1. ภาพรวม
ราอูล อัลเบร์โต ลัสติริ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการของอาร์เจนตินาในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม ค.ศ. 1973 หลังจากที่เอกตอร์ กัมโปรา ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า และรองประธานาธิบดีบิเซนเต โซลาโน ลิมา ได้ลาออก การดำรงตำแหน่งของเขานับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายไปสู่ฝ่ายขวาภายในพรรคเปโรนิสต์อย่างชัดเจน โดยมีโฆเซ โลเปซ เรกา พ่อตาของเขาซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรลับพรอพากันดา ดูเอ (P2) และผู้ก่อตั้งองค์กรกึ่งทหารพันธมิตรต่อต้านคอมมิวนิสต์อาร์เจนตินา (Triple A) ขึ้นมามีอำนาจอย่างมาก นโยบายของเขารวมถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการให้เงินกู้แก่คิวบา แม้จะมีนโยบายต่างประเทศที่เน้นกลุ่มโลกที่สาม แต่ช่วงเวลาการปกครองของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่สงบทางสังคมและความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลอบสังหารบุคคลสำคัญและการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาล อาชีพทางการเมืองของเขาสิ้นสุดลงเนื่องจากความเชื่อมโยงกับโลเปซ เรกา และเขาถูกกักบริเวณในบ้านภายใต้ระบอบเผด็จการทหารก่อนจะถึงแก่อสัญกรรม
2. ชีวิตและภูมิหลัง
ราอูล อัลเบร์โต ลัสติริ มีภูมิหลังครอบครัวที่ผสมผสานระหว่างเชื้อสายสเปนและอิตาลี ซึ่งสะท้อนถึงการอพยพย้ายถิ่นฐานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของอาร์เจนตินา
2.1. ครอบครัวและภูมิหลัง
บิดาของเขาชื่อ โฆเซ มาริอา ลัสติริ (José María Lastiriภาษาสเปน) เกิดที่เมืองอัลมันโดซ (Almandozภาษาสเปน) ในแคว้นนาวาร์ ทางตอนเหนือของสเปน ส่วนมารดาของเขาชื่อ มาริอา เฟอร์รารี (María Ferrariภาษาอิตาลี) เกิดที่โรม (Romeภาษาอิตาลี) ในแคว้นลาซิโอ (Lazioภาษาอิตาลี) ตอนกลางของอิตาลี เขามีพี่น้องทั้งหมดเก้าคน
q=Almandoz, Navarre, Spain|position=left
q=Rome, Lazio, Italy|position=right
3. การทำงานทางการเมือง
ราอูล อัลเบร์โต ลัสติริ มีบทบาทสำคัญในฐานะนักการเมืองชาวอาร์เจนตินา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร และการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการในช่วงเวลาที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านอำนาจ
3.1. ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ราอูล ลัสติริ ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญในฝ่ายนิติบัญญัติ บทบาทนี้ทำให้เขามีอิทธิพลและประสบการณ์ในเวทีการเมืองระดับชาติ เขาคงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้จนถึงวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 ก่อนที่จะถูกแทนที่โดยนิกาซิโอ ซันเชซ โซรอนโด
3.2. การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการของลัสติริเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสามเดือน แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการเมืองของอาร์เจนตินา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหันเหไปสู่ฝ่ายขวาภายในพรรคเปโรนิสต์
3.2.1. เบื้องหลังและบริบททางการเมือง
ลัสติริได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 หลังจากที่ประธานาธิบดีเอกตอร์ กัมโปรา และรองประธานาธิบดีบิเซนเต โซลาโน ลิมา ได้ลาออกพร้อมกัน การดำรงตำแหน่งอันสั้นของเขานับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไปสู่การใช้นโยบายและอิทธิพลของกลุ่มฝ่ายขวาภายในพรรคเปโรนิสต์อย่างชัดเจน ในช่วงนี้เองที่โฆเซ โลเปซ เรกา พ่อตาของลัสติริ ซึ่งเป็นสมาชิกของพรอพากันดา ดูเอ (P2) และเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรกึ่งทหารพันธมิตรต่อต้านคอมมิวนิสต์อาร์เจนตินา (Triple A) ได้รับการยืนยันให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสวัสดิการสังคม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงเบื้องหลังรัฐบาล นอกจากนี้ อัลเบร์โต ฆวน บิญเญส ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทนปุย และเบนิโต ยัมบี เข้ามาแทนที่เอสเตบัน ริกิ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
3.2.2. นโยบายหลักและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลสำคัญในคณะรัฐมนตรี แต่โฆเซ เบร์ เฆลบาร์ด ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายเดิมต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการการโอนกิจการของธนาคารให้เป็นของรัฐ และประกาศ "แผนสามปี" เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายต่างประเทศของอาร์เจนตินายังคงยึดแนวทางของโลกที่สาม ตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973 อาร์เจนตินาได้ให้เงินกู้แก่คิวบาเป็นจำนวนเงิน 200.00 M USD เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักรและรถยนต์ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างพันธมิตรกับประเทศกำลังพัฒนา
3.2.3. สถานการณ์ภายในประเทศและความไม่สงบทางสังคม
ในช่วงปลายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของลัสติริ ความรุนแรงจากกลุ่มฝ่ายซ้ายต่อต้านรัฐบาลได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นคือ ในวันที่ 25 กันยายน หน่วยคอมมานโดของกลุ่มมอนโตเนรอส (Montoneros) ถูกกล่าวหาว่าได้สังหารโฆเซ อิกนาซิโอ รุชชี เลขาธิการใหญ่ของสมาพันธ์แรงงานทั่วไปแห่งสาธารณรัฐอาร์เจนตินา (CGT) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฆวน เปโรน ในเดือนเดียวกันนั้นเอง กองทัพปฏิวัติประชาชน (ERP) ได้เข้าโจมตีหน่วยแพทย์ของกองทัพที่ตั้งอยู่ในย่านปาร์เก ปาตริซิโอส (Parque Patricios) ของบัวโนสไอเรส และสังหารนายทหารไปหนึ่งนาย การกระทำนี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศให้กองทัพปฏิวัติประชาชนเป็นองค์กรผิดกฎหมายและสั่งปิดหนังสือพิมพ์ เอล มุนโด (El Mundo) ซึ่งเป็นการปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิพลเมือง
3.2.4. การถ่ายโอนอำนาจสู่ฮวน เปโรน
ภายหลังการเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ ราอูล ลัสติริได้ส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับฆวน เปโรนในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1973 การถ่ายโอนอำนาจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เปโรนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายนด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า 60% ซึ่งเป็นการคืนอำนาจให้กับผู้นำที่เคยถูกขับไล่ออกจากประเทศ
3.3. หลังพ้นตำแหน่งและช่วงปลายชีวิต
หลังจากพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ราอูล ลัสติริยังคงมีบทบาททางการเมืองอยู่บ้าง แต่ชีวิตของเขาก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาและความยากลำบากในช่วงปลาย
3.3.1. ความเกี่ยวข้องกับ Propaganda Due (P2)
ในปี ค.ศ. 1981 รายชื่อสมาชิกของพรอพากันดา ดูเอ (P2) ซึ่งเป็นสมาคมฟรีเมสันลับที่ก่อตั้งโดยลิซิโอ เฆลลิ (Licio Gelli) ได้ถูกเปิดเผย และชื่อของราอูล ลัสติริก็ปรากฏอยู่ในรายชื่อนั้นด้วย การเป็นสมาชิกขององค์กรลับนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างมากเกี่ยวกับความโปร่งใสและอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการเมืองของอาร์เจนตินาในช่วงเวลานั้น
3.3.2. จุดสิ้นสุดของอาชีพทางการเมือง
ความเชื่อมโยงของลัสติริกับโฆเซ โลเปซ เรกา ซึ่งเป็นพ่อตาของเขา ได้นำไปสู่จุดสิ้นสุดของอาชีพทางการเมืองของลัสติริเอง เมื่อโลเปซ เรกาถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางที่ผิดและทุจริตคอร์รัปชัน และต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ความสัมพันธ์นี้ทำให้ลัสติริต้องเผชิญกับข้อครหาและสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองไปในที่สุด
3.3.3. การกักบริเวณในบ้านและการถึงแก่อสัญกรรม
เมื่อระบอบเผด็จการทหารภายใต้ชื่อกระบวนการจัดระเบียบชาติ (National Reorganization Process) เข้ายึดอำนาจในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1976 ราอูล ลัสติริก็ถูกนำตัวไปกักบริเวณในบ้านเช่นเดียวกับบุคคลสำคัญทางการเมืองอื่น ๆ ในยุคนั้น เขาใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายภายใต้การควบคุมและถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1978
4. เกียรติยศและรางวัล
ราอูล อัลเบร์โต ลัสติริ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และรางวัลสำคัญจากต่างประเทศหลายชิ้นในช่วงที่เขามีบทบาททางการเมือง
4.1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิซาเบลลาแห่งคาทอลิก ชั้นมหาปรมาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตขาว ชั้นที่ 2
เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิซาเบลลาแห่งคาทอลิก (Order of Isabella the Catholicภาษาสเปน) ชั้นมหาปรมาภรณ์ (Grand Cross) จากสเปน ในปี ค.ศ. 1973
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตขาว (Řád Bílého lvaภาษาเช็ก) ชั้นที่ 2 จากเชโกสโลวาเกีย ในปี ค.ศ. 1974
5. การประเมินและข้อถกเถียง
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการของราอูล ลัสติริ และความเชื่อมโยงของเขากับบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดการประเมินทางประวัติศาสตร์และข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในอาร์เจนตินา
5.1. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง
ราอูล ลัสติริถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสมาชิกขององค์กรลับพรอพากันดา ดูเอ (P2) ซึ่งเป็นสมาคมฟรีเมสันที่มีอิทธิพลมืดและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในอิตาลีและอาร์เจนตินา นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงของเขากับโฆเซ โลเปซ เรกา พ่อตาของเขา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรต่อต้านคอมมิวนิสต์อาร์เจนตินา (Triple A) องค์กรกึ่งทหารที่รับผิดชอบต่อการก่อการร้ายของรัฐและการสังหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ได้สร้างความเสื่อมเสียอย่างมากให้กับชื่อเสียงของเขา การที่รัฐบาลของลัสติริหันเหไปสู่ฝ่ายขวาอย่างรวดเร็วภายหลังการลาออกของเอกตอร์ กัมโปรา ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกวิจารณ์ เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้กลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มขวาจัดเข้ามามีอำนาจ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความรุนแรงและการปราบปรามฝ่ายต่อต้าน
5.2. ผลกระทบทางสังคม
ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของราอูล ลัสติริ อาร์เจนตินาต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางสังคมอย่างรุนแรง การเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง การลอบสังหารบุคคลสำคัญ และการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาล เช่น การประกาศให้กองทัพปฏิวัติประชาชน (ERP) เป็นองค์กรผิดกฎหมายและการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ เอล มุนโด ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่ฝ่ายขวาภายใต้การนำของเขาและอิทธิพลของโลเปซ เรกา ได้บั่นทอนรากฐานของประชาธิปไตยในอาร์เจนตินา และปูทางไปสู่ยุคของระบอบเผด็จการทหารในเวลาต่อมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความยุติธรรมทางสังคมและเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว