบอร์ดาMontenegrin ("ที่ราบสูง") มอนเตเนโกรขยายขนาดเพิ่มขึ้นอีกหลายครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 อันเป็นผลมาจากสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งทำให้มีการผนวกเฮอร์เซโกวีนาเก่าและบางส่วนของเมตอฮิยาและรัชกาตอนใต้ พรมแดนของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตั้งแต่นั้นมา โดยสูญเสียเมตอฮิยาและได้รับอ่าวกอตอร์
หลังจากการประชุมครั้งที่สองของAVNOJ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในยูโกสลาเวีย รัฐมอนเตเนโกรสมัยใหม่ในปัจจุบันได้ก่อตั้งขึ้นในชื่อ Federal State of Montenegroซาเวซนา ดาร์ชาวา ซร์เน กอเรMontenegrin (Савезна држава Црне ГореMontenegrin; Savezna država Crne GoreMontenegrin (ระบบการเขียนภาษาละติน)) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ภายในสหพันธรัฐยูโกสลาเวียโดยZAVNOCGB หลังสงคราม มอนเตเนโกรกลายเป็นสาธารณรัฐภายใต้ชื่อ สาธารณรัฐประชาชนมอนเตเนโกร (Народна Република Црна ГораMontenegrin; Narodna Republika Crna Goraนาโรดนา เรปูบลิกา ซร์เน กอเรMontenegrin (ระบบการเขียนภาษาละติน)) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 ในปี ค.ศ. 1963 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมมอนเตเนโกร (Социјалистичка Република Црна ГораMontenegrin; Socijalistička Republika Crna Goraซอตซิยาลีซติชกา เรปูบลิกา ซร์เน กอเรMontenegrin (ระบบการเขียนภาษาละติน)) เมื่อเกิดการล่มสลายของยูโกสลาเวีย SRCG ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐมอนเตเนโกร (Република Црна ГораMontenegrin; Republika Crna Goraเรปูบลิกา ซร์นา กอราMontenegrin (ระบบการเขียนภาษาละติน)) เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1992 ภายในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียโดยการลบคำคุณศัพท์ "สังคมนิยม" ออกจากชื่อสาธารณรัฐ ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2007 หนึ่งปีหลังจากการประกาศเอกราช ชื่อของประเทศก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ มอนเตเนโกร อย่างเดียว ประเทศนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Mali i ZiมาลีอีซีAlbanian (หมายถึง ภูเขาสีดำ) ในภาษาแอลเบเนีย ในขณะที่เป็นที่รู้จักในชื่อ Crna Goraツรนา โกราMontenegrin ในภาษามอนเตเนโกร, เซอร์เบีย, บอสเนีย, และโครเอเชีย
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของมอนเตเนโกรครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่หล่อหลอมประเทศ ได้แก่ การตั้งถิ่นฐานของชาวอิลลิเรีย การปกครองของจักรวรรดิโรมัน การเข้ามาของชาวสลาฟ การก่อตั้งรัฐในยุคกลาง อิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันและสาธารณรัฐเวนิส การต่อสู้เพื่อเอกราช การรวมเข้ากับยูโกสลาเวีย และการได้รับเอกราชอีกครั้งในปี พ.ศ. 2549
3.1. สมัยโบราณ

พื้นที่ของมอนเตเนโกรในปัจจุบันเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอิลลิเรียและมีชาวอิลลิเรียซึ่งพูดภาษาอินโด-ยูโรเปียนอาศัยอยู่ อาณาจักรอิลลิเรียถูกพิชิตโดยสาธารณรัฐโรมันในสงครามอิลลิเรีย-โรมัน และภูมิภาคนี้ถูกรวมเข้ากับจังหวัดอิลลิริคุม (ต่อมาคือจังหวัดดัลมาเทียและพราเอวาลิตานา)
3.2. การเข้ามาของชาวสลาฟและสมัยกลาง

ในช่วงยุคกลางตอนต้น มีสามราชรัฐตั้งอยู่บนดินแดนของมอนเตเนโกรในปัจจุบัน ได้แก่ ดูเคลีย ซึ่งสอดคล้องกับครึ่งใต้โดยประมาณ, ทราวูเนีย ทางตะวันตก และรัชกา ทางตอนเหนือ ดูเคลียได้รับเอกราชจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 1042 ในอีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา ดูเคลียได้ขยายอาณาเขตไปยังรัชกาและบอสเนียที่อยู่ใกล้เคียง และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นราชอาณาจักร อำนาจของดูเคลียเริ่มเสื่อมลงในช่วงต้นศตวรรษที่ 12 หลังจากการสวรรคตของกษัตริย์บอดิน (ในปี ค.ศ. 1101 หรือ 1108) ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ดูเคลียถึงจุดสูงสุดภายใต้การปกครองของมิฮาอิโล (ค.ศ. 1046-1081) โอรสของวอยสลาฟ และกอนสตันติน บอดิน (ค.ศ. 1081-1101) พระนัดดาของพระองค์
ในขณะที่เหล่าขุนนางต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ อาณาจักรก็อ่อนแอลง และในปี ค.ศ. 1186 ดินแดนของมอนเตเนโกรในปัจจุบันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ปกครองโดยสเตฟาน เนมันยา และเป็นส่วนหนึ่งของรัฐต่าง ๆ ที่ปกครองโดยราชวงศ์เนมันยิชเป็นเวลาสองศตวรรษต่อมา หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิเซอร์เบียในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 14 ตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของซีตา คือ ตระกูลบัลชิช ได้กลายเป็นผู้ปกครองของซีตา
ภายในศตวรรษที่ 13 "ซีตา" ได้เข้ามาแทนที่ "ดูเคลีย" ในการอ้างถึงอาณาจักร ในปลายศตวรรษที่ 14 มอนเตเนโกรตอนใต้ (ซีตา) อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลบัลชิช จากนั้นเป็นตระกูลตเซอร์โนเยวิช และในศตวรรษที่ 15 ซีตามักถูกเรียกว่า "Crna Goraツรนา โกราMontenegrin" (มอนเตเนโกร)
ในปี ค.ศ. 1421 ซีตาถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรเดสปอตเซอร์เบีย แต่หลังจากปี ค.ศ. 1455 ตระกูลขุนนางอีกตระกูลหนึ่งจากซีตา คือ ตระกูลตเซอร์โนเยวิช ได้กลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศ ทำให้เป็นระบอบกษัตริย์อิสระสุดท้ายของคาบสมุทรบอลข่านก่อนที่จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1496 และถูกผนวกเข้ากับซันจักแห่งชโคดรา ในช่วงเวลาสั้น ๆ มอนเตเนโกรดำรงอยู่เป็น ซันจัก อิสระที่ปกครองตนเองในปี ค.ศ. 1514-1528 (ซันจักมอนเตเนโกร) นอกจากนี้ ภูมิภาคเฮอร์เซโกวีนาเก่ายังเป็นส่วนหนึ่งของซันจักเฮอร์เซโกวีนา
3.3. สมัยภายใต้จักรวรรดิออตโตมันและสาธารณรัฐเวนิส

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1392 พื้นที่หลายส่วนของดินแดนถูกควบคุมโดยสาธารณรัฐเวนิส รวมถึงเมืองบุดวา ซึ่งในเวลานั้นรู้จักกันในชื่อ "บูดูอา" ดินแดนของเวนิสมีศูนย์กลางอยู่ที่อ่าวกอตอร์ และสาธารณรัฐได้แต่งตั้งผู้ว่าการที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองของมอนเตเนโกร เวนิสควบคุมดินแดนในมอนเตเนโกรปัจจุบันจนกระทั่งการล่มสลายในปี ค.ศ. 1797
พื้นที่ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิออตโตมันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1496 ถึงปี ค.ศ. 1878 ในศตวรรษที่ 16 มอนเตเนโกรได้พัฒนารูปแบบการปกครองตนเองที่เป็นเอกลักษณ์ภายในจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งอนุญาตให้กลุ่มชนมอนเตเนโกรได้รับอิสรภาพจากข้อจำกัดบางประการ อย่างไรก็ตาม ชาวมอนเตเนโกรไม่พอใจกับการปกครองของออตโตมัน และในศตวรรษที่ 17 ได้ก่อกบฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของออตโตมันในสงครามมหาตุรกีเมื่อปลายศตวรรษนั้น
ดินแดนมอนเตเนโกรถูกควบคุมโดยกลุ่มชนเผ่าที่ชอบทำสงคราม กลุ่มชนเผ่าส่วนใหญ่มีหัวหน้า (knezคเนซMontenegrin) ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งเว้นแต่เขาจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้นำที่คู่ควรเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า การประชุมของกลุ่มชนเผ่ามอนเตเนโกร (Zborซบอร์Montenegrin) จัดขึ้นทุกปีในวันที่ 12 กรกฎาคมที่เซติเญ และชายฉกรรจ์ทุกคนในเผ่าสามารถเข้าร่วมได้ ในปี ค.ศ. 1515 มอนเตเนโกรกลายเป็นเทวาธิปไตยที่นำโดยสังฆมณฑลมอนเตเนโกรและชายฝั่งทะเล ซึ่งเจริญรุ่งเรืองหลังจากราชวงศ์เปโตรวิช-นีเยกอชแห่งเซติเญกลายเป็นเจ้าชายมุขนายก (ซึ่งมีตำแหน่งเป็น "วลาดิกาแห่งมอนเตเนโกร")
ผู้คนจากมอนเตเนโกรในยุคประวัติศาสตร์นี้ถูกบรรยายว่าเป็นชาวเซิร์บออร์ทอดอกซ์
3.4. รัฐมุขนายกและราชรัฐมอนเตเนโกร


