1. ภาพรวม
วอโนเนสที่ 1 (ΟΝΩΝΗΣโอนอเนสGreek, Ancient ตามที่ปรากฏบนเหรียญกษาปณ์ของพระองค์) เป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์อาร์ซาซิส ผู้ทรงปกครองเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์ของจักรวรรดิพาร์เธียตั้งแต่ปีค.ศ. 8 ถึง 12 และต่อมาเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอาร์เมเนียตั้งแต่ปีค.ศ. 12 ถึง 18 พระองค์เป็นโอรสองค์โตของฟราอาเทสที่ 4 และถูกส่งไปยังโรมในฐานะตัวประกันเมื่อประมาณ 10/9 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อป้องกันความขัดแย้งในการสืบราชบัลลังก์ของพระอนุชาองค์เล็กคือฟราอาเทสที่ 5 (ฟราอาตาเคส)
การถูกเลี้ยงดูและเติบโตในวัฒนธรรมโรมันอย่างลึกซึ้งได้ส่งผลให้พระองค์ถูกมองว่าเป็น "หุ่นเชิดของโรม" เมื่อเสด็จกลับมาปกครองพาร์เธีย ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงจากชนชั้นสูงของพาร์เธียและสงครามกลางเมือง การครองราชย์ของพระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความตึงเครียดระหว่างอิทธิพลของโรมันกับการรักษาเอกราชของพาร์เธีย ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยและการกำหนดชะตากรรมของตนเอง พระองค์ทรงพยายามหลบหนีจากการควบคุมของโรมันในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ก็ถูกสังหารในที่สุด

2. ช่วงชีวิตตอนต้นและการเป็นตัวประกันในโรม
วอโนเนสที่ 1 ทรงมีภูมิหลังในราชวงศ์พาร์เธียและใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในฐานะตัวประกันที่กรุงโรม ซึ่งเป็นการหล่อหลอมมุมมองและบุคลิกภาพของพระองค์อย่างมีนัยสำคัญ
2.1. ภูมิหลังครอบครัวและการเป็นตัวประกันในโรม
วอโนเนสที่ 1 เป็นโอรสองค์โตของฟราอาเทสที่ 4 กษัตริย์แห่งจักรวรรดิพาร์เธีย และพระนางบิสเตอิบานาปส์ พระมารดาของพระองค์ ตามข้อมูลของนักประวัติศาสตร์โรมันคลาสสิกอย่างทาซิตัส พระองค์ยังมีความเกี่ยวข้องกับกษัตริย์แห่งชาวไซเธีย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเป็นพันธมิตรทางการสมรสระหว่างฟราอาเทสที่ 4 กับหัวหน้าเผ่าไซเธีย เพื่อขอความช่วยเหลือในการทวงคืนราชบัลลังก์จากผู้แย่งชิงตำแหน่งอย่างทิริดาเตสที่ 2 แห่งพาร์เธียเมื่อประมาณ 30 ปีก่อนคริสตกาล
ใน 10/9 ปีก่อนคริสตกาล (บางแหล่งระบุว่าในทศวรรษที่ 20 ปีก่อนคริสตกาล) วอโนเนสพร้อมกับพระอนุชาอีกสามพระองค์ ได้แก่ ฟราอาเทส, เซราสปันเดส และโรดาสเปส รวมถึงพระมารดาบิสเตอิบานาปส์ ได้ถูกส่งไปยังกรุงโรมในฐานะตัวประกัน นี่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างฟราอาเทสที่ 4 กับจักรพรรดิออกัสตัส เพื่อรับประกันสนธิสัญญาและเพื่อป้องกันความขัดแย้งในการสืบทอดราชบัลลังก์ของฟราอาเทสที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมการสำหรับฟราอาเทสที่ 5 (ฟราอาตาเคส) ซึ่งเป็นโอรสองค์เล็กของฟราอาเทสที่ 4 กับพระนางมูซาแห่งพาร์เธีย จักรพรรดิออกัสตัสได้ใช้เหตุการณ์นี้ในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ โดยแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนของพาร์เธียต่อโรม และบันทึกไว้ว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในหนังสือ Res Gestae Divi Augusti ของพระองค์
2.2. การศึกษาและอิทธิพลของวัฒนธรรมโรมัน
ในระหว่างที่ทรงเป็นตัวประกันที่กรุงโรม วอโนเนสได้รับการต้อนรับในฐานะแขกผู้มีเกียรติและทรงใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก จักรพรรดิออกัสตัสได้จัดให้พระองค์ได้รับการศึกษาในแบบโรมัน ทำให้พระองค์ซึมซับขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของโรมันอย่างลึกซึ้ง การใช้ชีวิตและการศึกษาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ส่งผลให้พระองค์มีความเป็น "โรมัน" มากกว่า "พาร์เธีย" ทั้งในด้านความคิดและพฤติกรรม ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้งและการต่อต้านในช่วงที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในพาร์เธีย
3. การครองราชย์ในพาร์เธีย
การขึ้นสู่ราชบัลลังก์พาร์เธียของวอโนเนสที่ 1 เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางการเมืองอย่างรุนแรง แต่การที่พระองค์ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมโรมันตั้งแต่เยาว์วัยกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการได้รับความยอมรับจากชนชั้นสูงของพาร์เธีย ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งภายในและการสูญเสียราชบัลลังก์ในที่สุด
3.1. การสืบทอดราชบัลลังก์
สถานการณ์ทางการเมืองในพาร์เธียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีความวุ่นวายอย่างมาก หลังจากที่ฟราอาเทสที่ 4ถูกพระนางมูซาแห่งพาร์เธีย พระชายาของพระองค์ลอบสังหารในปีค.ศ. 2 ฟราอาเทสที่ 5 (ฟราอาตาเคส) โอรสของฟราอาเทสที่ 4 กับมูซา ได้ขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์ไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงของพาร์เธีย และถูกขับไล่ออกไปในปีค.ศ. 4 หลังจากนั้น โอโรเดสที่ 3 แห่งพาร์เธีย ได้ขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์ก็ล้มเหลวในการรวมอำนาจและถูกลอบสังหารในปีค.ศ. 6
ในภาวะสุญญากาศทางอำนาจนี้ ชนชั้นสูงของพาร์เธียที่ต่อต้านโอโรเดสที่ 3 ในบาบิโลเนีย ได้ร้องขอต่อจักรพรรดิออกัสตัสของโรมัน ให้ส่งเจ้าชายจากราชวงศ์อาร์ซาซิสที่อยู่ในความดูแลของโรมกลับมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพและอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ เป็นผลให้จักรพรรดิออกัสตัสส่งวอโนเนสที่ 1 ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของฟราอาเทสที่ 4 กลับมายังพาร์เธีย และขึ้นครองราชย์ในปีค.ศ. 8
3.2. นโยบายภายในประเทศและฝ่ายค้าน
แม้จะขึ้นครองราชย์ด้วยการสนับสนุนจากโรมและบางกลุ่มในพาร์เธีย แต่วอโนเนสที่ 1 กลับไม่สามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ เนื่องจากการที่พระองค์ได้รับการศึกษาและซึมซับวิถีชีวิตแบบโรมันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พระองค์นำขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมโรมันเข้ามาในพาร์เธีย และดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับโรมอย่างชัดเจน นอกจากนี้ พระองค์ยังให้ความสำคัญกับชาวกรีกที่อาศัยอยู่ในนครรัฐของพาร์เธีย และพยายามยกระดับสถานะของพวกเขา
นโยบายเหล่านี้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่ชนชั้นสูงและขุนนางดั้งเดิมของพาร์เธีย ผู้ซึ่งมองว่าวอโนเนสที่ 1 เป็นเพียง "หุ่นเชิด" หรือ "ทาสของโรม" ไม่ใช่กษัตริย์ที่แท้จริงของพาร์เธียที่ยึดมั่นในประเพณีและเอกราชของตนเอง ความขัดแย้งนี้ได้บ่มเพาะขึ้นจนนำไปสู่การก่อกบฏและการท้าทายอำนาจของพระองค์
3.3. สงครามกลางเมืองกับอาร์ตาบานุสที่ 2
จากความไม่พอใจภายใน ราชวงศ์อาร์ซาซิสสาขาอื่นที่ปกครองมีเดียอะโทรปาเทเนและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางชนเผ่าเร่ร่อนดาฮาเอทางตะวันออกของพาร์เธีย ได้แก่ อาร์ตาบานุสที่ 2 แห่งพาร์เธีย ได้รับเชิญจากชนชั้นสูงพาร์เธียที่ไม่พอใจให้ขึ้นมาท้าทายอำนาจของวอโนเนสที่ 1
สงครามกลางเมืองระหว่างวอโนเนสที่ 1 และอาร์ตาบานุสที่ 2 กินเวลานานกว่าสี่ปี วอโนเนสที่ 1 ได้รับการสนับสนุนจากโรมและนครรัฐกรีกในพาร์เธีย ในขณะที่อาร์ตาบานุสที่ 2 ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางดั้งเดิมและชนเผ่าเร่ร่อนจากเอเชียกลาง ในช่วงแรก วอโนเนสที่ 1 มีความได้เปรียบและสามารถรวบรวมอำนาจในเขตบาบิโลเนียได้ เหรียญกษาปณ์ของพระองค์ในช่วงปีค.ศ. 8 ถึง 12 ยังมีการจารึกข้อความว่า "กษัตริย์วอโนเนส ผู้พิชิตอาร์ตาบานุส" ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงชัยชนะชั่วคราวของพระองค์ ในขณะที่เหรียญของอาร์ตาบานุสที่ 2 เริ่มปรากฏในปีค.ศ. 10 อย่างไรก็ตาม อาร์ตาบานุสที่ 2 ซึ่งล่าถอยไปทางตะวันออก ได้รวบรวมกำลังและโต้กลับ จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะและขับไล่วอโนเนสที่ 1 ออกจากราชบัลลังก์พาร์เธียได้เมื่อประมาณปีค.ศ. 12
4. การครองราชย์ในอาร์เมเนีย
หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองพาร์เธีย วอโนเนสที่ 1 ได้ลี้ภัยไปยังราชอาณาจักรอาร์เมเนียและขึ้นครองราชย์ที่นั่น แต่การปกครองของพระองค์ก็เป็นไปอย่างสั้น ๆ และเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กับจักรวรรดิพาร์เธียที่นำโดยอาร์ตาบานุสที่ 2
4.1. การลี้ภัยสู่อาร์เมเนียและการขึ้นครองราชย์
หลังจากถูกอาร์ตาบานุสที่ 2 ขับไล่ออกจากราชบัลลังก์พาร์เธียเมื่อประมาณปีค.ศ. 12 วอโนเนสที่ 1 ได้ลี้ภัยไปยังอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นรัฐกันชนที่สำคัญระหว่างอาณาเขตของโรมและพาร์เธีย ด้วยสถานะความเป็นเจ้าชายจากราชวงศ์อาร์ซาซิสและได้รับการสนับสนุนจากโรมในระดับหนึ่ง ทำให้พระองค์สามารถขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาร์เมเนียได้ในปีค.ศ. 12 และปกครองที่นั่นจนถึงปีค.ศ. 18
4.2. ความขัดแย้งทางการทูตและการถูกถอดถอน
การขึ้นครองราชย์ของวอโนเนสที่ 1 ในอาร์เมเนียสร้างความไม่พอใจให้กับอาร์ตาบานุสที่ 2 ผู้ซึ่งเพิ่งเอาชนะวอโนเนสมาได้ในพาร์เธีย อาร์ตาบานุสที่ 2 พยายามที่จะโค่นล้มวอโนเนสที่ 1 ออกจากราชบัลลังก์อาร์เมเนียและแต่งตั้งโอรสของตนเองขึ้นมาแทน ซึ่งโรมันมองว่าเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคนี้
ในเบื้องต้น จักรพรรดิไทเบเรียสแห่งโรมันได้ส่งแกร์มานิกุส บุตรบุญธรรมของพระองค์ไปเพื่อยับยั้งแผนการของอาร์ตาบานุสที่ 2 อย่างไรก็ตาม แกร์มานิกุสไม่พบกับการต่อต้านจากพาร์เธียและได้บรรลุข้อตกลงกับอาร์ตาบานุสที่ 2 ในปีค.ศ. 18 ข้อตกลงนี้กำหนดให้อาร์ตาซิอัสที่ 3 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของอาร์เมเนีย และโรมจะยกเลิกการสนับสนุนวอโนเนสที่ 1 เป็นการแลกเปลี่ยน โรมจึงยอมรับอาร์ตาบานุสที่ 2 ในฐานะผู้ปกครองพาร์เธียที่ชอบธรรม เพื่อยืนยันความสัมพันธ์อันเป็นมิตรระหว่างสองจักรวรรดิ อาร์ตาบานุสและแกร์มานิกุสได้พบกันบนเกาะแห่งหนึ่งในแม่น้ำยูเฟรติสในปีค.ศ. 18 นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของโรมที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งขนาดใหญ่กับพาร์เธีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความพ่ายแพ้ในแกร์มาเนียที่ทำให้โรมหันมาใช้นโยบายต่างประเทศที่รอบคอบมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ วอโนเนสที่ 1 จึงถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์อาร์เมเนียในปีค.ศ. 15 (บางแหล่งระบุว่าค.ศ. 18)
5. บั้นปลายชีวิตและการเสียชีวิต
หลังจากถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์อาร์เมเนีย วอโนเนสที่ 1 ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโรมอย่างเต็มตัว โดยถูกกักขังและเนรเทศไปยังหลายสถานที่ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก
5.1. การถูกคุมขังและเนรเทศโดยโรมัน
ภายใต้ข้อตกลงกับอาร์ตาบานุสที่ 2 โรมได้ย้ายวอโนเนสที่ 1 ไปยังซีเรีย ที่นั่นพระองค์ถูกควบคุมตัว แต่ก็ยังคงได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติเฉกเช่นกษัตริย์ในฐานะนักโทษทางการเมือง ต่อมา พระองค์ถูกย้ายไปที่ซิลิเชีย ซึ่งเป็นมณฑลของโรมันในอนาโตเลีย
5.2. สถานการณ์การเสียชีวิต
ในประมาณปีค.ศ. 19 วอโนเนสที่ 1 ได้พยายามหลบหนีจากการคุมขังในซิลิเชียของโรมัน แต่ความพยายามดังกล่าวไม่สำเร็จ พระองค์ถูกสังหารโดยยามรักษาการณ์ของโรมันในระหว่างการพยายามหลบหนีนั้น เป็นอันสิ้นสุดชีวิตของกษัตริย์ผู้ถูกมองว่าเป็น "หุ่นเชิดของโรม" และเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองตลอดชีวิต
6. เหรียญกษาปณ์
เหรียญกษาปณ์ที่ออกโดยวอโนเนสที่ 1 เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนถึงช่วงเวลาการปกครองของพระองค์และความพยายามในการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์พาร์เธีย
เหรียญของวอโนเนสที่ 1 มีอายุตั้งแต่ปีค.ศ. 8 ถึง 12 ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์ทรงต่อสู้กับอาร์ตาบานุสที่ 2 แห่งพาร์เธียเพื่อชิงราชบัลลังก์พาร์เธีย สิ่งที่โดดเด่นบนเหรียญเหล่านี้คือข้อความที่จารึกว่า "กษัตริย์วอโนเนส ผู้พิชิตอาร์ตาบานุส" ข้อความนี้เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะชั่วคราวของพระองค์เหนืออาร์ตาบานุสที่ 2 ในช่วงต้นของสงครามกลางเมืองก่อนที่พระองค์จะพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด ในทางตรงกันข้าม เหรียญกษาปณ์ของอาร์ตาบานุสที่ 2 เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่ปีค.ศ. 10 เป็นต้นไป ซึ่งบ่งชี้ถึงการขึ้นมามีอำนาจของเขาในภายหลัง
7. มรดกและการประเมินทางประวัติศาสตร์
การปกครองของวอโนเนสที่ 1 ได้ทิ้งผลกระทบที่สำคัญต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของพาร์เธียและภูมิภาคโดยรอบ แม้ว่าพระองค์จะถูกมองว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการรวมอำนาจและเอกราช แต่ช่วงชีวิตของพระองค์ก็สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างพาร์เธียและโรม
7.1. ผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของพาร์เธีย
การสิ้นพระชนม์ของวอโนเนสที่ 1 และการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ถูกท้าทายของอาร์ตาบานุสที่ 2 ได้นำไปสู่การแบ่งแยกในหมู่ชนชั้นสูงของพาร์เธีย เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนการเข้ามาของราชวงศ์อาร์ซาซิสสาขาใหม่ที่ขึ้นปกครองอาณาจักร ผลจากความไม่มั่นคงภายในนี้ทำให้เกิดการประกาศเอกราชของบางภูมิภาค ตัวอย่างเช่น กอนโดฟาเรส เจ้าเมืองของซากัสสถาน, ดรังเกียนา และอาราโคเซีย ได้ประกาศเอกราชจากอาร์ตาบานุสที่ 2 และสถาปนาอาณาจักรอินโด-พาร์เธียขึ้น พระองค์ทรงใช้พระอิสริยยศ "มหากษัตริย์แห่งกษัตริย์" และ "ออโตเครเตอร์" เพื่อแสดงถึงเอกราชที่เพิ่งค้นพบ แม้กระนั้น อาร์ตาบานุสและกอนโดฟาเรสก็คาดว่าน่าจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันว่าอินโด-พาร์เธียจะไม่เข้าแทรกแซงกิจการของราชวงศ์อาร์ซาซิส นอกจากนี้ วอโนเนสยังมีบุตรชายชื่อเมเฮอร์ดาเตส ซึ่งภายหลังได้พยายามยึดราชบัลลังก์พาร์เธียในช่วงปีค.ศ. 49-51
7.2. การประเมินและวิพากษ์วิจารณ์ทางประวัติศาสตร์
วอโนเนสที่ 1 มักถูกประเมินโดยนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นบุคคลที่น่าเศร้าและเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามของโรมที่จะครอบงำกิจการภายในของพาร์เธีย การที่พระองค์ได้รับการศึกษาแบบโรมันตั้งแต่เยาว์วัยและมีนโยบายที่สนับสนุนโรม ทำให้พระองค์ถูกชนชั้นสูงของพาร์เธียดูหมิ่นและเรียกขานว่าเป็น "หุ่นเชิดของโรม" หรือ "ทาสของโรมัน" ซึ่งเป็นมุมมองที่สะท้อนถึงการต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติและการสูญเสียเอกราช
แม้ว่าพระองค์จะประสบความสำเร็จชั่วคราวในการยึดอำนาจในบาบิโลเนียและแม้แต่เป็นกษัตริย์แห่งอาร์เมเนีย แต่การไม่สามารถรวมอำนาจและได้รับความเคารพอย่างแท้จริงจากชนชั้นสูงในพาร์เธียได้นำไปสู่ความพ่ายแพ้และการสิ้นพระชนม์ในที่สุด นักประวัติศาสตร์มองว่าเรื่องราวของวอโนเนสที่ 1 เป็นบทเรียนเกี่ยวกับอันตรายของการที่ผู้ปกครองถูกมองว่าไร้ซึ่งอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และการที่อิทธิพลภายนอกสามารถบ่อนทำลายเสถียรภาพภายในของรัฐได้อย่างไร