1. ภาพรวม
จี เผิงเฟย (姬鹏飞จี เผิงเฟยChinese) เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1910 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 เป็นนักการเมืองและนักการทูตชาวจีนผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาเป็นสมาชิกอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเคยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊า ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเตรียมการสำหรับการส่งมอบฮ่องกงและมาเก๊าคืนสู่จีน

แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักรบคอมมิวนิสต์ผู้โดดเด่น" และ "ผู้นำที่ยอดเยี่ยมในแนวรบทางการทูต" จากสำนักข่าวซินหัว แต่ชีวิตของจี เผิงเฟยก็ไม่ได้ปราศจากข้อถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่บุตรชายของเขาถูกจับกุมในข้อหาคอร์รัปชัน และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นประเด็นที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและความท้าทายภายในระบบการเมืองของจีน
2. ช่วงต้นของชีวิต
จี เผิงเฟยมีพื้นเพมาจากครอบครัวในมณฑลชานซี และได้รับการศึกษาที่สำคัญในช่วงวัยหนุ่ม ซึ่งมีอิทธิพลต่อเส้นทางอาชีพในอนาคตของเขา
2.1. การเกิดและครอบครัว
จี เผิงเฟย เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1910 ในอำเภอหลินอี้ เมืองยุ่นเฉิง มณฑลชานซี ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ชิง ชื่อเดิมของเขาคือ จี หงปิน (姬宏邠จี หงปินChinese) และเคยใช้ชื่อ จี หลัว (吉洛จี หลัวChinese) ในช่วงต้นของชีวิต เขาแต่งงานกับ สวี ฮั่นปิง (徐汉冰สวี ฮั่นปิงChinese) และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 ที่ปักกิ่ง
2.2. การศึกษา
ในช่วงต้นของชีวิต จี เผิงเฟยได้รับการฝึกอบรมเป็นแพทย์ทหาร ซึ่งทำให้เขามีส่วนร่วมอย่างยาวนานในด้านสุขอนามัยและการเมืองภายในหน่วยงานทางทหาร ประสบการณ์นี้เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในโครงสร้างองค์กร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบทบาทของเขาในภายหลังทั้งในกองทัพและในวงการการทูต
3. เส้นทางอาชีพปฏิวัติ
จี เผิงเฟยเริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการเข้าร่วมกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่บทบาทการเป็นผู้นำในยุคปฏิวัติ
3.1. การเข้าร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชน
ในปี ค.ศ. 1931 จี เผิงเฟยได้เข้าร่วมกองทัพแดงจีน (ซึ่งต่อมาคือกองทัพปลดปล่อยประชาชน) หลังจากการก่อความไม่สงบที่หนิงตู การเข้าร่วมกองทัพในช่วงเวลานี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพทางการทหารของเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการก่อร่างสร้างสาธารณรัฐประชาชนจีน
3.2. การเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกิจกรรมช่วงต้น
ในปี ค.ศ. 1933 จี เผิงเฟยได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคอาวุโสที่เข้าร่วมในการการเดินทัพทางไกล ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเข้าร่วมกิจกรรมช่วงต้นเหล่านี้ทำให้เขากลายเป็นสมาชิกพรรคที่มีประสบการณ์และได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการปฏิวัติ
4. อาชีพด้านการทูตและราชการ
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จี เผิงเฟยได้เปลี่ยนบทบาทจากทหารมาเป็นนักการทูตและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง โดยมีส่วนร่วมในการกำหนดและดำเนินนโยบายสำคัญหลายประการ
4.1. กิจกรรมในกระทรวงการต่างประเทศ
จี เผิงเฟยเริ่มต้นอาชีพทางการทูตในกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีนในยุคแรกเริ่ม
4.1.1. เอกอัครราชทูตประจำเยอรมนีตะวันออก
ในปี ค.ศ. 1950 จี เผิงเฟยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำคณะผู้แทนทางการทูตไปยังเยอรมนีตะวันออก และในปี ค.ศ. 1953 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตคนแรกของจีนประจำสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) ขณะอายุ 43 ปี ทำให้เขากลายเป็นเอกอัครราชทูตจีนที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1955

4.1.2. รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในเยอรมนีตะวันออก จี เผิงเฟยถูกเรียกตัวกลับมายังประเทศจีนในปี ค.ศ. 1955 เพื่อดำรงตำแหน่งรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขามีส่วนช่วยสนับสนุนการทูตของจีนร่วมกับโจว เอินไหล และเฉิน อี้ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น
4.1.3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 1972 หลังจากที่เฉิน อี้ถึงแก่อสัญกรรม จี เผิงเฟยได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1974 และในช่วงเวลาดังกล่าว เขายังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน
4.2. การลงนามในแถลงการณ์ร่วมจีน-ญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ. 1972 จี เผิงเฟยมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น โดยเขาได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมจีน-ญี่ปุ่น (Japan-China Joint Communiqué) ร่วมกับทานากะ คาคุเอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น, โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน และโอฮิระ มาซาโยชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น การลงนามครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