ในปี ค.ศ. 1858 หนึ่งในชัยชนะครั้งสำคัญของมอนเตเนโกรเหนือพวกออตโตมันเกิดขึ้นที่ยุทธการที่กราโฮวัค แกรนด์ดยุกมีร์โก เปโตรวิช พระเชษฐาของคนยาซดานิโล นำกองทัพ 7,500 นายและเอาชนะพวกออตโตมันที่มีจำนวนมากกว่าด้วยทหาร 15,000 นายที่กราโฮวัคเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1858 เหตุการณ์นี้บังคับให้มหาอำนาจยุโรปต้องกำหนดเขตแดนระหว่างมอนเตเนโกรและจักรวรรดิออตโตมันอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการยอมรับเอกราชของมอนเตเนโกรโดยพฤตินัย
ในยุทธการที่วูชิยีโด ชาวมอนเตเนโกรได้สร้างความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ให้กับกองทัพออตโตมันภายใต้การนำของมหาเสนาบดีอาเหม็ด มุคตาร์ พาชา ผลพวงจากชัยชนะของรัสเซียต่อจักรวรรดิออตโตมันในสงครามรัสเซีย-ตุรกี (ค.ศ. 1877-1878) ทำให้มหาอำนาจยุโรปปรับโครงสร้างแผนที่ของภูมิภาคบอลข่าน จักรวรรดิออตโตมันยอมรับเอกราชของมอนเตเนโกรในสนธิสัญญาเบอร์ลิน (ค.ศ. 1878) ในปี ค.ศ. 1878
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของมอนเตเนโกร (หรือที่เรียกว่าประมวลกฎหมายดานิโล) ได้รับการประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1855 ภายใต้การปกครองของนิโคลาที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ. 1860-1918) ราชรัฐได้ขยายอาณาเขตหลายครั้งในสงครามมอนเตเนโกร-ตุรกี และได้รับการยอมรับเอกราชในปี ค.ศ. 1878 นิโคลาที่ 1 ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจักรวรรดิออตโตมัน ยกเว้นการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนเล็กน้อย การทูตได้นำไปสู่สันติภาพประมาณ 30 ปีระหว่างสองรัฐจนกระทั่งการขับไล่อับดุล ฮามิดที่ 2ในปี ค.ศ. 1909 ทักษะทางการเมืองของอับดุล ฮามิดที่ 2 และนิโคลาที่ 1 มีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกัน การปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามมา โดยสิ้นสุดด้วยการร่างรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1905 อย่างไรก็ตาม ความแตกแยกทางการเมืองเกิดขึ้นระหว่างพรรคประชาชนที่ปกครองอยู่ ซึ่งสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยและการรวมกับเซอร์เบีย กับพรรคพรรคประชาชนที่แท้จริง ซึ่งเป็นฝ่ายกษัตริย์นิยม
3.5. ราชอาณาจักรมอนเตเนโกร

ในปี ค.ศ. 1910 มอนเตเนโกรได้กลายเป็นราชอาณาจักร และเป็นผลมาจากสงครามบอลข่านในปี ค.ศ. 1912-1913 ได้มีการจัดตั้งพรมแดนร่วมกับเซอร์เบีย โดยชโคดราถูกยกให้แก่แอลเบเนีย แม้ว่าเมืองหลวงปัจจุบันของมอนเตเนโกรคือพอดกอรีตซาจะตั้งอยู่บนพรมแดนเก่าของแอลเบเนียและยูโกสลาเวีย มอนเตเนโกรกลายเป็นหนึ่งในฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914-1918) ในยุทธการที่มอยคอวัคที่ต่อสู้กันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1916 ระหว่างออสเตรีย-ฮังการีและราชอาณาจักรมอนเตเนโกร ชาวมอนเตเนโกรได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่าถึงห้าต่อหนึ่งก็ตาม ออสเตรีย-ฮังการียอมจำนนทางทหารเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 ถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 ออสเตรีย-ฮังการีได้ยึดครองมอนเตเนโกร ในระหว่างการยึดครอง กษัตริย์นิโคลาได้หลบหนีออกจากประเทศและจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในบอร์โด
3.6. สมัยราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย
ในปี ค.ศ. 1922 มอนเตเนโกรได้กลายเป็นแคว้นเซติเญอย่างเป็นทางการในราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน โดยมีการเพิ่มพื้นที่ชายฝั่งรอบบุดวาและอ่าวกอตอร์ ในการปรับโครงสร้างเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1929 มอนเตเนโกรได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของซีตา บาโนวีนาที่ใหญ่ขึ้นของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ซึ่งขยายไปถึงแม่น้ำเนเรตวา
พระนัดดาของนิโคลา คือ กษัตริย์อเล็กซานดาร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย ครอบงำรัฐบาลยูโกสลาเวีย ซีตา บาโนวีนาเป็นหนึ่งในเก้าบาโนวีนาที่ประกอบกันเป็นราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยมอนเตเนโกรในปัจจุบันและบางส่วนของเซอร์เบีย โครเอเชีย และบอสเนีย
3.7. สงครามโลกครั้งที่สองและยูโกสลาเวียสมัยสังคมนิยม


ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 นาซีเยอรมนี ราชอาณาจักรอิตาลี และพันธมิตรฝ่ายอักษะอื่น ๆ ได้โจมตีและยึดครองราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย กองกำลังอิตาลีได้ยึดครองมอนเตเนโกรและจัดตั้งราชอาณาจักรมอนเตเนโกรที่เป็นรัฐหุ่นเชิด
ในเดือนพฤษภาคม สาขามอนเตเนโกรของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียได้เริ่มเตรียมการสำหรับการลุกฮือที่วางแผนไว้สำหรับกลางเดือนกรกฎาคม พรรคคอมมิวนิสต์และสันนิบาตเยาวชนได้จัดตั้งสมาชิก 6,000 คนเป็นกองกำลังที่เตรียมพร้อมสำหรับการรบแบบกองโจร ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าว การลุกฮือด้วยอาวุธครั้งแรกในยุโรปที่ถูกนาซียึดครองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 ในมอนเตเนโกร
โดยไม่คาดคิด การลุกฮือได้ขยายวงกว้าง และภายในวันที่ 20 กรกฎาคม ชายหญิง 32,000 คนได้เข้าร่วมการต่อสู้ ยกเว้นชายฝั่งและเมืองใหญ่ ๆ (พอดกอรีตซา เซติเญ เปลฟลีอา และนิกชิช) ที่ถูกปิดล้อม มอนเตเนโกรส่วนใหญ่ได้รับการปลดปล่อย ในการต่อสู้หนึ่งเดือน กองทัพอิตาลีเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกจับกุม 5,000 นาย การลุกฮือดำเนินไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม เมื่อถูกปราบปรามโดยการโต้กลับของทหารอิตาลี 67,000 นายที่มาจากแอลเบเนีย เมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังอิตาลีชุดใหม่ที่แข็งแกร่งกว่า นักรบจำนวนมากวางอาวุธและกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม การต่อสู้แบบกองโจรที่รุนแรงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนธันวาคม
นักรบที่ยังคงถืออาวุธแตกออกเป็นสองกลุ่ม ส่วนใหญ่เข้าร่วมกับพลพรรคยูโกสลาเวีย ซึ่งประกอบด้วยคอมมิวนิสต์และผู้ที่โน้มเอียงไปสู่การต่อต้านอย่างแข็งขัน กลุ่มนี้รวมถึงอาร์โซ โยวานอวิช ซาวา คอวาเชวิช สเวโตซาร์ วุกมานอวิช-เทมโป มีลอวัน จีลัส เปโค ดัปเชวิช วลาดอ ดัปเชวิช เวลย์โค วลาโฮวิช และบลาโช โยวานอวิช ผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์คาราจอร์เจวิชและต่อต้านคอมมิวนิสต์กลายเป็นเชทนิกส์ และหันไปร่วมมือกับอิตาลีเพื่อต่อต้านพลพรรค
สงครามปะทุขึ้นระหว่างพลพรรคและเชทนิกส์ในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 1942 ด้วยแรงกดดันจากอิตาลีและเชทนิกส์ แกนกลางของพลพรรคมอนเตเนโกรได้ไปยังเซอร์เบียและบอสเนีย ซึ่งพวกเขาได้เข้าร่วมกับพลพรรคยูโกสลาเวียกลุ่มอื่น ๆ การต่อสู้ระหว่างพลพรรคและเชทนิกส์ยังคงดำเนินต่อไปตลอดสงคราม เชทนิกส์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิตาลีควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 1942 ถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 เชทนิกส์มอนเตเนโกรได้รับสถานะ "กองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์" และได้รับอาวุธ กระสุน เสบียงอาหาร และเงินจากอิตาลี ส่วนใหญ่ถูกย้ายไปยังมอสตาร์ ซึ่งพวกเขาต่อสู้ในยุทธการที่เนเรตวากับพลพรรค แต่ได้รับความพ่ายแพ้อย่างหนัก

ในระหว่างปฏิบัติการชวาร์ซของเยอรมนีต่อต้านพลพรรคในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ค.ศ. 1943 เยอรมันได้ปลดอาวุธเชทนิกส์จำนวนมากโดยไม่มีการต่อสู้ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าเชทนิกส์จะหันมาต่อต้านพวกเขาหากฝ่ายสัมพันธมิตรบุกคาบสมุทรบอลข่าน หลังจากการยอมจำนนของอิตาลีในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พลพรรคสามารถยึดครองมอนเตเนโกรส่วนใหญ่ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มอนเตเนโกรก็ถูกกองกำลังเยอรมันยึดครองในไม่ช้า และการต่อสู้ที่ดุเดือดยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปลายปี ค.ศ. 1943 และ ค.ศ. 1944 มอนเตเนโกรได้รับการปลดปล่อยโดยพลพรรคในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944
มอนเตเนโกรกลายเป็นหนึ่งในหกสาธารณรัฐที่เป็นส่วนประกอบของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (SFRY) ที่เป็นคอมมิวนิสต์ เมืองหลวงของมอนเตเนโกรกลายเป็นพอดกอรีตซา ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นตีโตกราดเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดียอซีป บรอซ ตีโต หลังสงคราม โครงสร้างพื้นฐานของยูโกสลาเวียได้รับการบูรณะ การพัฒนาอุตสาหกรรมเริ่มขึ้น และมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมอนเตเนโกร การปกครองตนเองที่มากขึ้นได้รับการจัดตั้งขึ้นจนกระทั่งสาธารณรัฐสังคมนิยมมอนเตเนโกรให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี ค.ศ. 1974
3.8. สมัยสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย
หลังจากการล่มสลายอย่างเป็นทางการของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) มอนเตเนโกรยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียที่เล็กกว่าร่วมกับเซอร์เบีย ในการลงประชามติเพื่อคงอยู่ในยูโกสลาเวียในปี พ.ศ. 2535 ร้อยละ 96 ของคะแนนเสียงสนับสนุนการรวมเป็นสหพันธรัฐกับเซอร์เบีย การลงประชามติถูกคว่ำบาตรโดยพรรคฝ่ายค้าน เช่น พันธมิตรเสรีนิยมแห่งมอนเตเนโกร พรรคสังคมประชาธิปไตยและพรรคสังคมนิยม ตลอดจนพรรคชนกลุ่มน้อย เช่น สันนิบาตประชาธิปไตยในมอนเตเนโกร ส่งผลให้มีผู้มาใช้สิทธิ์ค่อนข้างต่ำที่ร้อยละ 66
ในช่วงสงครามบอสเนียและสงครามประกาศอิสรภาพโครเอเชียระหว่างปี พ.ศ. 2534-2538 (ค.ศ. 1991-1995) ตำรวจและกองกำลังทหารของมอนเตเนโกรภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีมอมีร์ บูลาตอวิช และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปาฟเล บูลาตอวิช ได้เข้าร่วมกับกองกำลังเซอร์เบียในการโจมตีดูบรอฟนีก ประเทศโครเอเชีย ปฏิบัติการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อยึดครองดินแดนเพิ่มเติม และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง พลเอก ปาฟเล สตรูการ์ของมอนเตเนโกรถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานมีส่วนร่วมในการทิ้งระเบิดดูบรอฟนีก ผู้ลี้ภัยชาวบอสเนียถูกตำรวจมอนเตเนโกรจับกุมและส่งตัวไปยังค่ายของชาวเซิร์บในฟอชา ซึ่งพวกเขาถูกทรมานอย่างเป็นระบบและถูกประหารชีวิต การกระทำเหล่านี้ถือเป็นอาชญากรรมสงครามและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของมอนเตเนโกรในประชาคมระหว่างประเทศ
ในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) รัฐบาลของมิโล จูคานอวิชได้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างมอนเตเนโกรกับเซอร์เบียซึ่งนำโดยสลอบอดัน มีโลเชวิช มอนเตเนโกรได้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของตนเองและนำมาร์คเยอรมันมาใช้เป็นสกุลเงิน และต่อมาได้นำเงินยูโรมาใช้ แม้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของยูโรโซน รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาได้ดำเนินนโยบายสนับสนุนเอกราช และความตึงเครียดทางการเมืองกับเซอร์เบียยังคงคุกรุ่นอยู่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเบลเกรด
เป้าหมายในมอนเตเนโกรถูกทิ้งระเบิดโดยกองกำลังเนโทในระหว่างปฏิบัติการกองกำลังพันธมิตรในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) แม้ว่าขอบเขตของการโจมตีเหล่านี้จะจำกัดทั้งในด้านเวลาและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ในปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) เซอร์เบียและมอนเตเนโกรได้บรรลุข้อตกลงใหม่สำหรับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและเข้าสู่การเจรจาเกี่ยวกับสถานะในอนาคตของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย สิ่งนี้นำไปสู่ข้อตกลงเบลเกรด ซึ่งทำให้ประเทศกลายเป็นสหภาพรัฐที่กระจายอำนาจมากขึ้นชื่อว่าเซอร์เบียและมอนเตเนโกรในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) ข้อตกลงเบลเกรดยังมีข้อกำหนดที่เลื่อนการลงประชามติเกี่ยวกับเอกราชของมอนเตเนโกรในอนาคตออกไปอย่างน้อยสามปี
3.9. เอกราชและสมัยปัจจุบัน


สถานะของสหภาพระหว่างมอนเตเนโกรและเซอร์เบียถูกตัดสินโดยการลงประชามติเกี่ยวกับเอกราชของมอนเตเนโกรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) มีผู้ลงคะแนนเสียงทั้งสิ้น 419,240 คน คิดเป็นร้อยละ 86.5 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดย 230,661 คน (ร้อยละ 55.5) ลงคะแนนเห็นด้วยกับการประกาศเอกราช และ 185,002 คน (ร้อยละ 44.5) ลงคะแนนไม่เห็นด้วย ซึ่งคะแนนเสียงเห็นด้วยนี้เกินเกณฑ์ร้อยละ 55 ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อรับรองผลการลงประชามติ ตามข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เกณฑ์ร้อยละ 55 ผ่านไปด้วยคะแนนเสียงเพียง 2,300 เสียง เซอร์เบีย รัฐสมาชิกของสหภาพยุโรป และสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต่างก็ยอมรับเอกราชของมอนเตเนโกร
การลงประชามติปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ได้รับการตรวจสอบโดยคณะผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศ 5 คณะ นำโดยทีมจากOSCE/ODIHR และผู้สังเกตการณ์รวมประมาณ 3,000 คน (รวมถึงผู้สังเกตการณ์ในประเทศจากCDT (OSCE PA), สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป (PACE), สมัชชาแห่งหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนภูมิภาคแห่งสภายุโรป (CLRAE) และรัฐสภายุโรป (EP)) เพื่อจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์การลงประชามติระหว่างประเทศ (IROM) IROM ในรายงานเบื้องต้นได้ "ประเมินการปฏิบัติตามพันธกรณีของ OSCE, พันธกรณีของสภายุโรป, มาตรฐานระหว่างประเทศอื่น ๆ สำหรับกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และกฎหมายภายในประเทศ" นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่าสภาพแวดล้อมก่อนการลงประชามติที่มีการแข่งขันสูงนั้นมีลักษณะเป็นการรณรงค์ที่กระตือรือร้นและโดยทั่วไปเป็นไปอย่างสันติ และ "ไม่มีรายงานการจำกัดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐาน"
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) รัฐสภามอนเตเนโกรได้ประกาศเอกราชของมอนเตเนโกร โดยยืนยันผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) มอนเตเนโกรได้เข้าร่วมสหประชาชาติเป็นสมาชิกรัฐที่ 192
มอนเตเนโกรถูกครอบงำตั้งแต่การล่มสลายของยูโกสลาเวียโดยมิโล จูคานอวิช (นายกรัฐมนตรีสี่สมัยและประธานาธิบดีสองสมัย) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าได้จัดตั้งระบอบเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ ขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์กรอาชญากรรม การแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ในยุคของจูคานอวิชนำไปสู่ความร่ำรวยของเขาและกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ใกล้ชิดกับเขา อเล็กซานดาร์ น้องชายของเขาซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารเอกชนแห่งแรกของมอนเตเนโกร เป็นผู้ดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่อานา คอลาเรวิช น้องสาวของเขาควบคุมฝ่ายตุลาการมาเป็นเวลานาน เครือข่ายอุปถัมภ์ของพรรครัฐบาลครอบงำทุกส่วนของชีวิตทางสังคม การเป็นสมาชิกพรรคจำเป็นสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจหรือการได้รับตำแหน่งในหน่วยงานราชการ นโยบายนี้ยังส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในระดับภูมิภาคและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมที่รุนแรงขึ้น การว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 36.6 ในภาคเหนือของประเทศ เทียบกับร้อยละ 3.9 ในภูมิภาคชายฝั่ง ในขณะที่หนึ่งในสี่ของประชากรอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (พ.ศ. 2561)
กฎหมายว่าด้วยสถานะของทายาทแห่งราชวงศ์เปโตรวิช-นีเยกอชผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภามอนเตเนโกรเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 กฎหมายนี้ได้ฟื้นฟูราชวงศ์มอนเตเนโกรและยอมรับบทบาทเชิงสัญลักษณ์ที่จำกัดภายในกรอบรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐ
ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เครือข่ายนักข่าวสืบสวนสอบสวน OCCRP ได้ยกย่องประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี มิโล จูคานอวิช ซึ่งดำรงตำแหน่งมายาวนานของมอนเตเนโกรให้เป็น "บุคคลแห่งปีในด้านอาชญากรรมองค์กร" ระดับการทุจริตของจูคานอวิชนำไปสู่การประท้วงบนท้องถนนและการเรียกร้องให้เขาพ้นจากตำแหน่ง
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ในวันการเลือกตั้งรัฐสภา กลุ่มบุคคลซึ่งรวมถึงผู้นำฝ่ายค้านมอนเตเนโกร ชาวเซอร์เบีย และเจ้าหน้าที่รัสเซีย ได้เตรียมการรัฐประหาร แต่แผนการดังกล่าวถูกขัดขวาง ในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) บุคคล 14 คน รวมถึงชาวรัสเซีย 2 คน และผู้นำฝ่ายค้านมอนเตเนโกร 2 คน คือ อันดริยา มานดิช และมิลาน คเนเชวิช ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนร่วมในความพยายามรัฐประหารในข้อหา "เตรียมการสมคบคิดต่อต้านระเบียบรัฐธรรมนูญและความมั่นคงของมอนเตเนโกร" และ "พยายามกระทำการก่อการร้าย"
ประวัติศาสตร์ล่าสุด

มอนเตเนโกรเข้าเป็นสมาชิกเนโทอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) แม้ว่ารัสเซียจะพยายามขัดขวางก็ตาม เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้รัฐบาลรัสเซียประกาศว่าจะมีการตอบโต้
มอนเตเนโกรอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) เป้าหมายเดิมที่จะเข้าร่วมภายในปี พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) ได้ถูกปรับแก้เป็นปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) มีการผ่านกฎหมายเพื่อให้กฎหมายของมอนเตเนโกรสอดคล้องกับข้อกำหนดการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) มิโล จูคานอวิช ผู้นำพรรคพรรคประชาธิปไตยแห่งนักสังคมนิยม (DPS) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีมอนเตเนโกร นักการเมืองอาวุโสผู้นี้เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหกครั้งและประธานาธิบดีหนึ่งครั้งก่อนหน้านี้ เขาครอบงำการเมืองมอนเตเนโกรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991)
การประท้วงต่อต้านการทุจริตเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ต่อต้านจูคานอวิชและรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีดุชโค มาร์คอวิชของพรรคประชาธิปไตยแห่งนักสังคมนิยม (DPS) ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991)
ณ ปลายปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) กฎหมายว่าด้วยศาสนาที่เพิ่งผ่านการรับรอง ซึ่งโอนกรรมสิทธิ์อาคารโบสถ์และที่ดินที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) จากคริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียไปยังรัฐมอนเตเนโกรโดยนิตินัย ได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงและการปิดถนนครั้งใหญ่ สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน 17 คนจากแนวร่วมประชาธิปไตยถูกจับกุมก่อนการลงคะแนนเสียงเนื่องจากขัดขวางการลงคะแนนเสียง การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ในรูปแบบการเดินขบวนประท้วงอย่างสันติ ซึ่งส่วนใหญ่จัดโดยคริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียในเขตเทศบาลส่วนใหญ่ของมอนเตเนโกร
ในรายงานสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของพลเมืองทั่วโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ฟรีดอมเฮาส์จัดให้มอนเตเนโกรเป็นระบอบลูกผสมแทนที่จะเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากมาตรฐานที่ลดลงในการปกครอง ความยุติธรรม การเลือกตั้ง และเสรีภาพของสื่อ เป็นครั้งแรกในรอบสามทศวรรษที่ฝ่ายค้านชนะคะแนนเสียงมากกว่าพรรครัฐบาลของจูคานอวิชในการเลือกตั้งรัฐสภาปี พ.ศ. 2563 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) รัฐบาลชุดเดียวกันนั้นถูกโหวตไม่ไว้วางใจในการลงมติไม่ไว้วางใจครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) การสืบสวนเชื่อมโยงนักการทูตรัสเซีย 6 คนกับพลเมืองรัสเซีย 28 คนที่ถือวีซ่าชั่วคราวสำหรับมอนเตเนโกรและพลเมืองท้องถิ่น 2 คนในการสืบสวนสายลับ นักการทูตถูกขับไล่ออกนอกประเทศ ต่อมาพลเมืองรัสเซียถูกสั่งห้ามเข้ามอนเตเนโกร และพลเมืองท้องถิ่น 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นอดีตนักการทูต เผชิญข้อหาอาวุธผิดกฎหมาย จัดตั้งองค์กรอาชญากรรม และจารกรรม
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) ยาคอฟ มิลาตอวิช ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เป็นมิตรต่อตะวันตกจากขบวนการยุโรปตอนนี้! ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบชี้ขาด เหนือมิโล จูคานอวิช ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน เพื่อสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีมอนเตเนโกรต่อจากเขา ขบวนการยุโรปตอนนี้! ได้รับที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งรัฐสภาปี พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) มิโลจโค สปายิช จากขบวนการยุโรปตอนนี้! กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมอนเตเนโกร โดยเป็นผู้นำรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคที่สนับสนุนยุโรปและพรรคที่สนับสนุนเซอร์เบีย
รัฐสภามอนเตเนโกรในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) ได้มีมติยอมรับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นที่ค่ายกักกันยาเซโนวัคระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง การตัดสินใจครั้งนี้ ซึ่งนำโดยกลุ่มที่สนับสนุนเซอร์เบีย ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ต่อการที่มอนเตเนโกรเคยสนับสนุนมติของสหประชาชาติเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สเรเบรนิตซา โครเอเชียได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ามอนเตเนโกรกำลังทำให้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องการเมือง และเตือนว่าอาจเป็นอันตรายต่อเส้นทางของมอนเตเนโกรในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างโครเอเชียและมอนเตเนโกร มติดังกล่าวได้นำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศ
4. ภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศของมอนเตเนโกรมีความหลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสูงตามแนวชายแดนทางทิศเหนือและทิศตะวันออก ไปจนถึงที่ราบชายฝั่งแคบ ๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และภูมิประเทศแบบคาสต์ที่โดดเด่นทางตะวันตก


มอนเตเนโกรมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงตามแนวพรมแดนที่ติดกับแอลเบเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา คอซอวอ และเซอร์เบีย ภูมิศาสตร์ของประเทศยังรวมถึงส่วนหนึ่งของคาสต์ของคาบสมุทรบอลข่านตะวันตก ไปจนถึงที่ราบชายฝั่งทะเลแคบ ๆ ที่มีความกว้างเพียง 1.5 km ถึง 6 km ที่ราบนี้สิ้นสุดลงอย่างกะทันหันทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นที่ที่ภูเขาลอฟเชนและภูเขาโอเรนทอดตัวลงสู่อ่าวอ่าวกอตอร์
ภูมิภาคคาสต์ขนาดใหญ่ของมอนเตเนโกรโดยทั่วไปมีความสูงอยู่ที่ 1.00 K m เหนือระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตาม บางส่วนมีความสูงถึง 2.00 K m เช่น ภูเขาโอเรน (1.89 K m) ซึ่งเป็นทิวเขาที่สูงที่สุดในบรรดาทิวเขาหินปูนชายฝั่งทะเล หุบเขาแม่น้ำซีตาซึ่งมีความสูง 500 m เป็นส่วนที่ต่ำที่สุด


ภูเขาของมอนเตเนโกรประกอบด้วยภูมิประเทศที่ขรุขระที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยมีความสูงเฉลี่ยมากกว่า 2.00 K m ยอดเขาที่โดดเด่นแห่งหนึ่งของประเทศคือโบโบตอฟคุกในเทือกเขาดูร์มิตอร์ ซึ่งมีความสูงถึง 2.52 K m และเคยเชื่อกันว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดของประเทศ ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) การวัดแบบการไตรแองกูเลชันใหม่แสดงให้เห็นว่าซลาโคลาตาในเทือกเขาโปรเคลติเย ซึ่งมีความสูงถึง 2.53 K m เป็นจุดที่สูงที่สุด เนื่องจากสภาพอากาศที่ชื้นมากทางฝั่งตะวันตก เทือกเขาของมอนเตเนโกรจึงเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรบอลข่านที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำแข็งมากที่สุดในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้าย
ในระดับนานาชาติ มอนเตเนโกรมีพรมแดนติดกับเซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา คอซอวอ แอลเบเนีย และโครเอเชีย ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 41° ถึง 44° เหนือ และลองจิจูด 18° ถึง 21° ตะวันออก
มอนเตเนโกรเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองแม่น้ำดานูบ เนื่องจากพื้นที่กว่า 2.00 K km2 ของประเทศอยู่ในลุ่มน้ำของแม่น้ำดานูบ
ชื่อ | ปีก่อตั้ง | พื้นที่ |
---|---|---|
อุทยานแห่งชาติดูร์มิตอร์ | 1952 | 390 km2 |
อุทยานแห่งชาติบิออกรัดสกาโกรา | 1952 | 54 km2 |
อุทยานแห่งชาติลอฟเชน | 1952 | 64 km2 |
อุทยานแห่งชาติทะเลสาบสคาดาร์ | 1983 | 400 km2 |
อุทยานแห่งชาติโปรเคลติเย | 2009 | 166 km2 |
4.1. ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความหลากหลายของฐานทางธรณีวิทยา ภูมิทัศน์ ภูมิอากาศ และดิน ตลอดจนตำแหน่งของมอนเตเนโกรบนคาบสมุทรบอลข่านและทะเลเอเดรียติก ได้สร้างเงื่อนไขสำหรับความหลากหลายทางชีวภาพที่สูง ทำให้มอนเตเนโกรเป็นหนึ่งใน "จุดศูนย์รวมความหลากหลายทางชีวภาพ" (hot-spots) ของยุโรปและโลก ดัชนีจำนวนชนิดพันธุ์ต่อหน่วยพื้นที่ในมอนเตเนโกรคือ 0.837 ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศในยุโรป
การประเมินทางชีววิทยาชี้ให้เห็นว่ามีสาหร่ายน้ำจืดมากกว่า 1,200 ชนิด สาหร่ายทะเล 300 ชนิด มอสส์ 589 ชนิด พืชมีท่อลำเลียง 7,000-8,000 ชนิด เห็ดรา 2,000 ชนิด แมลง 16,000-20,000 ชนิด ปลาทะเล 407 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 56 ชนิด นกที่มาเยือนเป็นประจำ 333 ชนิด และความหลากหลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูง พบได้ในมอนเตเนโกร
มอนเตเนโกรสามารถแบ่งออกเป็นสองเขตชีวภูมิศาสตร์หลัก ได้แก่ เขตชีวภูมิศาสตร์เมดิเตอร์เรเนียนและเขตชีวภูมิศาสตร์เทือกเขาแอลป์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของเขตภูมินิเวศทางบกสามแห่ง ได้แก่ ป่าผสมบอลข่าน ป่าผสมเทือกเขาดินาริก และป่าผลัดใบอิลลิเรีย มอนเตเนโกรมีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) อยู่ที่ 6.41/10 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 73 ของโลกจาก 172 ประเทศ
ส่วนแบ่งทั้งหมดของพื้นที่คุ้มครองในมอนเตเนโกรคือร้อยละ 9.05 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุทยานแห่งชาติห้าแห่ง
5. การเมือง
การเมืองของมอนเตเนโกรดำเนินอยู่ในกรอบของสาธารณรัฐแบบรัฐสภา ซึ่งประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ประเทศนี้มีระบบหลายพรรคการเมือง


