1. ภาพรวม
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด เป็นนักชีววิทยาเซลล์ชาวโรมาเนีย-อเมริกัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานของชีววิทยาเซลล์ระดับโมเลกุลสมัยใหม่ เขาเกิดที่เมืองยัช ประเทศโรมาเนีย และสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยการอล ดาวีลา ในบูคาเรสต์ ก่อนจะย้ายไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการวิจัยหลังปริญญาเอก การค้นพบที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการระบุไรโบโซมบนเอนโดพลาสมิกเรกติคูลัมในปี 1955 รวมถึงการเปิดเผยเส้นทางการหลั่งโปรตีนในเซลล์ และการศึกษาโครงสร้างภายในเซลล์ต่าง ๆ โดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและเทคนิคการแยกส่วนเซลล์ ผลงานเหล่านี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี 1974 และรางวัลเกียรติยศอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ เหรียญวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ชีวิตส่วนตัวของเขาสมรสสองครั้งและมีบุตรสองคน มรดกทางวิทยาศาสตร์ของปาลาเดยังคงส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความเข้าใจในกลไกพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตและเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง
2. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด เริ่มต้นเส้นทางชีวิตและอาชีพในประเทศโรมาเนีย ก่อนจะเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาเพื่อสานต่อการศึกษาและงานวิจัยที่สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่โลกวิทยาศาสตร์
2.1. การเกิดและวัยเด็ก
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1912 ที่เมืองยัช ประเทศโรมาเนีย บิดาของเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาประจำมหาวิทยาลัยอาเล็กซันดรู ยออัน คูซาในเมืองยัช ส่วนมารดาเป็นครูสอนในโรงเรียนมัธยม ภูมิหลังทางครอบครัวที่เน้นการศึกษาและวิชาการได้หล่อหลอมให้เขามีความสนใจในวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เยาว์วัย
2.2. การศึกษา
ปาลาเดสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตในปี 1940 จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์การอล ดาวีลา ในบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้เข้าร่วมเป็นคณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยบูคาเรสต์จนถึงปี 1946 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มพัฒนาความสนใจในด้านชีววิทยาเซลล์และเทคนิคการวิจัยขั้นสูง
3. อาชีพและการวิจัย
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด มีเส้นทางอาชีพที่ยาวนานและเต็มไปด้วยการค้นพบอันเป็นรากฐานสำคัญในสาขาชีววิทยาเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทำงานในสถาบันวิจัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา

3.1. การย้ายไปสหรัฐอเมริกาและการวิจัยช่วงต้น
ในปี 1946 ปาลาเดได้เดินทางจากโรมาเนียไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการวิจัยหลังปริญญาเอก ขณะที่เขาช่วยงานรอเบิร์ต เชมเบอส์ในห้องปฏิบัติการชีววิทยาของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาได้พบกับศาสตราจารย์อัลเบิร์ต โกลด ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนในการศึกษาชีววิทยาเซลล์ หลังจากนั้นไม่นาน ปาลาเดได้เข้าร่วมงานกับโกลดที่สถาบันวิจัยการแพทย์ร็อกกีเฟลเลอร์ในฐานะผู้ช่วยศาสตราจารย์ในปี 1948 และในปี 1952 เขาได้โอนสัญชาติเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา
3.2. สถาบันวิจัยและตำแหน่งสำคัญ
ปาลาเดดำรงตำแหน่งสำคัญในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง:
- ระหว่างปี 1958 ถึง 1973 เขาทำงานที่สถาบันร็อกกีเฟลเลอร์ โดยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และหัวหน้าแผนก
- จากปี 1973 ถึง 1990 เขาเป็นศาสตราจารย์ประจำที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยล และเป็นประธานคนแรกของภาควิชาชีววิทยาเซลล์ที่นั่น ปัจจุบันตำแหน่งประธานภาควิชาชีววิทยาเซลล์ที่เยลได้รับการตั้งชื่อว่า "ศาสตราจารย์จอร์เจ ปาลาเด" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
- ตั้งแต่ปี 1990 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2008 เขาประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก (UCSD) ในตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านแพทยศาสตร์ในถิ่นพำนัก (Professor of Medicine in Residence (Emeritus)) ประจำภาควิชาแพทยศาสตร์ระดับเซลล์และโมเลกุล และเป็นคณบดีฝ่ายกิจการวิทยาศาสตร์ (Dean for Scientific Affairs (Emeritus)) ณ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ลาฮอยา รัฐแคลิฟอร์เนีย
3.3. การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด เป็นผู้บุกเบิกการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเพื่อศึกษาโครงสร้างภายในของเซลล์อย่างละเอียดที่สถาบันวิจัยการแพทย์ร็อกกีเฟลเลอร์ เขาได้ศึกษาออร์กาเนลล์ต่าง ๆ เช่น ไรโบโซม, ไมโทคอนเดรีย, คลอโรพลาสต์ และกอลไจแอปพาราตัส
การค้นพบที่สำคัญที่สุดของเขาคือการระบุและบรรยายถึงไรโบโซมที่ติดอยู่กับเอนโดพลาสมิกเรกติคูลัมเป็นครั้งแรกในปี 1955 ซึ่งเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์ การค้นพบนี้เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การทำความเข้าใจกระบวนการสร้างโปรตีนของสิ่งมีชีวิต
นอกจากนี้ ปาลาเดและเพื่อนร่วมงานยังได้ยืนยันสมมติฐานเกี่ยวกับ "เส้นทางการหลั่งสาร" (secretory pathway) โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบพัลส์-เชส (pulse-chase analysis) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเอนโดพลาสมิกเรกติคูลัมหยาบและกอลไจแอปพาราตัสทำงานร่วมกันในการสังเคราะห์ จัดเก็บ และส่งออกโปรตีนจากเซลล์
เขายังได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาโครงสร้างที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ ไวย์เบล-ปาลาเด บอดี (Weibel-Palade bodies) ซึ่งเขาได้บรรยายร่วมกับเอวัลท์ ไวเบิล นักกายวิภาคศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ โครงสร้างเหล่านี้เป็นออร์กาเนลล์สำหรับเก็บกักที่พบเฉพาะในเนื้อเยื่อบุโพรง (endothelium) และบรรจุโปรตีนสำคัญหลายชนิด เช่น วอนวิลเลอแบรนด์แฟกเตอร์
ในช่วงทศวรรษ 1960 ปาลาเดและเพื่อนร่วมงานได้พัฒนาแนวทางการวิจัยสองแนวทาง:
- แนวทางแรกคือการแยกส่วนเซลล์ (cell fractionation) ซึ่งพัฒนาร่วมกับฟิลิป ซีเควิทซ์, ลูอิส โจเอล กรีน, โคลวิน เรดแมน, เดวิด ซาบาตินี และยูทากะ ทาชิโระ การวิจัยนี้ทำให้สามารถจำแนกเม็ดไซโมเจน (zymogen granules) และค้นพบการแยกผลิตภัณฑ์หลั่งในช่องซีสเตอร์นาลของเอนโดพลาสมิกเรกติคูลัม
- แนวทางที่สองคือการใช้ออโตเรดิโอกราฟี (radioautography) ซึ่งดำเนินการร่วมกับลูเซียน คาโร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจมส์ เจมีสัน การวิจัยชุดนี้ได้สร้างความเข้าใจส่วนใหญ่เกี่ยวกับแนวคิดปัจจุบันเกี่ยวกับการสังเคราะห์และการประมวลผลโปรตีนภายในเซลล์เพื่อการส่งออก
การค้นพบไรโบโซมของปาลาเดยังคงเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลต่อการวิจัยในอนาคต ดังจะเห็นได้จากรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 2009 ซึ่งมอบให้กับเว็งกัฏรามัณ รามกิรุษณัณ, ทอมัส เอ. สตีตซ์ และอาดา อี. โยนัต สำหรับการศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของไรโบโซมที่ปาลาเดเป็นผู้ค้นพบ
3.4. รางวัลและเกียรติยศ
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด ได้รับการยกย่องและรางวัลเกียรติยศมากมายตลอดอาชีพการงานของเขา:
- ในปี 1974 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ร่วมกับอัลเบิร์ต โกลด และคริสเชียน เดอ ดูเว จากการค้นพบด้านกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและการแยกส่วนเซลล์ ซึ่งเป็นรากฐานของชีววิทยาเซลล์ระดับโมเลกุลสมัยใหม่
- ในปี 1986 เขาได้รับเหรียญวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐในสาขาวิทยาศาสตร์ชีววิทยา จากผลงาน "การค้นพบที่บุกเบิกเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีการจัดระเบียบสูงจำนวนมากในเซลล์สิ่งมีชีวิต"
- เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐในปี 1961
- ในปี 1968 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์แห่งราชสมาคมจุลทรรศนวิทยา (HonFRMSภาษาอังกฤษ)
- ในปี 1984 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกต่างชาติของราชสมาคม (ForMemRSภาษาอังกฤษ)
- ในปี 1970 เขาได้รับรางวัลลุยซา กรอส ฮอร์วิตซ์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ร่วมกับเรนาโต ดุลเบคโค
- ในปี 1975 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันบัณฑิตโรมาเนีย
- ในปีเดียวกัน (1975) เขายังได้รับรางวัล Golden Plate Award จากสถาบันความสำเร็จแห่งอเมริกา
- ในปี 1981 ปาลาเดเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งของสภาวัฒนธรรมโลก
- ในปี 1985 เขากลายเป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งของวารสาร Annual Review of Cell and Developmental Biology
- ในปี 1988 เขายังได้รับเลือกเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ American-Romanian Academy of Arts and Sciences (ARA)
- รางวัลอื่น ๆ ที่เขาได้รับ ได้แก่ รางวัลปัสซาโน (1964), รางวัลอัลเบิร์ต ลาสเกอร์ สาขาการวิจัยทางการแพทย์พื้นฐาน (1966), รางวัลการ์ดเนอร์นานาชาติ (1967), รางวัลดิ๊กสัน สาขาวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน (1971) และเหรียญอี.บี. วิลสัน (1981)
4. ชีวิตส่วนตัว
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด สมรสครั้งแรกกับอีรินา มาลักซา (เกิดปี 1919) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 1941 อีรินาเป็นบุตรสาวของนักอุตสาหกรรมนิโคลาเอ มาลักซา ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสองคน คือ จอร์เจีย (เกิดปี 1943) และธีโอดอร์ (เกิดปี 1949) ภายหลังภรรยาคนแรกของเขาเสียชีวิตในปี 1969 ปาลาเดได้สมรสใหม่กับแมริลิน ฟาร์คูฮาร์ ซึ่งเป็นนักชีววิทยาเซลล์เช่นกัน และทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก
5. ผลกระทบและการประเมิน
จอร์เจ เอมิล ปาลาเด ได้รับการขนานนามว่าเป็น "นักชีววิทยาเซลล์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล" ผลงานของเขาได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับชีววิทยาเซลล์ระดับโมเลกุลสมัยใหม่ การค้นพบของเขาเกี่ยวกับไรโบโซมและกลไกการสังเคราะห์และหลั่งโปรตีนได้เปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์อย่างสิ้นเชิง ทำให้วงการวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาและทำความเข้าใจโรคต่าง ๆ ในระดับเซลล์ได้ดียิ่งขึ้น
สุนทรพจน์ของเขาในพิธีรับรางวัลโนเบลเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1974 มีชื่อว่า "มุมมองระดับในเซลล์ของขบวนการการหลั่งโปรตีน" ("Intracellular Aspects of the Process of Protein Secretion"ภาษาอังกฤษ) ซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดยมูลนิธิโนเบลในปี 1992 ผลงานวิจัยและการสอนของปาลาเดได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จำนวนมาก และมรดกทางวิทยาศาสตร์ที่เขาทิ้งไว้ยังคงเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการวิจัยด้านชีววิทยาเซลล์และชีววิทยาโมเลกุลในปัจจุบัน