1. ภาพรวม
ลัมแบร์โตเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และกษัตริย์แห่งอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 ซึ่งเป็นยุคแห่งความวุ่นวายทางการเมืองในคาบสมุทรอิตาลี พระองค์ทรงปกครองร่วมกับพระบิดา กุยโดที่ 3 แห่งสโปเลโต ก่อนที่จะทรงเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียวหลังจากการสวรรคตของพระบิดาในปี ค.ศ. 894 รัชสมัยของพระองค์โดดเด่นด้วยความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับอาร์นูล์ฟแห่งคารินเทีย กษัตริย์แห่งแฟรงก์ตะวันออก และเบเรนการ์ที่ 1 แห่งอิตาลี ซึ่งต่างก็อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์อิตาลีและตำแหน่งจักรพรรดิ ความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระสันตะปาปาเป็นไปอย่างซับซ้อนและมักตึงเครียด โดยมีเหตุการณ์สำคัญคือ "การพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปา" (Cadaver Synod) อันอื้อฉาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางการเมืองของพระองค์และพระมารดา อาเกลทรูด แม้จะทรงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ลัมแบร์โตก็ทรงพยายามที่จะฟื้นฟูประเพณีการปกครองแบบคาโรลิงเจียนผ่านการออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 898 ซึ่งนำไปสู่ความโกลาหลทางการเมืองในอิตาลี
2. ชีวิตและภูมิหลัง
ลัมแบร์โตมีภูมิหลังทางครอบครัวที่เชื่อมโยงกับราชวงศ์สำคัญในยุคกลาง และช่วงต้นของชีวิตของพระองค์ถูกกำหนดโดยบทบาทในการปกครองร่วมกับพระบิดา และอิทธิพลของพระมารดาในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน
2.1. การเกิดและสายตระกูล
ลัมแบร์โตประสูติเมื่อประมาณปี ค.ศ. 880 ที่ซานรูฟีโน พระองค์เป็นโอรสของกุยโดที่ 3 แห่งสโปเลโต ดยุกแห่งสโปเลโต และอาเกลทรูด ธิดาของอาเดลคิส ดยุกแห่งเบเนเวนโต
สายตระกูลของลัมแบร์โตมีความเชื่อมโยงกับราชวงศ์คาโรลิงเจียนอย่างลึกซึ้ง โดยย่าทวดของพระองค์คืออาเดลไลด์แห่งลอมบาร์เดีย ซึ่งเป็นธิดาของปิปิโน คาร์โลมัน โอรสของชาร์เลอมาญ นอกจากนี้ โรทิลเด ภรรยาของลุงเล็กของพระองค์ ลัมแบร์โตที่ 3 แห่งน็องต์ ยังเป็นธิดาของโลทาร์ที่ 1 จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแฟรงก์กลาง ด้วยเหตุนี้ ลัมแบร์โตจึงเป็นเหลนของปิปิโน คาร์โลมัน ซึ่งทำให้พระองค์มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์ แม้จะอยู่ในลำดับที่ห่างออกไป
2.2. การปกครองช่วงต้นและผู้สำเร็จราชการแทน
ในปี ค.ศ. 889 พระบิดาของลัมแบร์โต กุยโดที่ 3 แห่งสโปเลโต ได้รับเลือกจากขุนนางอิตาลีให้เป็นกษัตริย์แห่งอิตาลีที่ปาวีอา และลัมแบร์โตก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนจักรวรรดิและราชอาณาจักรอิตาลีในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น พระบิดาของพระองค์พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะให้พระสันตะปาปาอนุมัติการสวมมงกุฎและตำแหน่งจักรพรรดิให้แก่ลัมแบร์โต แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 891 ลัมแบร์โตได้รับการประกาศให้เป็นจักรพรรดิร่วมกับพระบิดาโดยกุยโดที่ 3 ที่ปาวีอา และได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลีโดยสมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 5 อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 5 ได้สิ้นพระชนม์ และสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 892 ลัมแบร์โตและพระบิดาเดินทางไปยังราเวนนาเพื่อเรียกร้องตำแหน่งจักรพรรดิ แต่สมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสก็ยังคงปฏิเสธที่จะมอบตำแหน่งให้ แม้ว่าลัมแบร์โตและกุยโดที่ 3 จะเสนอที่จะมอบดินแดนให้แก่พระสันตะปาปาตามแบบอย่างของ "การบริจาคของปิปิน" ก็ตาม
หลังจากที่พระบิดาของลัมแบร์โต กุยโดที่ 3 เสด็จสวรรคตกะทันหันด้วยพระอาการประชวรในปลายฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 894 ลัมแบร์โตจึงกลายเป็นกษัตริย์และจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงสืบทอดตำแหน่งดยุกแห่งสโปเลโตต่อจากพระบิดาด้วย ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงอยู่ภายใต้การสำเร็จราชการของพระมารดา อาเกลทรูด ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านชาวเยอรมันอย่างแข็งกร้าว
3. กิจกรรมและรัชสมัยสำคัญ
รัชสมัยของลัมแบร์โตโดดเด่นด้วยความพยายามในการรักษาอำนาจในอิตาลีท่ามกลางการแข่งขันจากคู่แข่งภายนอกและภายใน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับพระสันตะปาปา และความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูประเพณีการปกครองแบบคาโรลิงเจียน
3.1. การสืบราชบัลลังก์อิตาลีและพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิ
ลัมแบร์โตได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 891 ที่ปาวีอา และได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิร่วมกับพระบิดาในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 892 ที่ราเวนนา โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส ซึ่งไม่เต็มใจนัก พระองค์และพระบิดาได้ลงนามในสนธิสัญญากับพระสันตะปาปาเพื่อยืนยันการบริจาคของปิปินและของขวัญจากราชวงศ์คาโรลิงเจียนที่มอบให้แก่พระสันตะปาปาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 893 สมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสได้ส่งคณะทูตไปยังเรเกินส์บวร์คเพื่อขอให้อาร์นูล์ฟแห่งคารินเทีย ปลดปล่อยอิตาลีและมายังโรมเพื่อรับการสวมมงกุฎ อาร์นูล์ฟได้ส่งซเวนติโบลด์ โอรสของพระองค์ พร้อมด้วยกองทัพจากบาวาเรียไปสมทบกับเบเรนการ์แห่งฟรีอูลี พวกเขาเอาชนะกุยโดได้ แต่ด้วยการติดสินบนและการระบาดของไข้ ทำให้ซเวนติโบลด์ต้องถอนทัพกลับไปในฤดูใบไม้ร่วง
ในต้นปี ค.ศ. 894 อาร์นูล์ฟได้นำกองทัพข้ามเทือกเขาแอลป์ด้วยพระองค์เอง พระองค์พิชิตดินแดนทั้งหมดทางเหนือของแม่น้ำโป แต่ก็ไม่ได้รุกคืบไปมากกว่านั้นก่อนที่กุยโดจะเสด็จสวรรคตกะทันหันในปลายฤดูใบไม้ร่วง ลัมแบร์โตจึงกลายเป็นกษัตริย์และจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงสืบทอดตำแหน่งดยุกแห่งสโปเลโตต่อจากพระบิดาด้วย
3.2. ความสัมพันธ์และข้อขัดแย้งกับพระสันตะปาปา
ความสัมพันธ์ของลัมแบร์โตกับพระสันตะปาปาเป็นประเด็นสำคัญในรัชสมัยของพระองค์ หลังจากที่พระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ ลัมแบร์โตและพระมารดา อาเกลทรูด ได้เดินทางไปยังโรมเพื่อขอการยืนยันตำแหน่งจักรพรรดิจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส แต่พระสันตะปาปาทรงต้องการที่จะสวมมงกุฎให้อาร์นูล์ฟแทน และได้จับกุมลัมแบร์โตและพระมารดาไปคุมขังไว้ที่ปราสาทซันตันเจโล
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 896 อาร์นูล์ฟได้เข้ายึดกรุงโรมและปลดปล่อยพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส ซึ่งได้สวมมงกุฎให้อาร์นูล์ฟเป็นกษัตริย์และจักรพรรดิ และประกาศปลดลัมแบร์โตออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสได้สิ้นพระชนม์ ทำให้ลัมแบร์โตกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ในต้นปี ค.ศ. 897 ลัมแบร์โตได้เดินทางไปยังโรมพร้อมกับอาเกลทรูดและกุยโดที่ 4 เพื่อขอการยืนยันตำแหน่งจักรพรรดิอีกครั้ง ลัมแบร์โตและอาเกลทรูดผู้ต้องการแก้แค้น ได้ชักชวนสมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 6 ซึ่งได้รับเลือกด้วยอิทธิพลของพวกเขา ให้ทำการพิจารณาคดีศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสในข้อหาอาชญากรรมต่างๆ เหตุการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ "การพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปา" ซึ่งศพของฟอร์โมซัสถูกนำออกจากหลุมศพ ถูกถอดเสื้อคลุมพระสันตะปาปาออก และถูกทำลาย ก่อนที่จะถูกโยนลงไปในแม่น้ำไทเบอร์
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 898 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 9 ได้ฟื้นฟูเกียรติของสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส แม้จะขัดต่อความต้องการของลัมแบร์โต ในเดือนกุมภาพันธ์ ลัมแบร์โตได้จัดการประชุมสภาที่ราเวนนา โดยมีบิชอป 70 รูปเข้าร่วม ซึ่งได้ยืนยันสนธิสัญญาปี ค.ศ. 891 ความไม่ถูกต้องของการสวมมงกุฎของอาร์นูล์ฟ และความถูกต้องของตำแหน่งจักรพรรดิของลัมแบร์โต พวกเขายังรับรองการเลือกตั้งของจอห์นที่ 9 และแก้ไขปัญหาของฟอร์โมซัส รวมถึงยืนยันการฟื้นฟูเกียรติของพระองค์ ที่สำคัญที่สุดสำหรับลัมแบร์โตคือ พวกเขายืนยัน "รัฐธรรมนูญโรมัน" (Constitutio Romana) ของโลทาร์ที่ 1 (ค.ศ. 824) ซึ่งกำหนดให้ต้องมีจักรพรรดิเข้าร่วมในการเลือกตั้งพระสันตะปาปา
3.3. นโยบายต่างประเทศและข้อขัดแย้งทางทหาร
รัชสมัยของลัมแบร์โตเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารกับอำนาจภายนอกและคู่แข่งภายในอิตาลี พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะขัดขวางความพยายามของทั้งอาร์นูล์ฟแห่งคารินเทียและเบเรนการ์แห่งฟรีอูลีในการยึดครองอิตาลี
ในช่วงต้นรัชสมัย อาเดลแบร์โตที่ 2 แห่งทัสกานี ได้เข้าร่วมกับลัมแบร์โตและคุกคามเบเรนการ์ในปาวีอา ในเดือนมกราคม ค.ศ. 895 ลัมแบร์โตสามารถเข้าพำนักในเมืองหลวงของราชวงศ์ได้ ในปีเดียวกันนั้น กุยโดที่ 4 ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ ได้พิชิตราชรัฐเบเนเวนโตจากไบแซนไทน์ แม้จะได้รับการสนับสนุนจากฟุลค์แห่งแร็งส์ แต่ลัมแบร์โตก็พบว่าพระองค์ถูกทอดทิ้งโดยพระสันตะปาปา ซึ่งทรงเกรงกลัวอำนาจที่เพิ่มขึ้นของราชวงศ์สโปเลโต ในเดือนกันยายน คณะทูตได้เดินทางมาถึงเรเกินส์บวร์คเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาร์นูล์ฟ
ในเดือนตุลาคม อาร์นูล์ฟได้เริ่มการรณรงค์ครั้งที่สองในอิตาลี พระองค์ข้ามเทือกเขาแอลป์อย่างรวดเร็วและยึดปาวีอาได้ แต่จากนั้นก็เคลื่อนทัพอย่างช้าๆ ในขณะที่ลัมแบร์โตปฏิเสธที่จะเข้าสู่สนามรบ อาร์นูล์ฟก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในทัสกานี แม้แต่อาเดลแบร์โตก็เข้าร่วมกับพระองค์ เมื่อพบว่าโรมถูกปิดกั้นและถูกยึดครองโดยอาเกลทรูด อาร์นูล์ฟจึงเข้ายึดเมืองด้วยกำลังในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 896 และปลดปล่อยพระสันตะปาปาได้ อาร์นูล์ฟได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์และจักรพรรดิโดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส ซึ่งได้ประกาศปลดลัมแบร์โต อาร์นูล์ฟได้เดินทัพไปยังสโปเลโต ซึ่งอาเกลทรูดได้หนีไปอยู่กับลัมแบร์โต แต่อาร์นูล์ฟก็ประสบกับโรคหลอดเลือดสมองและต้องยกเลิกการรณรงค์ ในปีเดียวกันนั้น ฟอร์โมซัสได้สิ้นพระชนม์ ทำให้ลัมแบร์โตกลับมามีอำนาจอีกครั้ง

หลังจากที่อาร์นูล์ฟกลับไปยังเยอรมนี ลัมแบร์โตและผู้สนับสนุนของพระองค์ ซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของคาบสมุทร ได้เข้าควบคุมอิตาลีได้อย่างสมบูรณ์ พระองค์ยึดปาวีอาคืนและประหารชีวิตมาจินเฟรดที่ 1 แห่งมิลาน ผู้ซึ่งเข้าร่วมกับอาร์นูล์ฟ ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน พระองค์ได้พบกับเบเรนการ์นอกปาวีอา และทั้งสองได้บรรลุข้อตกลงในการแบ่งแยกราชอาณาจักรระหว่างกัน โดยเบเรนการ์จะครอบครองอาณาจักรระหว่างแม่น้ำอัดดาและแม่น้ำโป ส่วนลัมแบร์โตจะครอบครองส่วนที่เหลือ พวกเขายังแบ่งแบร์กาโมกัน ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะเดิมในปี ค.ศ. 889 ลัมแบร์โตยังให้คำมั่นว่าจะแต่งงานกับจีเซลา ธิดาของเบเรนการ์ การแบ่งแยกนี้ทำให้ลิอุตปรันด์แห่งเครโมนา นักพงศาวดารในเวลาต่อมากล่าวว่าชาวอิตาลีมักจะทนทุกข์ทรมานภายใต้กษัตริย์สองพระองค์