มอนเตเนโกรเป็นสาธารณรัฐแบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) รัฐธรรมนูญกำหนดให้มอนเตเนโกรเป็น "รัฐพลเมือง ประชาธิปไตย นิเวศวิทยา แห่งความยุติธรรมทางสังคม โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม" มอนเตเนโกรเป็นระบบหลายพรรคการเมือง
ประธานาธิบดีมอนเตเนโกรเป็นประมุขแห่งรัฐที่เป็นผู้แทน ได้รับเลือกตั้งเป็นระยะเวลาห้าปีผ่านการเลือกตั้งทางตรง ประธานาธิบดีส่งเสริมประเทศในระดับสากลผ่านการมีส่วนร่วมทางการทูต ประกาศใช้กฎหมายโดยคำสั่ง เรียกการเลือกตั้งสำหรับรัฐสภา และเสนอชื่อผู้สมัครสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี และผู้พิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาตามพิธีการ ประธานาธิบดีเห็นชอบการเรียกการลงประชามติต่อรัฐสภาตามพิธีการ ให้อภัยโทษสำหรับความผิดทางอาญาที่กฎหมายแห่งชาติห้ามไว้ มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และรางวัล และปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ และเป็นสมาชิกของสภากลาโหมสูงสุด ที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอยู่ในเซติเญ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือยาคอฟ มิลาตอวิช ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)
รัฐบาลมอนเตเนโกรเป็นฝ่ายบริหารของอำนาจรัฐบาลมอนเตเนโกรและนำโดยนายกรัฐมนตรีมอนเตเนโกร บทบาทของนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในมอนเตเนโกร รัฐบาลทั้งหมดของมอนเตเนโกรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) เป็นรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองอย่างน้อยสามพรรค รัฐบาลส่วนใหญ่อยู่ในพอดกอรีตซา
รัฐสภามอนเตเนโกรเป็นสภานิติบัญญัติของประเทศที่เป็นระบบสภาเดี่ยว ตั้งอยู่ในพอดกอรีตซา รัฐสภามีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐบาล ผ่านกฎหมาย (กฎหมายรัฐสภา) และตรวจสอบร่างกฎหมาย (ร่างกฎหมายรัฐสภา) นอกจากนี้ยังแต่งตั้งผู้พิพากษาของศาลทุกศาล อนุมัติงบประมาณ และปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญของประเทศกำหนดไว้ รัฐสภาสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐบาลได้ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก สมาชิกรัฐสภามอนเตเนโกรคนหนึ่ง หรือที่เรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเลือกต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,000 คน ปัจจุบันมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 81 คน การเลือกตั้งรัฐสภาดำเนินการโดยวิธีโดนต์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบสัดส่วน
ในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) มอนเตเนโกรถูกจัดว่าเป็นระบอบลูกผสม (ระบบการเมืองที่ผสมผสานลักษณะประชาธิปไตยและเผด็จการ) ตามรายงานของฟรีดอมเฮาส์ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา องค์กรดังกล่าวอ้างถึงการการครอบงำรัฐ การใช้อำนาจในทางที่ผิด และกลยุทธ์แบบผู้นำเผด็จการโดยนายกรัฐมนตรีมิโล จูคานอวิช (พ.ศ. 2551-2553 และ พ.ศ. 2555-2559) เป็นคำอธิบายสำหรับสถานะดังกล่าว จูคานอวิชดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลหลายตำแหน่ง รวมถึงตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนและหลังการยุบสหภาพระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ดัชนีประชาธิปไตยอีโคโนมิสต์ (EDI) ประกาศให้มอนเตเนโกรเป็น "ประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง" และ ณ ปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) ยังคงถูกจัดอยู่ในสถานะดังกล่าวโดย EDI
พรรคพรรคประชาธิปไตยแห่งนักสังคมนิยม (DPS) ของจูคานอวิช ซึ่งสนับสนุนการรวมยุโรปและเนโท พ่ายแพ้การเลือกตั้งรัฐสภาปี พ.ศ. 2563 อย่างฉิวเฉียด ซึ่งยุติการปกครอง 30 ปีของพรรค และกลุ่มรัฐสภา "เพื่ออนาคตของมอนเตเนโกร" (ZBCG) ซึ่งสนับสนุนเซอร์เบีย ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพรรคชาตินิยมเซิร์บ ได้จัดตั้งรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีซดราฟโค คริโวคาพิช รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีคริโวคาพิชถูกโค่นล้มในการลงมติไม่ไว้วางใจหลังจากอยู่ในอำนาจเพียง 14 เดือน
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) รัฐบาลรัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ นำโดยนายกรัฐมนตรีดริตัน อาบาซอวิช ได้รวบรวมพรรคสายกลางที่สนับสนุนทั้งยุโรปและเซอร์เบีย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของเขาสูญเสียความไว้วางใจหลังจากผ่านไปเพียง 113 วัน เนื่องจากมอนเตเนโกรไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภาได้ อาบาซอวิชยังคงดำรงตำแหน่งจนกระทั่งมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีสปายิชหลังจากการเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ซึ่งพรรคยุโรปตอนนี้! นำโดยมิโลจโค สปายิช ได้รับที่นั่งมากที่สุด ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) รัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากZBCG ทำให้มิโลจโค สปายิชกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
5.1. การแบ่งเขตการปกครอง
มอนเตเนโกรแบ่งออกเป็น 25 เทศบาล (opštinaออปชตินาMontenegrin) แต่ละเทศบาลสามารถมีเมืองและเมืองเล็ก ๆ หลายแห่งได้ ในอดีต ดินแดนของประเทศถูกแบ่งออกเป็นนาฮิเย และในช่วงต้นของSR Montenegro ถูกแบ่งออกเป็นเทศมณฑล (ซเรซ)
เขตทางสถิติของมอนเตเนโกร-ออกแบบเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติโดยสำนักงานสถิติ-ไม่มีหน้าที่ทางการบริหาร โปรดทราบว่าองค์กรอื่น ๆ (เช่น สมาคมฟุตบอลมอนเตเนโกร) ใช้เทศบาลที่แตกต่างกันเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคที่คล้ายกัน
- เขตเหนือ
เทศบาล | พื้นที่ | ประชากร | ||
---|---|---|---|---|
กม.2 | อันดับ | ทั้งหมด | อันดับ | |
อันดริเยวิตซา | 283 | 12 | 5,117 | 10 |
เบราเน | 544 | 6 | 28,305 | 3 |
บิเยลอโปลเย | 924 | 2 | 46,676 | 1 |
กูซิเญ | 486 | 8 | 13,108 | 6 |
คอลัชชิน | 897 | 3 | 8,420 | 8 |
มอยคอวัทส์ | 367 | 11 | 8,669 | 7 |
เพทญิตซา | 173 | 13 | 6,686 | 9 |
ปลาฟ | 486 | 7 | 13,549 | 5 |
ปลูจิเน | 854 | 4 | 3,286 | 12 |
เปลฟลีอา | 1,346 | 1 | 31,060 | 2 |
รอจาเย | 432 | 10 | 23,312 | 4 |
ชาฟนิก | 553 | 5 | 2,077 | 13 |
จาบลีอัก | 445 | 9 | 3,599 | 11 |
- เขตกลาง
เทศบาล | พื้นที่ | ประชากร | ||
---|---|---|---|---|
กม.2 | อันดับ | ทั้งหมด | อันดับ | |
เซติเญ | 899 | 3 | 16,757 | 4 |
ดานิลอฟกราด | 501 | 4 | 17,678 | 3 |
นิกชิช | 2,065 | 1 | 72,824 | 2 |
พอดกอรีตซา | 1,399 | 2 | 187,085 | 1 |
ตูซี | 236 | 5 | 12,096 | 5 |
- เขตชายฝั่ง
เทศบาล | พื้นที่ | ประชากร | ||
---|---|---|---|---|
กม.2 | อันดับ | ทั้งหมด | อันดับ | |
บาร์ | 598 | 1 | 42,368 | 1 |
บุดวา | 122 | 5 | 19,170 | 5 |
เฮร์ตเซกนอวี | 235 | 4 | 30,992 | 2 |
กอตอร์ | 335 | 2 | 22,799 | 3 |
ติวัต | 46 | 6 | 14,111 | 6 |
อุลตซิญ | 255 | 3 | 20,265 | 4 |
5.2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายให้กำหนดลำดับความสำคัญของนโยบายต่างประเทศและกิจกรรมที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานบริหารของรัฐอื่น ๆ ประธานาธิบดี ประธานรัฐสภา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นโยบายต่างประเทศของมอนเตเนโกรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน การเป็นสมาชิกในองค์กรระหว่างประเทศ และการบูรณาการเข้ากับโครงสร้างของยุโรปและยูโร-แอตแลนติก
ประเทศนี้ได้เข้าร่วมเนโทเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) การเข้าร่วมนี้ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคบอลข่านตะวันตก อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมเนโทของมอนเตเนโกรได้สร้างความตึงเครียดกับรัสเซีย ซึ่งมองว่าเป็นการขยายอิทธิพลของเนโทเข้ามาใกล้พรมแดนของตน
การบูรณาการเข้ากับสหภาพยุโรปยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญระดับสูงสำหรับมอนเตเนโกร และเป็นจุดสนใจของนโยบายต่างประเทศของมอนเตเนโกรนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากเซอร์เบีย ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) ประธานาธิบดียาคอฟ มิลาตอวิชที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งกล่าวว่า เขาคาดว่ามอนเตเนโกรจะเข้าร่วมสหภาพยุโรปภายในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027) หรือ พ.ศ. 2571 (ค.ศ. 2028) กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปในหลายด้าน รวมถึงหลักนิติธรรม การต่อสู้กับการทุจริต และการเสริมสร้างสถาบันประชาธิปไตย
มอนเตเนโกรเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น สหประชาชาติ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป สภายุโรป และองค์การการค้าโลก นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของสหภาพเพื่อเมดิเตอร์เรเนียน ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านโดยทั่วไปเป็นไปในทางบวก โดยมีความร่วมมือในประเด็นต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงในภูมิภาค การค้า และวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับเซอร์เบียยังคงมีความซับซ้อนเนื่องจากประวัติศาสตร์ร่วมกันและประเด็นเกี่ยวกับเอกลักษณ์ประจำชาติและศาสนา
กรณีพิพาทเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยาเซโนวัคและการสนับสนุนมติสหประชาชาติเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สเรเบรนิตซาของมอนเตเนโกร ได้สร้างความตึงเครียดกับโครเอเชีย ซึ่งมองว่าเป็นการทำให้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องการเมือง และอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของมอนเตเนโกร
5.3. กฎหมายและสิทธิมนุษยชน

รัฐธรรมนูญแห่งมอนเตเนโกรฉบับปัจจุบันได้รับการให้สัตยาบันและรับรองโดยรัฐสภารัฐธรรมนูญแห่งมอนเตเนโกรเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) ในการประชุมโดยได้รับคะแนนเสียงข้างมากสองในสามตามที่กำหนด และได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) รัฐธรรมนูญกำหนดให้มอนเตเนโกรเป็นรัฐพลเมือง ประชาธิปไตย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งสถาปนาขึ้นโดยสิทธิอธิปไตยของรัฐบาล
ระบบตุลาการในมอนเตเนโกรประกอบด้วยศาลหลายแห่ง โดยมีศาลสูงสุดเป็นหน่วยงานตุลาการสูงสุด ทำหน้าที่ดูแลการบังคับใช้กฎหมายอย่างสม่ำเสมอ ศาลปกครองจัดการข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการ ระบบตุลาการยังรวมถึงศาลชั้นต้น (สำหรับคดีแพ่งและอาญาเล็กน้อย) ศาลสูง (สำหรับคดีที่ร้ายแรงกว่าและการอุทธรณ์) และศาลอุทธรณ์สำหรับทบทวนคำตัดสินของศาลล่าง
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญโดยการตรวจสอบกฎหมายและการกระทำของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
ผู้พิพากษาในมอนเตเนโกรได้รับการแต่งตั้งโดยสภาตุลาการและดำรงตำแหน่งจนถึงอายุ 67 ปี ประธานาธิบดีมอนเตเนโกรแต่งตั้งผู้พิพากษาตามคำแนะนำของสภาตุลาการ นอกจากนี้ ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพแห่งมอนเตเนโกร (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภาเป็นระยะเวลาหกปี เพื่อให้แน่ใจว่ามีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม
มอนเตเนโกรมีอัตราการฆาตกรรมค่อนข้างต่ำ โดยอัตราดังกล่าวผันผวนอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 2.0 คดีต่อประชากร 100,000 คนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทำแท้งในมอนเตเนโกรถูกกฎหมายตามคำขอในช่วงสิบสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศเป็นสิ่งต้องห้ามในด้านการจ้างงาน การจัดหาสินค้าและบริการ การศึกษา และบริการสุขภาพ มอนเตเนโกรยังมีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังและวจีแห่งความเกลียดชังซึ่งรวมถึงรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเหตุผลในการไม่เลือกปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนความสัมพันธ์ของตนเป็นการเป็นหุ้นส่วนชีวิตได้ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเสรีภาพของสื่อ การทุจริตในระบบตุลาการ และการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศยังคงติดตามและรายงานเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
5.4. การบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง
การบังคับใช้กฎหมายในมอนเตเนโกรดำเนินการโดยหน่วยงานหลายแห่งภายใต้กระทรวงมหาดไทย การบังคับใช้กฎหมายแพ่งในมอนเตเนโกรเป็นความรับผิดชอบหลักของคณะกรรมการตำรวจ ซึ่งเป็นกองกำลังตำรวจแห่งชาติ ตำรวจเทศบาล หรือที่เรียกว่าตำรวจชุมชน บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นในเขตเทศบาลของตน
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลักคือคณะกรรมการตำรวจมอนเตเนโกร รับผิดชอบการสืบสวนอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และการบังคับใช้กฎหมายทั่วไป ตำรวจเทศบาลช่วยเหลืองานบังคับใช้กฎหมายในท้องถิ่น โดยเน้นที่การควบคุมการจราจรและปัญหาระเบียบสาธารณะเล็กน้อย บริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชนดำเนินงานในมอนเตเนโกร แต่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการจับกุมหรือควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย
สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (ANB) รับผิดชอบงานต่อต้านข่าวกรองและความมั่นคงภายใน ขณะที่อินเตอร์โพลมอนเตเนโกรประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ หน่วยพิเศษภายในตำรวจ เช่น หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายพิเศษ (SAJ) จัดการกับอาชญากรรมองค์กร การก่อการร้าย และปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงสูง
ข้อตกลงที่ลงนามกับสหภาพยุโรปมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) อนุญาตให้เจ้าหน้าที่บริหารจัดการชายแดนของFrontex ของสหภาพยุโรปปฏิบัติงานในมอนเตเนโกรเพื่อสนับสนุนตำรวจชายแดนท้องถิ่นที่ปฏิบัติงานในพรมแดนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของสหภาพยุโรปในมอนเตเนโกร
บริการฉุกเฉินในมอนเตเนโกรประกอบด้วยบริการทางการแพทย์ นักดับเพลิง และหน่วยค้นหาและกู้ภัย ซึ่งประสานงานโดยคณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉิน บริการการแพทย์ฉุกเฉินดำเนินการโดยสถาบันสุขภาพในท้องถิ่น แต่ดูแลโดยกระทรวงสาธารณสุข
5.5. การทหาร

กองทัพมอนเตเนโกรประกอบด้วยสามเหล่าทัพอาชีพ ได้แก่ กองทัพบกมอนเตเนโกร กองทัพเรือมอนเตเนโกร และกองทัพอากาศมอนเตเนโกร กองทัพมอนเตเนโกรบริหารจัดการโดยกระทรวงกลาโหม และควบคุมโดยเสนาธิการทหารสูงสุด ประธานาธิบดีมอนเตเนโกรเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ ซึ่งสมาชิกของกองทัพจะกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน กองทัพมีหน้าที่ปกป้องมอนเตเนโกร ส่งเสริมผลประโยชน์ด้านความมั่นคงระดับโลก และสนับสนุนความพยายามในการรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ
มอนเตเนโกรเป็นสมาชิกเนโทและเป็นสมาชิกของกฎบัตรเอเดรียติก รัฐบาลวางแผนให้กองทัพเข้าร่วมภารกิจการรักษาสันติภาพผ่านสหประชาชาติและเนโท เช่น กองกำลังสนับสนุนด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
มอนเตเนโกรเป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดอันดับที่ 35 ของโลก ตามดัชนีสันติภาพโลกปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) กองทัพมีขนาดค่อนข้างเล็ก โดยมีบุคลากรประจำการประมาณ 2,400 นาย การใช้จ่ายด้านกลาโหมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 ของ GDP ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเนโท การมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพระหว่างประเทศถือเป็นส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของมอนเตเนโกร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในระดับสากล
6. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของมอนเตเนโกรจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง โดยมีภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ นอกจากนี้ยังมีภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรที่มีบทบาทสนับสนุน

เศรษฐกิจของมอนเตเนโกรส่วนใหญ่เป็นแบบภาคบริการและอยู่ในช่วงปลายของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาด ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ GDP ที่ระบุของมอนเตเนโกรอยู่ที่ 5.42 B USD ในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) GDP PPP สำหรับปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) อยู่ที่ 12.52 B USD หรือ 20.08 K USD ต่อหัว ตามข้อมูลของยูโรสแตท GDP ต่อหัวของมอนเตเนโกรอยู่ที่ร้อยละ 48 ของค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) เศรษฐกิจประสบกับการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญก่อนวิกฤตการณ์การเงินโลกปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) แต่หลังจากนั้นก็เผชิญกับความท้าทาย รวมถึงหนี้สาธารณะที่สูงและการว่างงาน
อุตสาหกรรมหลักของมอนเตเนโกร ได้แก่ การท่องเที่ยว ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อ GDP และการจ้างงาน ชายฝั่งทะเลเอเดรียติกที่สวยงามและภูมิประเทศที่เป็นภูเขาดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ภาคบริการอื่น ๆ รวมถึงการค้าปลีก การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ภาคเกษตรกรรม แม้จะมีสัดส่วนใน GDP น้อยกว่า แต่ก็ยังคงมีความสำคัญสำหรับการจ้างงานในชนบท โดยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น ไวน์ ผลไม้ และผัก ภาคการผลิตมุ่งเน้นไปที่การแปรรูปโลหะ (โดยเฉพาะอะลูมิเนียม) และการแปรรูปอาหาร
มอนเตเนโกรเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรียุโรปกลางในปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) และมีข้อตกลงการค้าเสรีกับสมาคมการค้าเสรียุโรปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ธนาคารกลางแห่งมอนเตเนโกรไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบยูโร แต่ประเทศนี้ใช้เงินยูโรเพียงฝ่ายเดียวเป็นสกุลเงินของตน ("euroisation") การตัดสินใจนี้นำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน แต่ก็จำกัดความสามารถของประเทศในการดำเนินนโยบายการเงินอิสระ สภาพแวดล้อมการลงทุนกำลังได้รับการปรับปรุงเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น แต่ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น การทุจริตและระบบราชการ
มอนเตเนโกรอยู่ในอันดับที่ 65 ในดัชนีนวัตกรรมโลกปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) เพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 75 ในปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)
ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยดัชนีจีนีอยู่ที่ 29.4 ในปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่เท่าเทียมกันในระดับปานกลางแต่ก็ลดลง รัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ลดหนี้สาธารณะ และปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพของประชาชน การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปเหล่านี้และบรรลุความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว
6.1. โครงสร้างพื้นฐาน

โครงสร้างพื้นฐานด้านถนนของมอนเตเนโกรยังไม่ได้มาตรฐานยุโรปตะวันตก ไม่มีถนนใดที่ได้มาตรฐานทางหลวงพิเศษอย่างสมบูรณ์ การก่อสร้างทางหลวงพิเศษสายใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ เนื่องจากมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่สม่ำเสมอและการพัฒนามอนเตเนโกรในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
เส้นทางเครือข่ายถนนยุโรปที่ผ่านมอนเตเนโกรคือ E65 และ E80
โครงข่ายทางรถไฟหลักของมอนเตเนโกรคือทางรถไฟเบลเกรด-บาร์ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างประเทศไปยังเซอร์เบีย ทางรถไฟสาขาภายในประเทศคือทางรถไฟนิกชิช-พอดกอรีตซา ซึ่งดำเนินการเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเท่านั้นมานานหลายทศวรรษ ได้เปิดให้บริการสำหรับผู้โดยสารหลังจากการบูรณะและติดตั้งระบบไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ทางรถไฟสาขาอีกสายหนึ่งจากพอดกอรีตซาไปยังชายแดนแอลเบเนียคือทางรถไฟพอดกอรีตซา-ชโคดรา ไม่ได้ใช้งาน
มอนเตเนโกรมีท่าอากาศยานนานาชาติสองแห่งคือ ท่าอากาศยานพอดกอรีตซาและท่าอากาศยานติวัต
ท่าเรือบาร์เป็นท่าเรือหลักของมอนเตเนโกร สร้างขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) ท่าเรือแห่งนี้ถูกทำลายเกือบทั้งหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การบูรณะเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ท่าเรือแห่งนี้สามารถรองรับสินค้าได้มากกว่าห้าล้านตันต่อปี แต่กลับประสบปัญหาขาดทุนและดำเนินการได้ต่ำกว่ากำลังการผลิต การบูรณะทางรถไฟเบลเกรด-บาร์และทางหลวงเบลเกรด-บาร์ที่เสนอ คาดว่าจะทำให้ระดับการดำเนินงานกลับมาสู่กำลังการผลิตเดิมได้
ในปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) มีแผนที่จะติดตั้งสถานีLNG ที่บาร์เพื่อรับการนำเข้าก๊าซ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงานและการสื่อสาร การปรับปรุงเครือข่ายเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มักได้รับเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สินของประเทศและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
6.2. การท่องเที่ยว


