1. ภาพรวม
อิโนอุเอะ นิชโช (井上 日召Inoue Nisshōภาษาญี่ปุ่น; 12 เมษายน ค.ศ. 1887 - 4 มีนาคม ค.ศ. 1967) เป็นนักเทศน์ชาวพุทธหัวรุนแรงและนักชาตินิยมชาวญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งองค์กรติดอาวุธฝ่ายขวาจัด 血盟団เค็ตสึเมดานภาษาญี่ปุ่น (League of Blood) ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง แม้เขาจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเทศน์ในนิกาย Nichiren แต่เขาไม่เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสงฆ์อย่างเป็นทางการ และแนวคิดสุดโต่งของเขาถูกประณามอย่างกว้างขวางจากสถาบันพุทธศาสนานิกาย Nichiren กระแสหลักในเวลานั้น
นิชโชเป็นผู้นำและผู้บงการเหตุการณ์ลอบสังหารทางการเมืองหลายครั้งภายใต้แนวคิด "สังหารคนละหนึ่งชีวิต" (One Man, One Assassination) ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การโค่นล้มชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจของญี่ปุ่น การกระทำของเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพทางการเมืองของญี่ปุ่นในช่วงต้นยุคโชวะ และถือเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินุไก สึโยชิ ในเหตุการณ์ 15 พฤษภาคม การเคลื่อนไหวของนิชโชสะท้อนถึงอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่งและลัทธิรัฐนิยมโชวะ ซึ่งมีผลกระทบเชิงลบอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในญี่ปุ่นยุคนั้น
2. ประวัติ
อิโนอุเอะ นิชโช มีชื่อเดิมว่า อิโนอุเอะ ชิโร (ต่อมาเปลี่ยนเป็น อากิระ และจากนั้นเป็น นิชโช ซึ่งแปลว่า "ผู้ที่ถูกเรียกโดยดวงอาทิตย์") ชีวิตของเขามีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ทั้งการศึกษา การทำงาน และการพัฒนาทางความคิดที่นำไปสู่บทบาทสำคัญในขบวนการฝ่ายขวาจัดของญี่ปุ่น
2.1. การเกิดและวัยเด็ก
อิโนอุเอะ นิชโช เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1887 (บางแหล่งระบุ ค.ศ. 1886) ที่เมือง คาวาบะ จังหวัด กุมมะ ประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของแพทย์ชนบท พี่ชายคนที่สองของเขาคือ อิโนอุเอะ ฟุมิโอะ ซึ่งต่อมาเป็นนายทหารเรือยศพันโทในกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น
2.2. การศึกษา
นิชโชได้รับการศึกษาที่โรงเรียนสาขาโทเนะของโรงเรียนมัธยมมาเอะบาชิเก่า และจบการศึกษาจากโรงเรียนหลัก จากนั้นเขาได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยวาเซดะและโรงเรียนเฉพาะทางสมาคมบูรพา (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยทากูโชกุ) แต่ได้ลาออกจากการศึกษาทั้งสองแห่งกลางคัน
2.3. ประสบการณ์ในแมนจูเรียและการเดินทางกลับญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ. 1909 นิชโชได้เดินทางไปยังแมนจูเรียและใช้ชีวิตเป็นคนพเนจรอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าทำงานกับบริษัทรถไฟแมนจูเรียใต้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 ถึง ค.ศ. 1920 ในช่วงเวลานี้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมจารกรรมด้วย ในปี ค.ศ. 1919 พี่ชายของเขา ฟุมิโอะ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางอากาศ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1920 นิชโชจึงเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น
2.4. การพัฒนาทางความคิดทางศาสนา
เมื่อกลับมาญี่ปุ่น นิชโชได้ศึกษาเพื่อเป็นพระนิกายเซนในระยะแรก แต่ต่อมาเขาได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ติดตามนิกาย Nichiren การเปลี่ยนศาสนานี้ทำให้เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองมิโฮะ จังหวัดชิซูโอกะ เพื่อศึกษาภายใต้ทะนะกะ ชิงะกุ นักวิชาการนิกาย Nichiren และนักเทศน์ชาตินิยมที่สถาบันโคกุจูไกของเขา ในช่วงเวลานี้เองที่นิชโชได้พบกับโมริเฮ อุเอชิบะ ผู้ก่อตั้งไอคิโด อย่างไรก็ตาม นิชโชเริ่มไม่พอใจในคำสอนของทะนะกะในไม่ช้า และในปี ค.ศ. 1924 เขาได้ตัดสินใจใช้ชื่อ อิโนอุเอะ นิชโช หลังจากพูดคุยกับนักข่าวอาซาฮินะ ชิเซ็น ในช่วงนี้เองที่เขาเชื่อว่าตนเองมีประสบการณ์ลึกลับและฟื้นตัวจากความเจ็บป่วย ซึ่งนำไปสู่การเริ่มทำพิธีสวดมนต์เพื่อการรักษาโรค
2.5. การก่อตั้ง Risshō Gokokudō
ในปี ค.ศ. 1928 นิชโชได้ย้ายไปที่เมืองโออาไร จังหวัดอิบารากิ และก่อตั้งวัดของตนเองชื่อ 立正護国堂ริชโช โกโกกุโดภาษาญี่ปุ่น (Righteous National Defense Temple) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนและสถานที่สำหรับทำพิธีสวดมนต์เพื่อการรักษาโรค เขาหวังที่จะอุทิศตนให้กับกิจกรรมของศูนย์ฝึกนี้ โดยเน้นการสนับสนุนการปฏิวัติทางทหารในญี่ปุ่น
2.6. การติดต่อกับบุคคลสำคัญฝ่ายขวา
ในช่วงเวลานี้ ด้วยความช่วยเหลือของทะนะกะ มิตสึอากิ อดีตผู้ดูแลพระราชลัญจกรของญี่ปุ่น นิชโชได้รู้จักกับบุคคลสำคัญฝ่ายขวาหลายคน เช่น โอคาวะ ชูเมย์ และคิตะ อิคคิ เขายังได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากนายทหารหนุ่มหัวรุนแรงจากฐานทัพเรือสึจิอุระที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ เขายังได้ติดต่อกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่มีอิทธิพลในกองทัพ เช่น กอนโด เซเคียว และ นิชิดะ มิตสึกิ รวมถึงฟูจิอิ ฮิโตชิ นายทหารเรือหัวรุนแรง และทะจิบะนะ โคซะบุโร หัวหน้าสำนักไอเคียวจุกุ ซึ่งโน้มน้าวเขาว่าไม่มีทางอื่นในการปฏิรูปการปกครองของญี่ปุ่นนอกจากการใช้ความรุนแรง
3. อุดมการณ์และปรัชญา
อิโนอุเอะ นิชโช มีอุดมการณ์และปรัชญาที่หยั่งรากลึกในแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและศาสนา ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนการใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง
3.1. รากฐานทางความคิด
แนวคิดของนิชโชได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนิกาย Nichiren ซึ่งเขาตีความในลักษณะที่หัวรุนแรงและชาตินิยม แม้เขาจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเทศน์นิกาย Nichiren แต่เขาก็ไม่เคยได้รับการอุปสมบทอย่างเป็นทางการ และหลักคำสอนสุดโต่งของเขาถูกประณามอย่างกว้างขวางจากสถาบันพุทธศาสนานิกาย Nichiren กระแสหลักในยุคนั้น นิชโชเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงเป็นหนทางเดียวในการ "ปฏิรูป" สังคมญี่ปุ่นให้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ตามอุดมคติของเขา
3.2. การสนับสนุนการปฏิวัติทางทหาร
นิชโชเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่นจะต้องเกิดขึ้นผ่านการใช้กำลังและการปฏิวัติทางทหาร เขาได้วางแผนกิจกรรมก่อการร้ายโดยเชื่อว่าการสังหารบุคคลสำคัญจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของประเทศ เขาได้ร่วมมือกับกลุ่มนายทหารหัวรุนแรงและนักชาตินิยมคนอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โดยเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ "กอบกู้" ญี่ปุ่น
3.3. ลัทธิรัฐนิยมโชวะ (Shōwa Statism)
แนวคิดของนิชโชมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับลัทธิรัฐนิยมโชวะ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ชาตินิยมและอำนาจนิยมที่แพร่หลายในญี่ปุ่นยุคโชวะ อุดมการณ์นี้เน้นการรวมศูนย์อำนาจภายใต้จักรพรรดิ การเสริมสร้างกองทัพ และการขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นในต่างประเทศ นิชโชเห็นว่าการกระทำของเขาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูญี่ปุ่นให้เป็นรัฐที่เข้มแข็งและบริสุทธิ์ตามอุดมคติของลัทธิรัฐนิยมโชวะ
4. Ketsumeidan และคดีเลือด (League of Blood Incident)
อิโนอุเอะ นิชโช เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำขององค์กร 血盟団เค็ตสึเมดานภาษาญี่ปุ่น (League of Blood) ซึ่งเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ลอบสังหารทางการเมืองหลายครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 1930
4.1. การก่อตั้ง Ketsumeidan
ในปี ค.ศ. 1930 นิชโชได้ย้ายไปที่โตเกียวและเริ่มก่อตั้งเค็ตสึเมดาน โดยรับสมัครสมาชิกจากกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงในมหาวิทยาลัย เค็ตสึเมดานก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1932 พร้อมกับกลุ่มนายทหารหนุ่ม 13 คน รวมถึงโอะนุมะ โช และฮิชินุมะ โกะโร โดยมีเป้าหมายคือการโค่นล้มชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจในขณะนั้น และมีคติพจน์ว่า "สังหารคนละหนึ่งชีวิต" (One Man, One Assassination) เดิมทีกลุ่มนี้วางแผนที่จะก่อการร้ายหมู่ในวันครบรอบการก่อตั้งจักรวรรดิ (Kigensetsu) ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 แต่เมื่อแผนไม่สามารถดำเนินการได้ พวกเขาจึงหันไปใช้วิธีลอบสังหารบุคคลสำคัญเป็นรายบุคคลแทน
4.2. คดีเลือด (League of Blood Incident)
การลอบสังหารระลอกแรกของกลุ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1932 เมื่ออิโนอุเอะ จุนโนสุเกะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการลอบสังหารบารอนดัน ทาคุมะ ผู้อำนวยการใหญ่ของกลุ่มบริษัทมิตซุยซาไบสึ (zaibatsu) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม เหตุการณ์ทั้งสองนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อรวมว่า "คดีเลือด" (League of Blood Incident)
4.3. ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ 15 พฤษภาคม
นิชโชถูกจับกุมไม่นานหลังจากการลอบสังหารบารอนดัน ทาคุมะ หลังจากนั้น โคกะ คิโยชิ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้วางใจ ได้เข้ามารับช่วงต่อการนำกลุ่มและเริ่มจัดระเบียบการลอบสังหารระลอกที่สอง ซึ่งนำไปสู่การลอบสังหารอินุไก สึโยชิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1932 เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เหตุการณ์ 15 พฤษภาคม" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและผลกระทบต่อเนื่องของการก่อการร้ายที่ริเริ่มโดยนิชโช
5. การพิจารณาคดี การจำคุก และการปล่อยตัว
อิโนอุเอะ นิชโช ต้องเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนานหลังจากการก่อเหตุการณ์คดีเลือด ซึ่งนำไปสู่การถูกจำคุกและการได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา
5.1. การจับกุมและการพิจารณาคดี
นิชโชถูกจับกุมไม่นานหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารบารอนดัน ทาคุมะ ในระหว่างการพิจารณาคดี พระอาจารย์เซน รินไซ นามว่า เก็มโป ยามาโมโตะ ได้ขึ้นให้การสนับสนุนอดีตลูกศิษย์ของเขา โดยให้เหตุผลว่าการใช้ความรุนแรงของนิชโชนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรมจากมุมมองของนิกายเซนและจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น
5.2. การตัดสินลงโทษและการจำคุก
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1934 นิชโชและมือปืนอีกสามคนของเค็ตสึเมดานถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ว่าฝ่ายโจทก์จะไม่สามารถเรียกร้องโทษประหารชีวิตได้ สมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุมได้รับโทษที่เบากว่า นิชโชถูกคุมขังในเรือนจำตามคำตัดสิน
5.3. การปล่อยตัวภายใต้การอภัยโทษ
นิชโชได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำก่อนกำหนดภายใต้การอภัยโทษในปี ค.ศ. 1940
6. กิจกรรมหลังสงครามและการเกษียณ
หลังจากการปล่อยตัวและสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง อิโนอุเอะ นิชโช ยังคงมีบทบาทในแวดวงการเมืองฝ่ายขวาของญี่ปุ่นก่อนที่จะเกษียณในที่สุด
6.1. การถูกขับออกจากตำแหน่งและการฟื้นฟูสิทธิ
ในปี ค.ศ. 1947 นิชโชถูกระบุว่าเป็นฟาสซิสต์โดยกองกำลังยึดครองของสหรัฐฯ (Supreme Commander for the Allied Powers) และถูกขับออกจากตำแหน่งสาธารณะ ซึ่งเป็นการห้ามไม่ให้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการฟื้นฟูสิทธิเมื่อการยึดครองญี่ปุ่นสิ้นสุดลง
6.2. กิจกรรมฝ่ายขวาหลังสงครามและการเกษียณ
ในปี ค.ศ. 1941 นิชโชได้ก่อตั้ง "ฮิโมโรกิ จุกุ" ร่วมกับมิคามิ ทะคุ, โยตสึโมะโตะ โยชิทะกะ และฮิชินุมะ โกะโร และได้อาศัยอยู่ที่บ้านของโคะโนะเอะ ฟุมิมะโระ ซึ่งจ้างเขาเป็นผู้คุ้มกันเนื่องจากเกรงกลัวการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ
หลังสงคราม เขาได้เดินทางไปบรรยายให้กับเยาวชนในชนบท ในปี ค.ศ. 1953 เขาได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาของสมาคมปฏิรูปการเคลื่อนไหวคันโต (Ishin Undo Kanto Kyogikai) ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายขวา และในปี ค.ศ. 1954 เขาได้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้าคนแรกขององค์กรฝ่ายขวาชื่อ "โกะโกะกุดัน" (Gokoku-dan) ร่วมกับซาโกะยะ ทะเมะโอะ และโคจิมะ เก็นจิ
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1956 สมาชิกของโกะโกะกุดันถูกจับกุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในข้อหาขู่กรรโชก กักขัง และใช้ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเงินหรือเพื่อบังคับให้ผู้อื่นเข้าร่วมกลุ่ม แม้ในตอนแรกนิชโชจะปฏิเสธการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์เหล่านี้ แต่ต่อมาเขาก็รับผิดชอบและลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มโกะโกะกุดัน ซึ่งทำให้ซาโกะยะ ทะเมะโอะ รองหัวหน้าซึ่งถูกจับกุมบ่อยครั้งในข้อหาดังกล่าว ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแทน หลังจากนั้น นิชโชได้เกษียณจากการเคลื่อนไหวฝ่ายขวาและใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยความช่วยเหลือทางการเงินจากมิอุระ กิอิจิ ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกเรียกว่า "ฟิกเซอร์" ในยุคนั้น
7. ชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์ในครอบครัว
ชีวิตส่วนตัวของอิโนอุเอะ นิชโช มีรายละเอียดที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขา
7.1. ครอบครัวและการแต่งงาน
นิชโชแต่งงานกับอดีตพยาบาลและมีบุตรสาวหนึ่งคน ในช่วงที่ลูกสาวของเขายังเด็ก แม้ว่านิชโชจะทำกิจกรรมฝ่ายขวาและเรี่ยไรเงินบริจาค แต่ครอบครัวของเขาก็ยังคงยากจน มีรายงานว่านิชโชจะนำเงิน 50 เซ็นออกจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว
7.2. ชีวิตช่วงปลายและความสัมพันธ์อื่น
ต่อมานิชโชไม่ค่อยกลับมาที่บ้าน และภรรยาของเขาก็ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ แม้ว่าเธอจะป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบและสุขภาพไม่แข็งแรงก็ตาม เมื่อนิชโชได้เงิน เขาก็จะกลับมาหาครอบครัวอีกครั้ง เมื่อเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในการพิจารณาคดีชั้นต้น เขาได้บอกกับทนายความเกี่ยวกับลูกสาวของเขาว่า "พ่อเป็นพ่อผู้ตื่นรู้ ไม่ได้ทุกข์ทรมานจากความรักความผูกพันของพ่อลูก" อย่างไรก็ตาม เมื่อภรรยาพาลูกสาวมาเยี่ยม เขาได้บอกลูกสาวว่า "พ่อจะไม่ตายหรอกนะ" และ "ลูกต้องเชื่อฟังแม่ให้ดี"
หลังจากได้รับการอภัยโทษและออกจากคุกในปี ค.ศ. 1940 นิชโชไม่ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว เขาก่อตั้งองค์กรฝ่ายขวาขึ้น และหลังสงคราม เขาได้มีภรรยาน้อยที่เป็นเกอิชาจากย่านคางุระซากะ และใช้ชีวิตอยู่กับเธอในบ้านที่สร้างขึ้นในคามาคุระ โดยไม่ได้ดูแลครอบครัวเดิมของเขา ลูกสาวของเขาเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการในองค์กรฝ่ายขวาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ครอบครัวของนิชโชก็ยังคงประสบปัญหาความยากจน ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของเขามักจะเข้าข้างภรรยาน้อยของเขา มีเพียงโอนุมะ โช อดีตสมาชิกเค็ตสึเมดานเท่านั้นที่ยังคงดูแลครอบครัวเดิมของเขา
8. ผลงานการเขียน
อิโนอุเอะ นิชโช มีผลงานการเขียนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตชีวประวัติของเขาที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดและการกระทำของเขา
8.1. อัตชีวประวัติ
นิชโชได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองชื่อ "หนึ่งคนหนึ่งการลอบสังหาร - อัตชีวประวัติของอิโนอุเอะ นิชโช" (一人一殺 - 井上日召自伝) ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นิฮงชูโฮะชะในปี ค.ศ. 1953 หนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เผยให้เห็นถึงความคิด แรงจูงใจ และประสบการณ์ชีวิตของเขาในฐานะผู้นำกลุ่มหัวรุนแรงและนักชาตินิยม
9. การประเมินและคำวิจารณ์
อิโนอุเอะ นิชโช และการกระทำของเขาได้รับการประเมินและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากทั้งแวดวงศาสนาและประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองที่เน้นผลกระทบเชิงลบต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
9.1. คำวิจารณ์จากแวดวงพุทธกระแสหลัก
แม้ว่านิชโชจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเทศน์ในนิกาย Nichiren แต่แนวคิดสุดโต่งและการกระทำของเขาถูกประณามอย่างรุนแรงจากสถาบันพุทธศาสนานิกาย Nichiren กระแสหลักในเวลานั้น พุทธศาสนิกชนกระแสหลักมองว่าการตีความคำสอนของเขาบิดเบือนและขัดแย้งกับหลักธรรมพื้นฐานของพุทธศาสนาที่เน้นสันติภาพและความเมตตา การใช้ความรุนแรงและการลอบสังหารของเขาถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมและไม่สอดคล้องกับวิถีของพระพุทธศาสนา
9.2. การประเมินทางประวัติศาสตร์และข้อโต้แย้ง
ในทางประวัติศาสตร์ การกระทำและอุดมการณ์ของอิโนอุเอะ นิชโช ถูกมองว่าเป็นตัวอย่างสำคัญของชาตินิยมสุดโต่งและลัทธิฟาสซิสต์ในญี่ปุ่นยุคต้นโชวะ การตัดสินใจของเขาที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยและนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การก่อการร้ายที่เขาวางแผนและบงการ ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ แต่ยังสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวและบ่อนทำลายหลักนิติธรรมในสังคมญี่ปุ่น การกระทำของเขามักถูกยกมาเป็นกรณีศึกษาถึงอันตรายของแนวคิดหัวรุนแรงที่อ้างอิงศาสนาหรือชาตินิยมเพื่อความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง
10. ผลกระทบ
อิโนอุเอะ นิชโช มีอิทธิพลอย่างมากต่อขบวนการฝ่ายขวาจัดของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
10.1. อิทธิพลต่อขบวนการฝ่ายขวาจัดของญี่ปุ่น
แนวคิดและวิธีการของนิชโช โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการ "สังหารคนละหนึ่งชีวิต" ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มหัวรุนแรงและนักชาตินิยมฝ่ายขวาจัดในญี่ปุ่นหลายกลุ่ม การกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มฝ่ายขวาจัดจำนวนมากนำไปปรับใช้หรืออ้างอิง การที่เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุกและยังคงมีบทบาทในแวดวงฝ่ายขวาจัดหลังสงคราม แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนของเขาต่อการเคลื่อนไหวเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะเกษียณจากกิจกรรมทางการเมืองในที่สุด แต่ปรัชญาและมรดกของเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ขบวนการฝ่ายขวาจัดในญี่ปุ่น
11. การเสียชีวิต
อิโนอุเอะ นิชโช เสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1967 ด้วยอาการสมองนิ่ม (cerebral softening) หรือโรคหลอดเลือดสมอง