3.4. การปฏิรูปกฎหมายและการบริหาร
หลังจากนั้น ลัมแบร์โตได้ปกครองร่วมกับคริสตจักรและดำเนินนโยบาย "การฟื้นฟูอาณาจักรแฟรงก์" (Renovatio regni Francorumการฟื้นฟูอาณาจักรแฟรงก์ภาษาละติน) ของพระบิดา ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอาณาจักรแฟรงก์ พระองค์สามารถออกพระราชกฤษฎีกา (capitularies) ตามแบบแฟรงก์ได้เช่นเดียวกับพระบิดา อันที่จริง พระองค์เป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายที่ทำเช่นนั้น ในปี ค.ศ. 898 พระองค์ได้ออกกฎหมายต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากบริการที่อารีมันนี (arimanni) เป็นหนี้ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ข้าราชบริพาร (vassals) "Lex Romana Utinensisกฎหมายโรมันแห่งอูตีเนภาษาละติน" ได้ถูกรวบรวมขึ้นในราชสำนักของพระองค์ การปกครองของพระองค์ได้รับการยอมรับในเบเนเวนโตหลังจากการฟื้นฟูเจ้าชายราเดลคิสที่ 2 ในปี ค.ศ. 897
3.5. การพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปา (Cadaver Synod)
การพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Cadaver Synod" เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุดในรัชสมัยของลัมแบร์โต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในต้นปี ค.ศ. 897 โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 6 เป็นประธาน ซึ่งได้รับเลือกด้วยอิทธิพลของลัมแบร์โตและพระมารดา อาเกลทรูด
ภูมิหลังของเหตุการณ์นี้คือความขัดแย้งระหว่างลัมแบร์โตและสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส ซึ่งได้สวมมงกุฎให้อาร์นูล์ฟแห่งคารินเทียเป็นจักรพรรดิและประกาศปลดลัมแบร์โตออกจากตำแหน่งจักรพรรดิ หลังจากที่ฟอร์โมซัสสิ้นพระชนม์ ลัมแบร์โตและอาเกลทรูดต้องการแก้แค้นและยืนยันความชอบธรรมในตำแหน่งของตน
ในระหว่างการพิจารณาคดี ศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสถูกนำออกจากหลุมศพ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมพระสันตะปาปา และถูกนำมานั่งบนบัลลังก์ในศาลเพื่อเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาต่างๆ เช่น การละเมิดกฎหมายศาสนจักรและการขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาอย่างผิดกฎหมาย ศพถูก "ตอบคำถาม" โดยมีผู้ช่วยคนหนึ่งตอบแทนในนามของฟอร์โมซัส
ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีคือ ฟอร์โมซัสถูกตัดสินว่ามีความผิดในทุกข้อหา ตำแหน่งพระสันตะปาปาของพระองค์ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ การแต่งตั้งนักบวชทั้งหมดที่พระองค์ได้กระทำก็ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ ศพของฟอร์โมซัสถูกถอดเสื้อคลุมพระสันตะปาปาออก นิ้วที่ใช้ในการอวยพรถูกตัดออก และศพถูกลากไปตามถนนในกรุงโรมก่อนที่จะถูกโยนลงไปในแม่น้ำไทเบอร์
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ชาวโรมันและนักบวช ทำให้เกิดการจลาจลและนำไปสู่การจับกุมและคุมขังสมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 6 ซึ่งต่อมาได้สิ้นพระชนม์ในคุก ในเดือนมกราคม ค.ศ. 898 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 9 ได้ฟื้นฟูเกียรติของสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัสและประกาศให้การพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปาเป็นโมฆะ
เหตุการณ์นี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมทางการเมืองและศีลธรรมของพระสันตะปาปาในช่วงเวลานั้น และยังคงเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มืดมนและอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร
4. แนวคิดและปรัชญาการปกครอง
ลัมแบร์โตได้สืบทอดนโยบาย "การฟื้นฟูอาณาจักรแฟรงก์" (Renovatio regni Francorumการฟื้นฟูอาณาจักรแฟรงก์ภาษาละติน) จากพระบิดาของพระองค์ ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์และโครงสร้างการปกครองของจักรวรรดิแฟรงก์ในยุคคาโรลิงเจียน พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะรักษาสิทธิอำนาจของจักรพรรดิและกษัตริย์แห่งอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบคุมกิจการของคริสตจักร
การออกพระราชกฤษฎีกา (capitularies) ตามแบบแฟรงก์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายที่ทำเช่นนั้น แสดงให้เห็นถึงความพยายามของพระองค์ในการรักษาธรรมเนียมและกฎหมายของราชวงศ์คาโรลิงเจียน นอกจากนี้ การที่พระองค์ยืนยัน "รัฐธรรมนูญโรมัน" (Constitutio Romana) ของโลทาร์ที่ 1 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีจักรพรรดิเข้าร่วมในการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อของพระองค์ในอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิเหนือพระสันตะปาปา
ในด้านการบริหาร พระองค์ได้ออกกฎหมายต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากบริการที่อารีมันนี (arimanni) ซึ่งเป็นชนชั้นอิสระที่ต้องรับใช้ขุนนาง เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ข้าราชบริพาร (vassals) และ "Lex Romana Utinensisกฎหมายโรมันแห่งอูตีเนภาษาละติน" ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่สำคัญ ก็ถูกรวบรวมขึ้นในราชสำนักของพระองค์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของลัมแบร์โตในการสร้างระเบียบและเสถียรภาพในอาณาจักรของพระองค์ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่วุ่นวายทางการเมือง
5. ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของลัมแบร์โตมีจำกัด แต่ก็พอจะทราบถึงการแต่งงานและความสัมพันธ์ที่สำคัญบางประการ
ลัมแบร์โตได้แต่งงานกับอาเดลไลด์ ซึ่งเป็นธิดาของปิปินที่ 2 แห่งซ็องลิส เคานต์แห่งแซงต์-ก็องแตงและเปรอนน์ ซึ่งปิปินที่ 2 แห่งซ็องลิสเป็นหลานชายของปิปิโน คาร์โลมัน ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เป็นการเชื่อมโยงสายเลือดกับราชวงศ์คาโรลิงเจียนอีกครั้ง
นอกจากนี้ ลัมแบร์โตยังมีน้องชายชื่อกุยโดที่ 4 แห่งสโปเลโต ซึ่งได้สืบทอดตำแหน่งดยุกแห่งสโปเลโตต่อจากพระองค์หลังการเสด็จสวรรคต
6. การถึงแก่กรรม
ในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 898 ลัมแบร์โตยังคงต้องเผชิญหน้ากับเบเรนการ์แห่งฟรีอูลี และอาเดลแบร์โตแห่งทัสกานีผู้ก่อกบฏ อาเดลแบร์โตได้เดินทัพเข้าสู่ปาวีอา จักรพรรดิซึ่งกำลังล่าสัตว์อยู่ใกล้มาเรนโก ทางใต้ของมิลาน ได้รับข่าวล่วงหน้า ลัมแบร์โตได้เข้าโจมตีและเอาชนะคู่แข่งของพระองค์ที่บอร์โกซานดอนนีโน และจับกุมอาเดลแบร์โตเป็นเชลยไปยังปาวีอา
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเดินทางกลับมายังมาเรนโก พระองค์ก็เสด็จสวรรคตในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 898 สาเหตุการเสด็จสวรรคตยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน บางทฤษฎีกล่าวว่าพระองค์ถูกลอบสังหารโดยฮิวจ์ บุตรชายของมาจินูล์ฟ ซึ่งลิอุตปรันด์ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักของเรา ยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ หรืออีกทฤษฎีหนึ่งคือพระองค์ทรงตกจากหลังม้า
พระองค์ถูกฝังอยู่ที่ปิอาเชนซา ลิอุตปรันด์กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น elegans iuvenisชายหนุ่มผู้สง่างามภาษาละติน และ vir severusชายผู้เคร่งครัดภาษาละติน บทกวีจารึกบนหลุมศพของพระองค์ (ในภาษาละตินแบบ elegiac couplet) มีดังนี้:
ตำแหน่งดยุกแห่งสโปเลโตของพระองค์ถูกสืบทอดโดยกุยโดที่ 4 ในขณะที่ราชอาณาจักรอิตาลี (regnum Italicumราชอาณาจักรอิตาลีภาษาละติน) และจักรวรรดิโรมัน (imperium Romanumจักรวรรดิโรมันภาษาละติน) ตกอยู่ในความโกลาหล มีผู้สมัครหลายคนแย่งชิงตำแหน่ง ภายในไม่กี่วัน เบเรนการ์ก็เข้ายึดปาวีอาได้
7. การประเมินและมรดกทางประวัติศาสตร์
รัชสมัยของลัมแบร์โตเป็นช่วงเวลาที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทายในประวัติศาสตร์อิตาลีและยุโรป พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจและฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์คาโรลิงเจียน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาที่รุนแรง
7.1. การประเมินเชิงบวก
ลัมแบร์โตได้รับการยกย่องในความพยายามที่จะรักษาระเบียบและกฎหมายในอาณาจักรที่วุ่นวาย พระองค์เป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายที่ออกพระราชกฤษฎีกา (capitulary) ตามธรรมเนียมของราชวงศ์คาโรลิงเจียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสืบทอดและรักษามรดกทางกฎหมายและการบริหารของจักรวรรดิแฟรงก์
การที่พระองค์ออกกฎหมายต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากบริการที่อารีมันนี (arimanni) เป็นหนี้ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ข้าราชบริพาร (vassals) และการรวบรวม "Lex Romana Utinensisกฎหมายโรมันแห่งอูตีเนภาษาละติน" ในราชสำนักของพระองค์ สะท้อนถึงความพยายามในการปฏิรูปกฎหมายและบริหารจัดการเพื่อสร้างเสถียรภาพและความยุติธรรมในสังคม
7.2. การวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียง
รัชสมัยของลัมแบร์โตถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของพระองค์ใน "Cadaver Synod" ในปี ค.ศ. 897 เหตุการณ์นี้ซึ่งพระองค์และพระมารดา อาเกลทรูด มีอิทธิพลอย่างมากในการชักจูงให้สมเด็จพระสันตะปาปาสเตฟาโนที่ 6 ดำเนินการพิจารณาคดีศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟอร์โมซัส ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนจักร การกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความโหดร้ายทางการเมืองและความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมของผู้นำในยุคนั้น และยังคงเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ของพระองค์
นอกจากนี้ การที่พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งหลายรายอย่างต่อเนื่อง เช่น อาร์นูล์ฟแห่งคารินเทีย และเบเรนการ์ที่ 1 แห่งอิตาลี รวมถึงการแบ่งแยกอำนาจในอิตาลีกับเบเรนการ์ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองและไม่สามารถรวมอำนาจได้อย่างสมบูรณ์
7.3. ผลกระทบต่อคนรุ่นหลัง
การเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันของลัมแบร์โตในปี ค.ศ. 898 ได้นำไปสู่ยุคแห่งความโกลาหลทางการเมืองในอิตาลี ราชอาณาจักรอิตาลีและตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในภาวะสุญญากาศทางอำนาจ มีผู้สมัครหลายคนแย่งชิงตำแหน่ง ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงและสงครามกลางเมืองต่อเนื่องไปอีกหลายทศวรรษ
แม้ว่าพระองค์จะทรงพยายามฟื้นฟูธรรมเนียมคาโรลิงเจียน แต่การสิ้นสุดของรัชสมัยของพระองค์ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอยของอำนาจจักรพรรดิในอิตาลี และการเพิ่มขึ้นของอำนาจของขุนนางท้องถิ่นและพระสันตะปาปาในเวลาต่อมา บทบาทของพระองค์ในการพิจารณาคดีร่างพระสันตะปาปายังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความรุนแรงทางการเมืองและศาสนาในยุคกลาง และเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับนักประวัติศาสตร์ในการทำความเข้าใจพลวัตของอำนาจในยุคนั้น