มีนักท่องเที่ยวจำนวนทั้งสิ้น 2.1 ล้านคนมาเยือนมอนเตเนโกรในปี พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) โดยพักค้างคืนรวม 12.4 ล้านคืน นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มาเยือนมอนเตเนโกรมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และคอซอวอ รวมถึงรัสเซีย
ชายฝั่งทะเลเอเดรียติกของมอนเตเนโกรมีความยาว 295 km มีชายหาดยาว 72 km และมีเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีหลายแห่ง ชายหาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบางแห่ง ได้แก่ หาดยาซ หาดมอเกรน หาดเบชิชิ หาดสเวติสเตฟาน และหาดเวลิกาปลาจา ในขณะเดียวกัน เมืองโบราณที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบางแห่ง ได้แก่ เฮร์ตเซกนอวี เปรัสต์ กอตอร์ บุดวา และอุลตซิญ
นิตยสาร National Geographic Traveler (จัดพิมพ์ทศวรรษละครั้ง) จัดอันดับให้มอนเตเนโกรเป็นหนึ่งใน "50 สถานที่แห่งชีวิต" เมืองชายทะเลสเวติสเตฟานของมอนเตเนโกรเคยถูกใช้เป็นภาพปกของนิตยสาร ภูมิภาคชายฝั่งของมอนเตเนโกรถือเป็นหนึ่งใน "การค้นพบ" ที่ยิ่งใหญ่ในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) เดอะนิวยอร์กไทมส์ จัดอันดับภูมิภาคชายฝั่งทางใต้ของอุลตซิญของมอนเตเนโกร รวมถึงหาดเวลิกาปลาจา เกาะอาดาโบยานา และโรงแรมHotel Mediteran ของอุลตซิญ ให้อยู่ใน "31 สถานที่น่าไปเยือนที่สุดในปี 2010" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดอันดับทั่วโลก
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของมอนเตเนโกร สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การพัฒนการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วยังนำมาซึ่งความท้าทาย เช่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมเพื่อกระจายผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
7. สังคม
สังคมมอนเตเนโกรมีลักษณะเป็นพหุวัฒนธรรมและพหุชาติพันธุ์ โดยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการอยู่ร่วมกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ในด้านความเท่าเทียมกันทางสังคม การเข้าถึงบริการ และการบูรณาการของชนกลุ่มน้อย
7.1. กลุ่มชาติพันธุ์
การสำรวจสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) รายงานว่ามีพลเมือง 623,633 คน มอนเตเนโกรเป็นรัฐพหุชาติพันธุ์ที่ไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ใดเป็นเสียงข้างมาก กลุ่มชาติพันธุ์หลักประกอบด้วย ชาวมอนเตเนโกร (ร้อยละ 41.1) ชาวเซิร์บ (ร้อยละ 32.9) ชาวบอสนีแอก (ร้อยละ 9.45) ชาวแอลเบเนีย (ร้อยละ 4.99) และชาวรัสเซีย (ร้อยละ 2.01) นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ จำนวนมาก รวมถึง ชาวโรมานี ชาวโครแอต ชาวยูเครน ชาวเบลารุส และชาวเติร์ก
การกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ชาวมอนเตเนโกรและชาวเซิร์บส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของประเทศ ในขณะที่ชาวแอลเบเนียส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนติดกับแอลเบเนียและคอซอวอ และชาวบอสนีแอกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภูมิภาคซันจักทางตอนเหนือ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในมอนเตเนโกรมีความซับซ้อนและมักเชื่อมโยงกับปัจจัยทางการเมืองและศาสนา จำนวนผู้ที่ระบุตนเองว่าเป็นชาวมอนเตเนโกรและชาวเซิร์บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในการสำรวจสำมะโนประชากรแต่ละครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้และการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
รัฐธรรมนูญมอนเตเนโกรรับรองสิทธิของชนกลุ่มน้อย รวมถึงสิทธิในการแสดงออกทางวัฒนธรรม การใช้ภาษาของตน และการศึกษาในภาษาแม่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความท้าทายในการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในชีวิตทางการเมืองและสังคม การส่งเสริมความอดทนและการอยู่ร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเสถียรภาพและการพัฒนาของประเทศ
มอนเตเนโกรเป็นหนึ่งใน 22 ประเทศที่มีคะแนน GHI (ดัชนีความหิวโหยโลก) ต่ำกว่า 5 ซึ่งบ่งชี้ว่าระดับความหิวโหยในประเทศอยู่ในระดับต่ำ
7.2. ภาษา

ภาษาทางการในมอนเตเนโกรคือ ภาษามอนเตเนโกร นอกจากนี้ ภาษาเซอร์เบีย บอสเนีย แอลเบเนีย และโครเอเชีย ก็ได้รับการยอมรับให้ใช้ในราชการ ภาษามอนเตเนโกร ภาษาเซอร์เบีย ภาษาบอสเนีย และภาษาโครเอเชียสามารถเข้าใจกันได้ในฐานะภาษามาตรฐานของภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย ภาษาเซอร์เบียเป็นภาษาที่พูดกันมากที่สุดในประเทศ โดยมีประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 43.18 ถือว่าเป็นภาษาแม่ของตน ในขณะที่ร้อยละ 34.52 พูดภาษามอนเตเนโกร นอกจากนี้ยังมีผู้พูดภาษาบอสเนีย (ร้อยละ 6.98) ภาษาแอลเบเนีย (ร้อยละ 5.25) และภาษารัสเซีย (ร้อยละ 2.36) จำนวนมาก
ประเด็นเรื่องภาษามีความเชื่อมโยงกับการเมืองและอัตลักษณ์ประจำชาติ การกำหนดให้ภาษามอนเตเนโกรเป็นภาษาทางการเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างรัฐชาติหลังการประกาศเอกราช อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาเซอร์เบียยังคงแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ระบุตนเองว่าเป็นชาวเซิร์บ รัฐธรรมนูญรับรองความเท่าเทียมกันของอักษรซีริลลิกและอักษรละติน แต่ในทางปฏิบัติ อักษรละตินมีการใช้งานแพร่หลายมากกว่า โดยเฉพาะในสื่อและเอกสารราชการ นโยบายทางภาษามุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมภาษามอนเตเนโกรในฐานะภาษาประจำชาติ ขณะเดียวกันก็เคารพสิทธิทางภาษาของชนกลุ่มน้อย
7.3. ศาสนา

มอนเตเนโกรมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการเป็นจุดบรรจบของความหลากหลายทางวัฒนธรรม และตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สิ่งนี้ได้หล่อหลอมการอยู่ร่วมกันที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างประชากรชาวคริสต์และมุสลิม ในอดีต ชาวมอนเตเนโกรเป็นคริสเตียนออร์ทอดอกซ์ตะวันออกที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบีย ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของสังฆมณฑลมอนเตเนโกรและชายฝั่งทะเลและสังฆมณฑลบูติมลิยาและนิกชิช ศาสนาคริสต์ออร์ทอดอกซ์ตะวันออกเป็นศาสนาหลักในมอนเตเนโกร โดยมีประชากรร้อยละ 71.1 นับถือศาสนานี้ ในขณะเดียวกัน คริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียเป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด โดยประมาณร้อยละ 90 ของคริสเตียนออร์ทอดอกซ์ในมอนเตเนโกรนับถือคริสตจักรนี้ คริสตจักรที่แตกแยกออกมาเรียกว่าคริสตจักรออร์ทอดอกซ์มอนเตเนโกร ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) มีผู้ติดตามเป็นคริสเตียนออร์ทอดอกซ์ที่เหลืออีกร้อยละ 10 ในประเทศ คริสตจักรนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากอัครบิดรสากลแห่งคอนสแตนติโนเปิลและไม่ได้อยู่ในสังฆภาพกับคริสตจักรออร์ทอดอกซ์คริสเตียนอื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับตามบัญญัติ
แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกลุ่มศาสนาในช่วงสงครามบอสเนีย มอนเตเนโกรยังคงมีเสถียรภาพเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุหลักมาจากมุมมองของประชากรเกี่ยวกับความอดทนทางศาสนาและความหลากหลายทางศรัทธา สถาบันศาสนามีสิทธิที่ได้รับการรับรองและแยกออกจากรัฐ ศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองคือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีผู้นับถือร้อยละ 19 ของประชากร มอนเตเนโกรมีสัดส่วนชาวมุสลิมสูงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และสูงเป็นอันดับสามในกลุ่มประเทศสลาฟ รองจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและมาซิโดเนียเหนือเท่านั้น ประชากรชาวแอลเบเนียในประเทศกว่าหนึ่งในสี่เป็นชาวคาทอลิก (8,126 คนในการสำรวจสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003)) ในขณะที่ส่วนที่เหลือ (22,267 คน) ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมสุหนี่ ในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) มีพิธีสารรับรองศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เป็นทางการ ซึ่งรับรองว่าอาหารฮาลาลจะให้บริการในสถานที่ทางทหาร โรงพยาบาล หอพัก และสถานบริการทางสังคม และอนุญาตให้สตรีมุสลิมสวมผ้าคลุมศีรษะในโรงเรียนและสถาบันสาธารณะ ตลอดจนรับรองสิทธิของชาวมุสลิมในการหยุดงานวันศุกร์เพื่อละหมาดวันศุกร์ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์วอยสลาฟเลวิช ศาสนาคาทอลิกเป็นศาสนาพื้นเมืองในพื้นที่มอนเตเนโกร ประชากรชาวโรมันคาทอลิกกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวแอลเบเนียและมีชาวโครแอตบางส่วน แบ่งออกเป็นอัครสังฆมณฑลอันติวารีซึ่งนำโดยสังฆราชแห่งเซอร์เบีย และสังฆมณฑลกอตอร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรคาทอลิกในโครเอเชีย
7.4. การศึกษา
ระบบการศึกษาของมอนเตเนโกรประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา การศึกษาภาคบังคับคือระดับประถมศึกษาซึ่งใช้เวลา 9 ปี (เดิม 8 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งรวมถึงโรงเรียนมัธยมปลายทั่วไป (gimnazijaกิมนาซียาMontenegrin) ที่ใช้เวลา 4 ปี และโรงเรียนอาชีวศึกษาที่ใช้เวลา 3 หรือ 4 ปี การศึกษาระดับอุดมศึกษาเปิดสอนโดยมหาวิทยาลัยมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐเพียงแห่งเดียว รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาเอกชนหลายแห่ง
มหาวิทยาลัยมอนเตเนโกรก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) และมีคณะต่าง ๆ ครอบคลุมสาขาวิชาที่หลากหลาย มีความพยายามในการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการมุ่งสู่การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงการนำกระบวนการโบโลญญามาใช้ในระดับอุดมศึกษา
อัตราการรู้หนังสือในมอนเตเนโกรค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านคุณภาพการศึกษา การเข้าถึงการศึกษาสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับตลาดแรงงาน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ภาษาที่ใช้ในการสอนส่วนใหญ่เป็นภาษามอนเตเนโกร แต่ก็มีการจัดการเรียนการสอนในภาษาของชนกลุ่มน้อย เช่น ภาษาแอลเบเนีย ในพื้นที่ที่มีประชากรชาวแอลเบเนียอาศัยอยู่หนาแน่น
7.5. สาธารณสุข
ระบบสาธารณสุขของมอนเตเนโกรอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข และให้บริการผ่านเครือข่ายของสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน ซึ่งรวมถึงศูนย์สุขภาพปฐมภูมิ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลเฉพาะทาง การประกันสุขภาพภาคบังคับครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ และมีการร่วมจ่ายสำหรับบริการบางประเภท
ดัชนีสุขภาพที่สำคัญ เช่น อายุขัยเฉลี่ย อัตราการเสียชีวิตของทารก และอัตราการเสียชีวิตของมารดา ได้มีการปรับปรุงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความแตกต่างระหว่างภูมิภาคและกลุ่มประชากรต่าง ๆ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก
การเข้าถึงบริการทางการแพทย์อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส มีความพยายามในการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านงบประมาณ การขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทางในบางพื้นที่ และความจำเป็นในการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม
8. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของมอนเตเนโกรเป็นการผสมผสานอิทธิพลจากออร์ทอดอกซ์ ออตโตมัน สลาฟ ยุโรปกลาง และวัฒนธรรมเอเดรียติก สะท้อนให้เห็นในสถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี และประเพณีต่าง ๆ