4.3. กิจกรรมช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม
ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม จี เผิงเฟยถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติที่ควบคุมกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับเฉิน อี้ และเฉียว กวนหัว อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้รับผลกระทบมากนักและยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ได้ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแตกต่างจากเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่ถูกกวาดล้างอย่างรุนแรงในช่วงเวลานั้น
4.4. ตำแหน่งสำคัญหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม
หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง จี เผิงเฟยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งทั้งในสภาแห่งรัฐและในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
4.4.1. คณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ
ในปี ค.ศ. 1975 จี เผิงเฟยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ และได้รับการยืนยันตำแหน่งอีกครั้งในปี ค.ศ. 1978 นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งรองประธานและเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 5 ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1978 ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1983
4.4.2. ตำแหน่งในสภาแห่งรัฐและพรรค
ในปี ค.ศ. 1979 จี เผิงเฟยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากรมประสานงานระหว่างประเทศของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดการความสัมพันธ์ของพรรคกับพรรคการเมืองต่างชาติ ต่อมาในปี ค.ศ. 1980 ถึง 1982 เขาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการใหญ่ของสภาแห่งรัฐ นอกจากนี้ เขายังเป็นกรรมการสภาแห่งรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 และเป็นสมาชิกคณะกรรมการประจำของคณะกรรมการที่ปรึกษากลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นหน่วยงานของพรรคที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่อาวุโสเกษียณอายุอย่างเป็นระบบ โดยเขารับตำแหน่งนี้ตั้งแต่การก่อตั้งจนกระทั่งถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992
4.4.3. การดูแลกิจการฮ่องกงและมาเก๊า
จี เผิงเฟยยังเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982/1983 ถึง 1990/1992 และยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการร่างกฎหมายพื้นฐานฮ่องกง ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมในพิธีลงนามแถลงการณ์ร่วมจีน-อังกฤษเกี่ยวกับประเด็นฮ่องกง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเขาในการเตรียมการสำหรับการส่งมอบฮ่องกงและมาเก๊าคืนสู่จีน
5. ชีวิตส่วนตัวและข้อขัดแย้ง
แม้จะมีอาชีพที่โดดเด่น จี เผิงเฟยก็เผชิญกับข้อขัดแย้งที่สำคัญในช่วงท้ายของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุตรชายของเขาและสถานการณ์การเสียชีวิตของตัวเขาเอง
5.1. คดีทุจริตของบุตรชาย
ในปี ค.ศ. 1999 จี เซิ่งเต๋อ (姬胜德จี เซิ่งเต๋อChinese) บุตรชายของจี เผิงเฟย ซึ่งเป็นสมาชิกอาวุโสของหน่วยข่าวกรองของกองทัพปลดปล่อยประชาชน ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาทุจริต การขายข้อมูลลับ และการยักยอกเงินสาธารณะ เขายังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบนำเข้าหยวนหัว (Yuanhua smuggling case) จี เซิ่งเต๋อถูกตัดสินประหารชีวิต แต่โทษถูกลดหย่อนเหลือจำคุก 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หลังจากที่เขายินยอมคืนเงินที่ถูกขโมยไปและเปิดเผยการทุจริตอื่น ๆ
5.2. ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเสียชีวิต
มีข้อกล่าวหาว่าจี เผิงเฟยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยการวางยาพิษในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 ขณะอายุ 91 ปี หลังจากที่เจียง เจ๋อหมินปฏิเสธคำร้องขอของเขาที่ต้องการให้บุตรชายพ้นจากข้อกล่าวหา การเสียชีวิตของเขาในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้งานศพของเขาจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และบทความไว้อาลัยจากสำนักข่าวซินหัวในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2001 ก็เป็นเพียงบทความสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการยกย่องที่เขาได้รับในอดีต
6. การประเมินและมรดก
จี เผิงเฟยได้รับการประเมินทั้งในเชิงบวกและมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับมรดกที่เขาทิ้งไว้ให้กับประวัติศาสตร์ของจีน
6.1. การประเมินเชิงบวก
จี เผิงเฟยได้รับการยกย่องจากสำนักข่าวซินหัวว่าเป็น "นักรบคอมมิวนิสต์ผู้โดดเด่น" และ "ผู้นำที่ยอดเยี่ยมในแนวรบทางการทูต" ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับในบทบาทสำคัญของเขาในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการปฏิวัติและพัฒนาประเทศ
6.2. การระลึกถึง
ในปี ค.ศ. 2010 ได้มีการจัดงานสัมมนาเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของจี เผิงเฟยขึ้นที่มหาศาลาประชาชนในปักกิ่ง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เพื่อรำลึกถึงชีวิตและผลงานของเขาในฐานะบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและการทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีน