1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
อองรี ลังกลัวมีภูมิหลังที่หล่อหลอมความหลงใหลในการอนุรักษ์ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ในวัยเด็กที่เมืองอิซมีร์ ซึ่งเป็นเมืองที่เผชิญกับความขัดแย้งและการทำลายล้าง
1.1. การเกิดและวัยเด็ก
อองรี ลังกลัวเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1914 ที่เมืองอิซมีร์ (หรือที่รู้จักกันในชื่อสเมอร์นาในอดีต) ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) ในช่วงที่ลังกลัวถือกำเนิดขึ้นนั้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังดำเนินไปทั่วโลก สเมอร์นาเป็นเมืองท่ากรีกโบราณที่ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1918 หลังความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง และการลงนามในสนธิสัญญาเซเวร์ในปี ค.ศ. 1920 สเมอร์นาถูกผนวกเข้ากับกรีซ อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐตุรกีที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ได้ทำสงครามกับกรีซเพื่อยึดครองภูมิภาคอานาโตเลียที่สเมอร์นาตั้งอยู่คืนมา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1922 สเมอร์นาถูกทำลายและปล้นสะดมไปส่วนใหญ่ และประชากรชาวกรีกเกือบทั้งหมดถูกขับไล่ออกนอกประเทศหรือถูกสังหารชาวยุโรปส่วนใหญ่ก็ต้องอพยพออกจากเมืองเช่นกัน ครอบครัวของลังกลัวก็จำต้องเดินทางกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส และตั้งรกรากที่ถนนลาเฟริแยร์ ในเขต 9 ของปารีส ความปรารถนาของลังกลัวที่จะปกป้องภาพยนตร์จากการถูกลืมเลือนนั้นอาจมีรากฐานมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่บ้านเกิดของเขาถูกทำลายและปล้นสะดม
1.2. การศึกษาและการเข้าสู่วงการภาพยนตร์
ลังกลัวเข้ารับการศึกษาที่ลีเซกงดอร์เซ (Lycée Condorcet) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงในปารีส แต่ความหลงใหลในภาพยนตร์ของเขาได้นำทางไปสู่เส้นทางที่แตกต่างออกไป ในปี ค.ศ. 1933 เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ตามความประสงค์ของบิดา ลังกลัวจงใจส่งข้อสอบเปล่าในการสอบบาคาลอเรอา (Baccalauréat) เพื่อให้สอบตกและมุ่งหน้าเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์อย่างเต็มตัว เขาต้องการเพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์เท่านั้น ดังที่ลังกลัวเคยกล่าวไว้ว่า "ผมเป็นตัวปัญหาของครอบครัว ผมรักภาพยนตร์มากเกินไป"
หลังจากที่ลังกลัวสอบตก บิดาของเขาได้จัดหาตำแหน่งงานในโรงพิมพ์ให้ ซึ่งเป็นที่ที่ลังกลัวได้พบกับฌอร์ฌ ฟร็องฌู (Georges Franju) ผู้ซึ่งมีอายุมากกว่าเขา 2 ปี ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และฟร็องฌูเคยกล่าวถึงลังกลัวว่า "ผ่านเขา ผมได้เรียนรู้อย่างแท้จริงว่าภาพยนตร์เงียบคืออะไร" ทั้งสองได้ร่วมกันพยายามสร้างภาพยนตร์เรื่อง Le Métro (ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกค้นพบอีกครั้งในปี ค.ศ. 1985 และปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ซีนีมาเทค) อย่างไรก็ตาม มีเพียงฟร็องฌูเท่านั้นที่ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์
ในปี ค.ศ. 1935 อองรี ลังกลัวเริ่มเขียนบทความให้กับนิตยสารรายสัปดาห์ La Cinématographie française ซึ่งเป็นของปอล โอกุสต์ อาร์เล (Paul Auguste Harlé) ในบทความเหล่านี้ ลังกลัวแสดงความเห็นว่าการกำเนิดของภาพยนตร์เสียงจะทำให้ภาพยนตร์เงียบสูญหายไป และจึงจำเป็นต้องมีการอนุรักษ์ภาพยนตร์เงียบไว้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ลังกลัวได้พบกับฌ็อง มิตรี (Jean Mitry) นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์วัย 35 ปี ที่ชมรมภาพยนตร์สตรีแห่งหนึ่ง ลังกลัวได้เสนอแนวคิดที่จะเปลี่ยนชมรมนี้ให้กลายเป็นชมรมที่เน้นภาพยนตร์เงียบโดยเฉพาะ ซึ่งได้รับการตอบรับจากสมาชิกชมรม
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1935 ชมรมภาพยนตร์สตรีได้เปลี่ยนชื่อเป็น "แซร์เกิลดูซีนีมา" (Cercle du Cinéma) ลังกลัวกล่าวว่า "ชมรมนี้มีไว้สำหรับการฉายภาพยนตร์เท่านั้น ไม่ใช่สำหรับการอภิปรายหลังชมภาพยนตร์ การโต้เถียงไม่มีความหมาย" รายได้จากการฉายภาพยนตร์ถูกนำไปใช้ในการสร้างคอลเลกชันภาพยนตร์ชุดแรก ปอล โอกุสต์ อาร์เลได้ให้เงินสนับสนุนจำนวน 10,000 ฟรังก์ ซึ่งลังกลัวและฟร็องฌูใช้เงินนี้ซื้อฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 35 มม. จำนวน 10 ชุด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการก่อตั้งซีนีมาเทคจึงเกิดขึ้นในเดือนถัดมา ด้วยวัยเพียง 20 ปี อองรี ลังกลัวได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ และมีความรู้รอบด้านเกี่ยวกับภาพยนตร์ราวกับเป็นสารานุกรม
2. การก่อตั้งและกิจกรรมของซีนีมาเทคฝรั่งเศส
ซีนีมาเทคฝรั่งเศสเป็นผลผลิตจากความมุ่งมั่นของอองรี ลังกลัวในการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสถาบันที่เขาได้อุทิศชีวิตเพื่อก่อตั้งและบริหารจัดการ
2.1. การก่อตั้งซีนีมาเทคฝรั่งเศส
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1936 อองรี ลังกลัว, ฌอร์ฌ ฟร็องฌู และฌ็อง มิตรี ได้ร่วมกันก่อตั้งซีนีมาเทคฝรั่งเศส (Cinémathèque Françaiseซีนีมาเทคฝรั่งเศสภาษาฝรั่งเศส) อย่างเป็นทางการในปารีส โดยมีแนวคิดที่จะให้เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์และโรงฉายภาพยนตร์ สำนักงานใหญ่ของซีนีมาเทคตั้งอยู่ที่ 29 ถนนมาร์ซูล็อง เขต 12 ของปารีส ปอล โอกุสต์ อาร์เล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคนแรก ขณะที่อองรี ลังกลัวและฌอร์ฌ ฟร็องฌูทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ และมารี เมียร์ซง (Mary Meerson) ผู้ค้าภาพเขียนของจิตรกรเอก ได้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินหลัก ส่วนฌ็อง มิตรีทำหน้าที่เป็นผู้เก็บรักษาเอกสาร
ในปี ค.ศ. 1937 ซีนีมาเทคได้รับการสนับสนุนจากผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์อย่างพี่น้องลูมิแยร์, กาม็องกา, ปาเต และโกมง ซึ่งช่วยให้สามารถรวบรวมภาพยนตร์จำนวนมากได้ ในช่วงเริ่มต้นปี ค.ศ. 1936 คอลเลกชันของซีนีมาเทคมีภาพยนตร์เพียง 10 เรื่อง แต่ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60,000 เรื่องภายในปี ค.ศ. 1970 นอกจากนี้ ลังกลัวยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์หอภาพยนตร์นานาชาติ (FIAF) ในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการประสานงานความพยายามในการอนุรักษ์ภาพยนตร์ทั่วโลก
2.2. คอลเลกชันภาพยนตร์และการอนุรักษ์
นอกเหนือจากการเป็นเพียงนักเก็บรักษาภาพยนตร์ อองรี ลังกลัวได้ช่วยชีวิตภาพยนตร์จำนวนมากที่เสี่ยงต่อการสูญหาย ในยุคแรกเริ่ม ภาพยนตร์มักถูกตัดแบ่งเพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสิ่งของอื่น ๆ เช่น ยาทาเล็บ แต่ลังกลัวได้พยายามรวบรวมและซื้อฟิล์มเหล่านี้มาเก็บรักษาไว้ คอลเลกชันของซีนีมาเทคเติบโตอย่างรวดเร็ว จากภาพยนตร์เพียง 10 เรื่องในปี ค.ศ. 1936 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60,000 เรื่องในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ฟิล์มส่วนใหญ่ที่เก็บรักษาไว้เป็นชนิดฟิล์มไนเตรต ซึ่งเป็นวัสดุที่เสื่อมสภาพได้ง่ายและต้องการการดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อการเก็บรักษาในระยะยาว
ลังกลัวไม่เพียงแต่เก็บรักษาฟิล์มเท่านั้น แต่ยังทุ่มเทให้กับการฟื้นฟูและบูรณะภาพยนตร์ที่เสียหาย รวมถึงการจัดฉายภาพยนตร์เหล่านั้น นอกจากภาพยนตร์แล้ว ลังกลัวยังช่วยอนุรักษ์สิ่งของอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ เช่น กล้องถ่ายภาพยนตร์, เครื่องฉายภาพยนตร์, เครื่องแต่งกาย, ฉาก, บทภาพยนตร์, โปสเตอร์ และโปรแกรมโรงภาพยนตร์เก่าแก่ เขารวบรวมสิ่งของเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมากจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1972 ได้บริจาคสิ่งของเหล่านี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ (Musée du Cinéma) ซึ่งตั้งอยู่ในปาแลเดอชายโย (Palais de Chaillot) คอลเลกชันที่จัดแสดงครอบคลุมสิ่งประดิษฐ์และของที่ระลึกเกี่ยวกับภาพยนตร์เป็นระยะทางกว่า 3.2 km อย่างไรก็ตาม คอลเลกชันนี้ต้องถูกย้ายสถานที่เนื่องจากความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1997
ลังกลัวยังได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งซีนีมาเทคคิวบา (Cinemateca de Cuba) ในปี ค.ศ. 1950 โดยได้พบกับเอร์มัน ปุยฮ์ (Germán Puig) ช่างภาพและนักทำภาพยนตร์สมัครเล่นจากคิวบา การพบปะครั้งนี้แม้จะสั้นแต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการก่อตั้งซีนีมาเทคคิวบา เนื่องจากลังกลัวได้ให้คำมั่นว่าจะส่งฟิล์มภาพยนตร์ฝรั่งเศสไปยังชมรมภาพยนตร์ฮาวานา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของซีนีมาเทคคิวบา
2.3. กิจกรรมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ฝรั่งเศสถูกนาซีเยอรมนียึดครอง อองรี ลังกลัวและเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อปกป้องภาพยนตร์จำนวนมากที่เสี่ยงต่อการถูกทำลาย พวกเขายังคงจัดฉายภาพยนตร์ที่ซีนีมาเทคฝรั่งเศสในห้องโถงฌูลแฟร์รี (Jules Ferry Hall) ซึ่งเป็นความพยายามที่สำคัญในการรักษาศิลปะและวัฒนธรรมภาพยนตร์ท่ามกลางความขัดแย้ง
3. อิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์
อองรี ลังกลัวมีคุณูปการอย่างมหาศาลต่อวงการภาพยนตร์ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่และมีส่วนร่วมในการพัฒนากรอบคิดทางทฤษฎีภาพยนตร์
3.1. อิทธิพลต่อ French New Wave
ลังกลัวมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อผู้กำกับกลุ่มคลื่นลูกใหม่ของฝรั่งเศส (French New Waveคลื่นลูกใหม่ของฝรั่งเศสภาษาฝรั่งเศส) ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งรวมถึงฟร็องซัว ตรูว์โฟ, ฌ็อง-ลุก ก็อดดาร์ด, โคลด ชาโบรล, อาแล็ง เรอแน, ฌัก รีแว็ต และเอริก โรแมร์ ผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้หลายคนมักจะพบเห็นได้ที่แถวหน้าของการฉายภาพยนตร์ที่แน่นขนัดของซีนีมาเทค และบางคนถึงกับเรียกตัวเองว่า les enfants de la cinémathèqueเลซ็องฟ็องเดอลาซีนีมาเทคภาษาฝรั่งเศส (เด็กแห่งซีนีมาเทค) เนื่องจากพวกเขาได้ซึมซับความรู้และแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่ลังกลัวจัดฉายอย่างต่อเนื่อง ความหลงใหลในภาพยนตร์ของลังกลัวได้จุดประกายให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้สร้างสรรค์ผลงานที่แหวกแนวและท้าทายขนบเดิม ๆ ของวงการภาพยนตร์
3.2. การมีส่วนร่วมในทฤษฎีและวิจารณ์ภาพยนตร์
ลังกลัวมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีผู้สร้างสรรค์ (auteur theory) ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของผู้กำกับในฐานะผู้สร้างสรรค์หลักของภาพยนตร์ แนวคิดนี้ก่อร่างขึ้นจากการจัดฉายภาพยนตร์ของเขาที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เห็นถึงรูปแบบและวิสัยทัศน์เฉพาะตัวของผู้กำกับแต่ละคน อย่างไรก็ตาม วิธีการของลังกลัวในการบริหารจัดการซีนีมาเทคนั้นไม่เป็นไปตามแบบแผน เขาถูกกล่าวหาว่าไม่มีระบบการบันทึกข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งแตกต่างจากแนวทางทางวิทยาศาสตร์ที่เออร์เนสต์ ลินด์เกรน (Ernest Lindgren) ใช้ที่หอภาพยนตร์แห่งชาติอังกฤษ (BFI National Archive)
ในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1959 ซีนีมาเทคได้สูญเสียส่วนหนึ่งของคอลเลกชันไปในเหตุเพลิงไหม้ฟิล์มไนเตรต ซึ่งแหล่งข้อมูลยังคงขัดแย้งกันเกี่ยวกับสาเหตุและขอบเขตของความเสียหาย นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1959 ยังเกิดความขัดแย้งระหว่างสหพันธ์หอภาพยนตร์นานาชาติ (FIAF) กับซีนีมาเทคฝรั่งเศส ซึ่งลังกลัวมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง ความขัดแย้งนี้ได้รับการแก้ไขหลายปีหลังจากลังกลัวเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 1962 อองรี ลังกลัวได้ให้สัมภาษณ์กับมีแชล มาร์ดอร์ (Michel Mardore) และเอริก โรแมร์ (Éric Rohmer) ในนิตยสาร Cahiers du Cinéma (ฉบับที่ 135, กันยายน ค.ศ. 1962) ซึ่งเขาได้กล่าวถึงหัวข้อเกี่ยวกับการอนุรักษ์, การบูรณะ และปรัชญาภาพยนตร์ การตีพิมพ์บทสัมภาษณ์นี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของซีนีมาเทค
3.3. การฉายและนิทรรศการสำคัญ
ลังกลัวเป็นผู้จัดฉายและนิทรรศการภาพยนตร์สำคัญหลายครั้ง ซึ่งมีส่วนช่วยเผยแพร่ความรู้และความชื่นชมในศิลปะภาพยนตร์ในระดับโลก
ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ค.ศ. 1966 ลังกลัวได้คัดเลือกภาพยนตร์และจัดฉายใน "เทศกาลภาพยนตร์อวองต์การ์ดโลก" (World Avant-Garde Film Festival) ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยภาพยนตร์ที่ฉายส่วนใหญ่เป็นของซีนีมาเทคฝรั่งเศส ลังกลัวได้เดินทางมายังญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมเทศกาลนี้ และได้ชมภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่อง เช่น The Japanese Archipelago ของเค คุมาอิ (Kei Kumai) และ Woman of Osorezan ของเฮโนซูเกะ โกโช (Heinosuke Gosho) หลังจากการเดินทางกลับ ลังกลัวได้นำภาพยนตร์เรื่อง The Japanese Archipelago ไปฉายที่ซีนีมาเทคของเขาด้วย ภาพยนตร์ที่ฉายในเทศกาลนี้ยังรวมถึง La Jetée และ Mysterious Kumiko ของคริส มาร์เกอร์ (Chris Marker), Guernica, Night and Fog และ All the Memory of the World ของอาแล็ง เรอแน (Alain Resnais) รวมถึง Un Chien Andalou, The Seashell and the Clergyman และ The White Horse
ในปี ค.ศ. 1970 ลังกลัวได้คัดเลือกภาพยนตร์ 70 เรื่องจากคอลเลกชันของซีนีมาเทคเพื่อจัดแสดงในนิทรรศการ "ซีนีมาเทคที่พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิทัน" (Cinémathèque at the Metropolitan Museum) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน (Metropolitan Museum of Art) ในนครนิวยอร์ก นิทรรศการนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิทันและศูนย์ดนตรีและละครซิตีเซ็นเตอร์ (City Center of Music and Drama) โดยมีการฉายภาพยนตร์ 70 เรื่องที่สร้างขึ้นในช่วง 75 ปีแรกของวงการภาพยนตร์ เป็นเวลา 35 คืนติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 3 กันยายน ค.ศ. 1970 ลังกลัวคัดเลือกภาพยนตร์โดยพิจารณาจากความสำคัญและคุณูปการต่อประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ ซึ่งรวมถึงผลงานจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์หลักและผู้กำกับแนวอวองต์การ์ดทั้งในอดีตและปัจจุบัน โปรแกรมนี้ถือเป็นการจัดแสดงภาพยนตร์ที่หลากหลายที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสหรัฐอเมริกา และเป็นการริเริ่มครั้งสำคัญของพิพิธภัณฑ์ในสาขาภาพยนตร์
4. เหตุการณ์ อองรี ลังกลัว (1968)
เหตุการณ์ "อองรี ลังกลัว" ในปี ค.ศ. 1968 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศิลปะและอิทธิพลของลังกลัวในวงการภาพยนตร์
4.1. กระบวนการปลดและคืนตำแหน่ง
ในปี ค.ศ. 1968 อ็องเดร มาลโร (André Malraux) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้พยายามปลดอองรี ลังกลัวออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการซีนีมาเทคฝรั่งเศสอย่างกะทันหัน เหตุผลอย่างเป็นทางการคือการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมและการจัดเก็บฟิล์มภาพยนตร์ที่ไม่มีประสิทธิภาพของลังกลัว ซึ่งถูกมองว่ามีลักษณะเผด็จการและหยิ่งผยอง ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการของซีนีมาเทคที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐได้แต่งตั้งปิแยร์ บาร์แบง (Pierre Barbin) เข้ามาแทนที่ลังกลัว
การตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ การประท้วงและการตอบรับจากสาธารณชนและวงการภาพยนตร์ทั่วโลกเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง แม้แต่เทศกาลภาพยนตร์กานอันทรงเกียรติก็ต้องหยุดชะงักลงในปีนั้นเพื่อเป็นการประท้วง ผู้ประท้วงในปารีสรวมถึงนักกิจกรรมนักศึกษาดาเนียล คอห์น-เบนดิต (Daniel Cohn-Bendit) จากมหาวิทยาลัยน็องแตร์-ปารีส นอกจากนี้ ฟร็องซัว ตรูว์โฟ, ฌ็อง-ปิแยร์ เลโอ (Jean-Pierre Léaud), อาแล็ง เรอแน, ฌ็อง-ลุก ก็อดดาร์ด และฌ็อง มาเรส์ (Jean Marais) ได้รวมตัวกันใน "คณะกรรมการปกป้องซีนีมาเทคฝรั่งเศส" เพื่อเรียกร้องให้ลังกลัวกลับคืนสู่ตำแหน่ง การสนับสนุนยังหลั่งไหลมาจากผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก เช่น อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก, อากิระ คูโรซาวะ, เฟเดรีโก เฟลลินี, จานนี แซร์รา (Gianni Serra), ชาลส์ แชปลิน, เอริช ฟอน ชโทรไฮม์ (Erich von Stroheim), จอห์น ฟอร์ด และออร์สัน เวลส์
ในที่สุด หลังจากที่เผชิญกับการถกเถียงอย่างเข้มข้น มัลโรก็ยอมคืนตำแหน่งให้ลังกลัวในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1968 พร้อมทั้งคืนตำแหน่งให้กับพนักงานที่ถูกไล่ออกทั้งหมด แม้ว่าจะมีการลดงบประมาณสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ลงก็ตาม เหตุการณ์นี้ซึ่งรู้จักกันในชื่อ affaire Langloisอาแฟร์ ลังกลัวภาษาฝรั่งเศส (กรณีลังกลัว) ถูกมองว่าเป็นบทนำของการประท้วงครั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 ฟร็องซัว ตรูว์โฟได้อุทิศภาพยนตร์เรื่อง Stolen Kisses (ค.ศ. 1968) ของเขาให้กับลังกลัว และภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยฉากของซีนีมาเทคที่ปิดและล็อกประตู
5. ชีวิตช่วงปลายและรางวัล
หลังจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1968 อองรี ลังกลัวยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออุทิศตนให้กับวงการภาพยนตร์ และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขา
5.1. การทำงานและผลงานที่ต่อเนื่อง
หลังจากกลับคืนสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการซีนีมาเทคฝรั่งเศส อองรี ลังกลัวยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่งในการอนุรักษ์และเผยแพร่ภาพยนตร์ เขาพยายามขยายรูปแบบการทำงานของซีนีมาเทคไปยังประเทศอื่น ๆ และยังได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ที่ปาแลเดอชายโยในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงคอลเลกชันสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อันกว้างขวางของเขา
5.2. รางวัลออสการ์เกียรติยศ
ในปี ค.ศ. 1974 อองรี ลังกลัวได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศ (Academy Honorary Award) จากสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences) สำหรับ "การอุทิศตนเพื่อศิลปะภาพยนตร์ คุณูปการอันมหาศาลในการอนุรักษ์อดีตของภาพยนตร์ และความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ในอนาคตของภาพยนตร์" รางวัลนี้เป็นการยกย่องผลงานตลอดชีวิตของเขาที่ซีนีมาเทคฝรั่งเศส
6. ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับลังกลัว
ชีวิตและผลงานของอองรี ลังกลัวได้ถูกนำเสนอในภาพยนตร์สารคดีหลายเรื่อง ซึ่งสะท้อนถึงมรดกและความสำคัญของเขาต่อวงการภาพยนตร์:
- Henri Langlois (ค.ศ. 1970) เป็นภาพยนตร์สารคดีภาษาอังกฤษเกี่ยวกับผลงานชีวิตของเขา สร้างและกำกับโดยโรแบร์โต เกร์รา (Roberto Guerra) และไอลา เฮอร์ชอน (Eila Hershon) โดยมีบทสัมภาษณ์ของบุคคลสำคัญในวงการภาพยนตร์ เช่น อิงกริด เบิร์กแมน, ลิเลียน กิช, ฟร็องซัว ตรูว์โฟ, กาเตอรีน เดอเนิฟ และฌาน มอโร
- Citizen Langlois (ค.ศ. 1994) โดยเอ็ดการ์โด โกซารินสกี (Edgardo Cozarinsky) เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติเชิงเรียงความที่แสดงให้เห็นถึงการเดินทางของลังกลัวจากการเป็นนักสะสมมือสมัครเล่นไปสู่การเป็นวีรบุรุษของกลุ่มคลื่นลูกใหม่และเพื่อนของดารา
- ภาพยนตร์เรื่อง The Dreamers (ค.ศ. 2003) ของแบร์นาร์โด แบร์โตลุชชี (Bernardo Bertolucci) กล่าวถึงเหตุการณ์การปลดลังกลัว และมีฟุตเทจเหตุการณ์ในยุคนั้น
- The Phantom of the Cinémathèque (ค.ศ. 2004) เป็นภาพยนตร์สารคดีความยาวกว่า 3 ชั่วโมงครึ่งที่กำกับโดยฌัก รีชาร์ (Jacques Richard) เพื่อเป็นการยกย่องลังกลัว ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของซีนีมาเทคฝรั่งเศสตั้งแต่การก่อตั้งในปี ค.ศ. 1936 จนถึงการเสียชีวิตของลังกลัวในปี ค.ศ. 1977 และมีบทสัมภาษณ์ของเพื่อนร่วมงาน นักวิชาการ และบุคคลสำคัญในวงการภาพยนตร์ เช่น ซีโมน ซิญอเร, ฌ็อง-ลุก ก็อดดาร์ด, โคลด ชาโบรล, ฟร็องซัว ตรูว์โฟ และฌ็อง-มีแชล อาร์โนลด์
- ในปี ค.ศ. 2014 ซีนีมาเทคได้เผยแพร่ภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง Henri Langlois vu par...อองรี ลังกลัว วู ปาร์...ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีผู้สร้างภาพยนตร์ 13 คน รวมถึงอาแญส วาร์ดา, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, โรมัน โปลันสกี, มานูแอล เดอ ออลีเวย์รา, แบร์นาร์โด แบร์โตลุชชี, คิโยชิ คูโรซาวะ และวิม เวนเดอร์ส ที่มาพูดคุยเกี่ยวกับลังกลัวและความสัมพันธ์ของพวกเขากับเขา
- วิม เวนเดอร์ส (Wim Wenders) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเยอรมัน ได้อุทิศภาพยนตร์เรื่อง The American Friend (ค.ศ. 1977) ของเขาให้กับลังกลัว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้มีการยกย่องภาพยนตร์ยุคแรกเริ่มหลายครั้ง
7. การเสียชีวิตและมรดก
อองรี ลังกลัวจากไปพร้อมกับทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการอนุรักษ์และศึกษาภาพยนตร์มาจนถึงปัจจุบัน
7.1. การเสียชีวิต
อองรี ลังกลัวเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1977 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยอาการป่วย ก่อนเสียชีวิต ลังกลัวยังคงทุ่มเทความพยายามที่จะขยายรูปแบบการทำงานของซีนีมาเทคไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา
7.2. การรำลึกและมรดก
ลังกลัวถูกฝังอยู่ที่สุสานมงปาร์นาส (Cimetière du Montparnasse) ในปารีส บนป้ายหลุมศพของเขา มีภาพฉากภาพยนตร์จากยุคสมัยต่าง ๆ ถูกนำมาจัดเรียงเป็นภาพปะติด และมีข้อความที่ฌ็อง กอกโต (Jean Cocteau) ผู้ร่วมจัด "เทศกาลภาพยนตร์ต้องสาป" (cursed film festival) ได้กล่าวชื่นชมเขาไว้ว่า "มังกรผู้เฝ้าสมบัติของเรา" (Ce dragon qui veille sur nos trésorsเซอ ดรากง กี เวยล์ ซูร์ โน เตรซอร์ภาษาฝรั่งเศส) เพื่อเป็นการรำลึกถึงเกียรติของเขา ยังมีจัตุรัสแห่งหนึ่งในเขต 13 ของปารีสที่ตั้งชื่อตามเขาว่า "จัตุรัสอองรี ลังกลัว" (Place Henri Langlois)

มรดกของอองรี ลังกลัวยังคงสืบทอดมาอย่างยาวนานและมีผลกระทบอย่างยั่งยืนต่อการอนุรักษ์ภาพยนตร์ทั่วโลก เขายังคงได้รับการจดจำในฐานะผู้บุกเบิกที่มองเห็นคุณค่าของภาพยนตร์ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่ต้องได้รับการปกป้องและส่งต่อให้คนรุ่นหลัง