วัฒนธรรมมอนเตเนโกรได้รับการหล่อหลอมจากอิทธิพลที่หลากหลายและยาวนาน โดยหลักมาจากออร์ทอดอกซ์ ออตโตมัน (ตุรกี) สลาฟ ยุโรปกลาง และวัฒนธรรมทางทะเลเอเดรียติก (โดยเฉพาะส่วนของอิตาลี เช่น สาธารณรัฐเวนิส) การผสมผสานนี้ได้สร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นและหลากหลาย
มอนเตเนโกรมีแหล่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย รวมถึงแหล่งมรดกจากยุคก่อนโรมาเนสก์ กอทิก และบาโรก ภูมิภาคชายฝั่งของมอนเตเนโกรเป็นที่รู้จักจากอนุสรณ์สถานทางศาสนา รวมถึงอาสนวิหารนักบุญตรีฟอนในกอตอร์ (คัตตาโรภายใต้การปกครองของเวนิส) มหาวิหารเซนต์ลูค (อายุมากกว่า 800 ปี) โบสถ์แม่พระแห่งโขดหิน (ชครึปเยลา) อารามซาวีนา และอื่น ๆ อารามในยุคกลางหลายแห่งมีภาพปูนเปียกที่สำคัญทางศิลปะ
มิติทางวัฒนธรรมหนึ่งคืออุดมคติทางจริยธรรมของ Čojstvo i Junaštvoโชยสต์วอ อี ยูนัชสตวอMontenegrin ซึ่งหมายถึง "ความเป็นมนุษย์และความกล้าหาญ" หลักการนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความเมตตา และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ซึ่งเป็นค่านิยมที่สืบทอดกันมาในสังคมมอนเตเนโกร การเต้นรำพื้นบ้านแบบดั้งเดิมของชาวมอนเตเนโกรคือ โอโร "การเต้นรำอินทรี" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเต้นเป็นวงกลมโดยมีคู่รักสลับกันอยู่ตรงกลาง และจบลงด้วยการสร้างพีระมิดมนุษย์จากนักเต้นที่ยืนอยู่บนไหล่ของกันและกัน
วรรณกรรมมอนเตเนโกรมีรากฐานมาจากประเพณีมุขปาฐะและบทกวีมหากาพย์ เปตาร์ที่ 2 เปโตรวิช-นีเยกอช ถือเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมอนเตเนโกร ผลงานชิ้นเอกของเขาคือ พวงมาลัยภูเขา (Gorski vijenacกอร์สกี วิเยนัตส์Montenegrin) เป็นบทกวีมหากาพย์ที่กล่าวถึงการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและเอกลักษณ์ของชาติ ดนตรีมอนเตเนโกรมีความหลากหลาย ตั้งแต่ดนตรีพื้นบ้านแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องดนตรี เช่น กุสเล ไปจนถึงดนตรีคลาสสิกและดนตรีร่วมสมัย ศิลปะทัศนศิลป์มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยมีผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากมาย สถาปัตยกรรมมีตั้งแต่โบสถ์ยุคกลางไปจนถึงอาคารสมัยใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย
วัฒนธรรมร่วมสมัยของมอนเตเนโกรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมกับอิทธิพลสมัยใหม่ มีเทศกาลดนตรี ภาพยนตร์ และศิลปะต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งดึงดูดทั้งศิลปินและผู้เข้าชมจากในและต่างประเทศ
8.1. สื่อ
โทรทัศน์ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ดำเนินการโดยทั้งบริษัทของรัฐและบริษัทที่แสวงหาผลกำไร ซึ่งต้องพึ่งพารายได้จากการโฆษณา การบอกรับเป็นสมาชิก และรายได้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขาย รัฐธรรมนูญแห่งมอนเตเนโกรรับรองเสรีภาพในการพูด ระบบสื่อของมอนเตเนโกรกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ
สื่อหลักในมอนเตเนโกรประกอบด้วย:
- โทรทัศน์: RTCG (Radio i televizija Crne Goreราดิโอ อี เตเลวิซียา ซร์เน กอเรMontenegrin) เป็นสถานีโทรทัศน์และวิทยุสาธารณะของประเทศ นอกจากนี้ยังมีสถานีโทรทัศน์เอกชนหลายแห่ง เช่น Vijesti TV และ Prva TV
- หนังสือพิมพ์: หนังสือพิมพ์รายวันที่สำคัญ ได้แก่ Pobjeda (ซึ่งเคยเป็นของรัฐ), Vijesti, และ Dan
- วิทยุ: นอกจาก RTCG แล้ว ยังมีสถานีวิทยุเอกชนและท้องถิ่นจำนวนมาก
เสรีภาพของสื่อในมอนเตเนโกรยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพในการพูด แต่ก็มีรายงานเกี่ยวกับการคุกคามนักข่าว การแทรกแซงทางการเมืองในสื่อ และการขาดความเป็นอิสระของสื่อสาธารณะ องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิสื่อได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่นักข่าวต้องทำงาน และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงการคุ้มครองนักข่าวและความเป็นอิสระของสื่อ การปฏิรูปในภาคส่วนสื่อถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยและการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของมอนเตเนโกร
8.2. กีฬา

กีฬาในมอนเตเนโกรส่วนใหญ่เน้นไปที่กีฬาประเภททีม เช่น โปโลน้ำ ฟุตบอล บาสเกตบอล แฮนด์บอล และวอลเลย์บอล กีฬาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มวยสากล เทนนิส ว่ายน้ำ ยูโด คาราเต้ กรีฑา เทเบิลเทนนิส และหมากรุกสากล
โปโลน้ำเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและถือเป็นกีฬาประจำชาติ ทีมโปโลน้ำชายทีมชาติมอนเตเนโกรเป็นหนึ่งในทีมอันดับต้น ๆ ของโลก โดยได้รับเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปปี 2008 ที่มาลากา ประเทศสเปน และได้รับเหรียญทองในการแข่งขันฟีน่าเวิลด์ลีกปี 2009 ซึ่งจัดขึ้นที่พอดกอรีตซา ทีม PVK Primorac จากกอตอร์ของมอนเตเนโกรกลายเป็นแชมป์ยุโรปในการแข่งขันLEN Euroleague ปี 2009 ที่ริเยกา ประเทศโครเอเชีย มอนเตเนโกรได้อันดับสี่ในกีฬาโปโลน้ำชายในโอลิมปิกปี 2016
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง ฟุตบอลทีมชาติมอนเตเนโกรก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และเคยเข้าร่วมรอบเพลย์ออฟสำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ซึ่งเป็นการปรากฏตัวในระดับสูงสุด บาสเกตบอลทีมชาติมอนเตเนโกรเป็นที่รู้จักในด้านผลงานที่ดีและได้รับเหรียญรางวัลมากมายในฐานะส่วนหนึ่งของบาสเกตบอลทีมชาติยูโกสลาเวีย ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) สหพันธ์บาสเกตบอลมอนเตเนโกรพร้อมกับทีมนี้ได้เข้าร่วมสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ (FIBA) ด้วยตนเอง หลังจากการประกาศเอกราช มอนเตเนโกรได้เข้าร่วมการแข่งขันยูโรบาสเกตสองครั้ง
ในบรรดากีฬาหญิง ทีมแฮนด์บอลหญิงทีมชาติประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยได้รับเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกของประเทศ คือเหรียญเงินในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012 ตามมาด้วยการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปปี 2012 ซึ่งมอนเตเนโกรได้รับชัยชนะ กลายเป็นแชมป์ยุโรป ŽRK Budućnost Podgorica ชนะการแข่งขันEHF Champions League สองครั้ง มอนเตเนโกรเป็นหนึ่งในประเทศเจ้าภาพสำหรับการแข่งขันแฮนด์บอลหญิงชิงแชมป์ยุโรป 2022 และได้อันดับสาม
8.3. อาหาร

อิทธิพลสำคัญแรก ๆ ต่ออาหารมอนเตเนโกรมาจากลิแวนต์และตุรกี: ซาร์มา, มูซากา, ปิลัฟ, ปีตา, กิบานิตซา, บูเรก, เชวาปี, กะบาบ, จูเวช และขนมหวานตุรกี เช่น บาคลาวาและทูลุมบา อาหารฮังการีมีอิทธิพลต่อสตูว์และซาตารัช ในขณะที่อาหารยุโรปกลางปรากฏชัดในการแพร่หลายของเครป, โดนัท, แยม, บิสกิตและเค้กหลายประเภท และขนมปังชนิดต่าง ๆ อาหารมอนเตเนโกรยังมีความแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ โดยอาหารในพื้นที่ชายฝั่งจะแตกต่างจากอาหารในภูมิภาคที่สูงทางตอนเหนือ พื้นที่ชายฝั่งเป็นตัวแทนของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนตามประเพณี โดยมีอาหารทะเลเป็นอาหารทั่วไป อาหารแบบดั้งเดิมของชายฝั่งเอเดรียติกของมอนเตเนโกร ซึ่งแตกต่างจากใจกลางประเทศ ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอาหารอิตาลี
อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาค ได้แก่
- ชายฝั่ง: เน้นอาหารทะเลสด ปลา หมึก หอยแมลงภู่ ริซอตโตสีดำ (ทำจากหมึกของปลาหมึก) และอิทธิพลจากอิตาลี เช่น พาสตาและพิซซา น้ำมันมะกอกและสมุนไพรสดเป็นส่วนประกอบสำคัญ
- ภาคกลาง (รอบทะเลสาบสคาดาร์และหุบเขาซีตา): มีชื่อเสียงด้านปลาคาร์ปรมควันและทอดจากทะเลสาบสคาดาร์ รวมถึงปลาไหลรมควัน ชีสและผลิตภัณฑ์นมอื่น ๆ ก็เป็นที่นิยม
- ภาคเหนือ (ภูเขา): อาหารจะหนักกว่า เน้นเนื้อสัตว์ (เนื้อแกะ เนื้อลูกวัว เนื้อหมู) มันฝรั่ง และผลิตภัณฑ์นม เช่น คายมัก (ครีมข้นคล้ายเนย) และชีสหลากหลายชนิด อาหารจานเด่น ได้แก่ jagnjetina u mlijekuยักเนตินา อู มลิเยกูMontenegrin (เนื้อแกะตุ๋นในนม) kačamakคาชามักMontenegrin (โจ๊กข้าวโพดหรือข้าวสาลีเสิร์ฟกับชีสและคายมัก) และ cicvaraซิควาราMontenegrin (ข้าวโพดบดกับคายมัก)
วัตถุดิบหลักที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ เนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะเนื้อแกะและเนื้อลูกวัว) ปลา ผักตามฤดูกาล ผลิตภัณฑ์นม (ชีส คายมัก โยเกิร์ต) ข้าวโพด และมันฝรั่ง วัฒนธรรมอาหารของมอนเตเนโกรให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่น และมักมีการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษและงานเฉลิมฉลอง