1. ชีวิต
ชลธี ธารทอง มีภูมิหลังชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบาก และได้ผ่านประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายก่อนเข้าสู่วงการดนตรี
1.1. การเกิดและวัยเด็ก

ชลธี ธารทอง เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2480 มีชื่อจริงว่า สมนึก ทองมา ที่หมู่ 2 ตำบลสระสี่เหลี่ยม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ประเทศสยาม บิดาชื่อ นายผัน มารดาชื่อ นางสมเกลี้ยง ทองมา บิดามีอาชีพรับจ้างเร่ร่อนไปทั่ว มารดาของท่านเจ็บท้องคลอดขณะกำลังเกี่ยวข้าว และได้ตกเลือดเสียชีวิตลงตั้งแต่ชลธี ธารทอง มีอายุเพียง 6 เดือน ในวัยเด็ก ท่านมีชีวิตที่ยากจนมาก แม้แต่ผ้าขี้ริ้วที่จะนำมาทำผ้าอ้อมก็ยังไม่มี
1.2. การศึกษา
ชลธี ธารทอง เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดแก้วศิลาราม จังหวัดชลบุรี และเรียนต่อชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดโคกขี้หนอน จังหวัดชลบุรี ท่านสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนประชาสงเคราะห์ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
1.3. อาชีพช่วงต้นและงานหลากหลาย
หลังจากจบการศึกษา ชลธี ธารทอง ได้ย้ายมาอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดราชบุรี ท่านเคยประกอบอาชีพที่หลากหลาย ก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการเพลง ได้แก่ การทำนา, ทำไร่, ขุดดิน, เผาถ่าน, เป็นช่างไม้, ผู้รับเหมาก่อสร้าง, นักมวย, นักแสดงลิเก, นักพากย์หนัง, หางเครื่อง, กรรมกร และนักร้อง ปัจจุบันท่านมีถิ่นพำนักอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
2. อาชีพและกิจกรรมทางดนตรี
ชลธี ธารทอง มีเส้นทางอาชีพที่ยาวนานและทรงอิทธิพลในวงการเพลงลูกทุ่ง ทั้งในฐานะนักประพันธ์เพลง นักร้อง และผู้สนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่
2.1. การเข้าสู่วงการและช่วงเริ่มต้นอาชีพ
ชลธี ธารทอง มีความสนใจในการร้องเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็ก และเคยเป็นนักร้องเพลงเชียร์รำวงให้กับวงดาวทอง ซึ่งเป็นวงเชียร์รำวงชื่อดังในยุคนั้น ต่อมาท่านได้สมัครเข้าเป็นนักร้องในวงดนตรีของสุรพล สมบัติเจริญ ราชาเพลงลูกทุ่งไทย และได้รับโอกาสให้ขึ้นเวทีในวันที่มาสมัคร แต่เนื่องจากไม่มีที่พักในกรุงเทพมหานคร และต้องเดินทางไปกลับจากราชบุรี ทำให้ท่านมาเข้าวงสายติดต่อกันถึง 3 วัน จึงถูกให้ออกจากวง
หลังจากนั้น มีผู้ชักชวนให้ท่านไปร่วมงานกับคณะลิเกและทำหน้าที่พากย์หนัง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจบวช เมื่อสึกออกมาแล้ว ท่านได้มาเป็นหางเครื่องให้กับวงดนตรีของเทียนชัย สมยาประเสริฐ ซึ่งมีนักร้องชื่อดังอย่างผ่องศรี วรนุช (ภรรยาของเทียนชัย) ร่วมอยู่ด้วย แต่ชลธี ธารทอง ได้ลาออกจากวงเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าขโมยทองของนักร้องในวง ระหว่างที่รถของคณะประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ซึ่งความจริงแล้วไม่เป็นความจริง
ต่อมา ท่านได้สมัครประกวดร้องเพลงที่จัดโดยวงรวมดาวกระจายของสำเนียง ม่วงทอง โดยใช้เพลงที่ท่านแต่งขึ้นเอง ซึ่งท่านก็ชนะการประกวด และครูสำเนียงได้ชักชวนให้ท่านมาร่วมคณะ แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นร้องเพลง เนื่องจากนักร้องในวงมีจำนวนมากพอแล้ว ครูสำเนียงเป็นผู้ตั้งชื่อ "ชลธี ธารทอง" ให้แก่ท่าน เนื่องจากท่านเป็นคนเมืองชลบุรี หลังจากอยู่กับวงรวมดาวกระจายได้ประมาณปีครึ่ง ชลธี ธารทอง จึงได้รับโอกาสขึ้นร้องเพลง และต่อมาได้มีโอกาสบันทึกเสียงเพลงแรกในชีวิตคือเพลง "เรือนหอที่ไร้นาง" ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของทองหล่อ คงสุข (อาเนี๊ยว ททท.) หลังจากนั้นท่านก็ได้บันทึกเสียงอีก 3 เพลง ได้แก่ "ลาก่อนความรัก", "เรือจ้างท่าพระจันทร์" และ "แฟชั่นใหม่" ในระหว่างนั้น เมื่อมีเวลาว่าง ท่านได้ศึกษาวิชาการแต่งเพลงอย่างเป็นกิจจะลักษณะจากครูสำเนียง และได้นำความรู้ความสามารถในการเขียนโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน มาใช้ในการแต่งเพลง
ในช่วงที่อยู่กับวงรวมดาวกระจายนี้เอง ที่เพลง "พอหรือยัง" ซึ่งเป็นผลงานของชลธี ธารทอง ถูกศรคีรี ศรีประจวบนำไปร้องจนประสบความสำเร็จ แต่ในช่วงแรกไม่มีใครเชื่อว่าท่านเป็นผู้แต่งเพลงนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อท่านอกหักจากสาวร่วมวงรวมดาวกระจาย จึงได้แต่งเพลงนี้ขึ้นมาร้องเพื่อคลายความเศร้า พอดีมีนักร้องชายอีกคนในวงชอบเพลงนี้ จึงขอไปร้องบนเวที ต่อมานักร้องคนนั้นถูกให้ออกจากวงและได้ไปอยู่กับวงศรคีรี เมื่อศรคีรีได้ยินเพลงนี้จึงถามว่าใครแต่ง นักร้องคนนั้นก็อ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่ง ศรคีรีจึงขอเอามาอัดแผ่นเสียงโดยใช้ชื่อคนแต่งว่าศรคีรี เมื่อชลธี ธารทอง ออกมาทักท้วง ศรคีรีก็ได้มาอธิบายจนเป็นที่เข้าใจกันทุกฝ่าย
ท่านอยู่กับครูสำเนียงได้หลายปี พอเริ่มมีชื่อเสียงก็ถูกเชิญให้ออก ในวันหนึ่งขณะที่วงดนตรีรวมดาวกระจายเดินทางไปแสดงที่จังหวัดพิษณุโลก ครูสำเนียงได้เชิญชลธี ธารทอง, ประยงค์ ชื่นเย็น, แดน บุรีรัมย์ และรุ่งโรจน์ พัทลุง ให้ออกจากวง โดยกล่าวหาว่า "ดังแล้วแยกวง" ซึ่งไม่เป็นความจริง ท่ามกลางความงุนงงของตัวท่านและนักร้องคนอื่น ๆ ทั้งหมดจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยยังไม่ได้ขึ้นเวทีเลย ระหว่างทางครูชลธี ธารทอง ได้แต่งเพลง "ฝากใจไว้พิษณุโลก" ขึ้นมา 1 เพลง ภายหลังได้นำมาให้จีระพันธ์ วีระพงษ์ร้องบันทึกเสียง
หลังจากนั้น ก็มีนายทุนออกเงินตั้งวงดนตรีให้ชื่อวง "สุรพัฒน์" ของคุณประพล สุรพัฒน์ ซึ่งมีเพื่อนนักร้องอีก 2 คน คือ ประสบโชค มีลาภ และรุ่งระวี หนองแค อยู่ก่อนแล้ว ในวงสุรพัฒน์ ท่านและเพื่อนนักร้องได้รับเพลงของไพบูลย์ บุตรขัน ไปร้องบันทึกเสียงคนละเพลง โดยชลธี ธารทอง ได้เพลง "สาวจันทบูรณ์", แดน บุรีรัมย์ ได้เพลง "รักกันฉันเพื่อน", รุ่งระวี หนองแค ได้เพลง "หนุ่มหนองแค", รุ่งโรจน์ พัทลุง ได้เพลง "น้ำตาแกล้มเหล้า", ประสบโชค มีลาภ ได้เพลง "หลงรัก" และประยงค์ ชื่นเย็น ได้เพลง "ละครหลงบท" ทั้ง 6 คนนี้เป็นนักร้องหลักของวง
ท่านอยู่กับวงสุรพัฒน์ได้ปีกว่า ๆ ในช่วงนี้มีเพลงที่ท่านร้องเองหลายเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น "เหลือไม่เท่าเก่า", "มาลัยรักจากแฟนเพลง", "ยกให้ผู้หญิง", "ของปลอม", "ดังแหวกตลาด" เป็นต้น หลังจากออกจากวงสุรพัฒน์ ท่านก็ได้ตั้งวงดนตรีเป็นของตัวเอง โดยนำรุ่งโรจน์ พัทลุง ไปด้วย
2.2. การเป็นนักประพันธ์เพลง
ชลธี ธารทอง เป็นที่รู้จักกันในนาม "เทวดาเพลง" ซึ่งเป็นฉายาที่มอบให้โดยยิ่งยง สะเด็ดยาด คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จากผลงานการประพันธ์เพลงอันโดดเด่นของท่าน ท่านได้ประพันธ์เพลงมากกว่า 2,000 เพลง ซึ่งมีจุดเด่นในการเลือกสรรถ้อยคำในลักษณะของกวีนิพนธ์มาใช้ในการแต่งเพลง เนื้อหามีสาระส่งเสริมคุณค่าวิถีชีวิตไทย ท่วงทำนองเพลงมีความไพเราะตรึงใจผู้ฟัง และบทเพลงมีความดีเด่นในศิลปะการประพันธ์ที่ใช้ฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ ชลธี ธารทอง เป็นนักแต่งเพลงที่ประพันธ์ทั้งคำร้องและทำนองเพลงด้วยตนเอง ผลงานเพลงของท่านล้วนแต่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักฟังเพลง และได้สร้างนักร้องลูกทุ่งให้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นจำนวนมาก
2.3. การเป็นนักร้อง
แม้จะเป็นที่รู้จักในฐานะนักประพันธ์เพลงเป็นหลัก แต่ชลธี ธารทอง ก็มีบทบาทเป็นนักร้องด้วยเช่นกัน ท่านได้บันทึกเสียงเพลงแรกในชีวิตคือ "เรือนหอที่ไร้นาง" และหลังจากนั้นก็มีผลงานเพลงที่ท่านขับร้องเองหลายเพลงในช่วงที่อยู่กับวงสุรพัฒน์ เช่น "เหลือไม่เท่าเก่า", "มาลัยรักจากแฟนเพลง", "ยกให้ผู้หญิง", "ของปลอม" และ "ดังแหวกตลาด"
2.4. การสนับสนุนและสร้างศิลปินรุ่นใหม่
ชลธี ธารทอง มีบทบาทสำคัญในการค้นหาและฝึกฝนนักร้องรุ่นใหม่ให้เข้ามาประดับวงการเพลงลูกทุ่ง และสร้างชื่อเสียงโด่งดังให้กับศิลปินเหล่านั้น เมื่อครั้งที่เพลงของท่านยังขายไม่ค่อยได้เพราะคนไม่รู้จักชื่อเสียง ท่านก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ศรคีรี ศรีประจวบมาขอให้ช่วยแต่งเพลงให้ แต่หลังจากที่ท่านแต่งเพลงชุดนั้นเสร็จ ศรคีรีก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเสียก่อน ทำให้ชลธี ธารทอง ตัดสินใจหันหลังให้วงการเพลง และหอบครอบครัวไปช่วยพ่อตาแม่ยายทำไร่ข้าวโพดที่แก่งเสือเต้น
แต่ก่อนที่จะเดินทางจากกรุงเทพฯ ท่านบังเอิญไปพบกับเด็กล้างรถที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวบุคคโล ซึ่งมีเสียงร้องถูกใจ จึงได้มอบเพลง 2 เพลงที่ตั้งใจจะให้ศรคีรีกับเด็กคนนั้นไปโดยไม่คิดเงิน ซึ่งต่อมาเด็กคนนั้นก็คือสายัณห์ สัญญา ที่โด่งดังจากเพลง "ลูกสาวผู้การ" และ "แหม่มปลาร้า" ที่ท่านมอบให้ในปี พ.ศ. 2516
เมื่อสายัณห์ สัญญา โด่งดัง มนต์ เมืองเหนือ จึงเรียกตัวชลธี ธารทอง กลับกรุงเทพฯ เพื่อมาแต่งเพลง ทำให้ลูกศิษย์คนต่อมาของท่านคือ เสกศักดิ์ ภู่กันทอง โด่งดังจากเพลง "ทหารอากาศขาดรัก" หลังจากนั้นชลธี ธารทอง ก็มุ่งมั่นผลิตผลงานและสรรหานักร้องคุณภาพออกมาประดับวงการอย่างต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้สร้างนักร้องลูกทุ่งที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก อาทิ ยอดรัก สลักใจ, ก๊อต จักรพันธ์, ศรเพชร ศรสุพรรณ, สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, เสรี รุ่งสว่าง, เอกพจน์ วงศ์นาค, แอ๊ด คาราบาว, มนต์สิทธิ์ คำสร้อย, ดำรง วงศ์ทอง และ เฉลิมพล มาลาคำ เป็นต้น
2.5. การบริหารธุรกิจและวงดนตรี
ชลธี ธารทอง เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจวงดนตรีลูกทุ่ง โดยตั้งวงให้กับสุริยัน ส่องแสง แต่ปรากฏว่านักร้องนำถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน ทำให้ท่านต้องแบกรับหนี้สินจำนวนมาก
3. ลักษณะและสไตล์ทางดนตรี
เอกลักษณ์ทางดนตรีของชลธี ธารทอง อยู่ที่การประพันธ์ทั้งเนื้อร้องและทำนองเพลงด้วยตนเอง โดยเน้นการใช้ถ้อยคำที่สละสลวยในเชิงกวีนิพนธ์ บทเพลงของท่านมักมีเนื้อหาที่ส่งเสริมคุณค่าวิถีชีวิตไทย และมีท่วงทำนองที่ไพเราะตรึงใจผู้ฟัง ท่านมีความโดดเด่นในการใช้ฉันทลักษณ์หลายรูปแบบในการประพันธ์เพลง ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ และกลอน ซึ่งทำให้บทเพลงของท่านมีความลึกซึ้งและงดงามทางภาษา
4. ผลงานสำคัญ
ชลธี ธารทอง มีผลงานสำคัญมากมายในหลายด้าน ทั้งการประพันธ์เพลง การแสดงภาพยนตร์ และงานเขียน
4.1. บทเพลงที่ประพันธ์
ชลธี ธารทอง มีผลงานการประพันธ์เพลงมากกว่า 2,000 เพลง ซึ่งหลายเพลงเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยมีเพลงสำคัญที่ขับร้องโดยศิลปินต่าง ๆ ได้แก่
- "พอหรือยัง" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "จำปาลืมต้น" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ไอ้หนุ่มรถไถ" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "วานนี้รักวันนี้ลืม" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "คาถามัดใจ" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ปิดห้องร้องไห้" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "นางฟ้ายังอาย" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "พบรักปากน้ำโพ" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "คำสั่งเตรียมพร้อม" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "คนซื่อที่ไร้ความหมาย" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ทหารอากาศขาดรัก" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ฝากใจไว้ที่เดือน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "นักเพลงคนจน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "แหม่มปลาร้า" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ยินดีรับเดน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "รักทรมาน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "น้ำตาอีสาน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ลูกสาวผู้การ" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "กินอะไรถึงสวย" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ของขวัญจากแฟน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ล่องเรือหารัก" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ไอ้หนุ่มตังเก" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ของขวัญให้แฟน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "ของขวัญคนจน" (ขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา)
- "เทพธิดาผ้าซิ่น" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "จดหมายจากแม่" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "หนุ่มทุ่งกระโจมทอง" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "ร้องเพลงเพื่อแม่" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "คนกล่อมโลก" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "กอดแก้จน" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "ยินดีรับเดน" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "รักอันตราย" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "ไอ้หนุ่มรถซุง" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "เรียกพี่ได้ไหม" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "ปิ๊กบ้านเฮาเต๊อะ" (ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง)
- "จดหมายจากแนวหน้า" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "สาวผักไห่" (ขับร้องโดย ศรเพชร ศรสุพรรณ)
- "ล่องเรือหารัก" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "ห่มธงนอนตาย" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "เงินใช่ไหม" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "คนบ้านนอก" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "สวรรค์บ้านทุ่ง" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "เลือดสีเดียวกัน" (ขับร้องโดย ยอดรัก สลักใจ)
- "หน้าอย่างเธอจะรักใครจริง" (ขับร้องโดย สดใส รุ่งโพธิ์ทอง)
- "ไอ้ทองร้องไห้" (ขับร้องโดย ศรเพชร ศรสุพรรณ)
- "ไม่รักอย่ามอง" (ขับร้องโดย ศรเพชร ศรสุพรรณ)
- "คนจนอย่างพี่" (ขับร้องโดย ศรเพชร ศรสุพรรณ)
- "วันนี้สวยกว่าเมื่อวาน" (ขับร้องโดย ก๊อต จักรพันธ์)
- "เมตตาธรรม" (เพลงการกุศล สมทบกองทุนเพื่อเด็กไทย)
- "ยังรักเสมอ" (ขับร้องโดย ดำรง วงศ์ทอง)
- "เดือนครึ่งดวง" (ขับร้องโดย ดำรง วงศ์ทอง)
- "ผู้หญิงคนสุดท้าย" (ขับร้องโดย ดำรง วงศ์ทอง)
- "ทหารก็มีหัวใจ" (ขับร้องโดย ดำรง วงศ์ทอง)
- "เรารอเขาลืม" (ขับร้องโดย เอกพจน์ วงศ์นาค)
- "ไอ้หนุ่ม ต.ช.ด." (ขับร้องโดย เอกพจน์ วงศ์นาค)
- "แอบฝัน" (ขับร้องโดย เอกพจน์ วงศ์นาค)
- "เชื่อผมเถอะน่า" (ขับร้องโดย เอกพจน์ วงศ์นาค)
- "สาวโรงงานคนสวย" (ขับร้องโดย เอกพจน์ วงศ์นาค)
- "ห่มฝางต่างผ้า" (ขับร้องโดย มนต์สิทธิ์ คำสร้อย)
- "ไม่รักแต่คิดถึง" (ขับร้องโดย มนต์สิทธิ์ คำสร้อย)
- "เทวดาเพลง" (ขับร้องโดย แอ๊ด คาราบาว)
- "กระโถนใบใหม่" (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)
- "พบรักวันเข้าพรรษา" (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)
- "บุญหล่นทับ" (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)
- "งูสี่ตีน" (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)
- "หนุ่มเมืองเพชร" (ขับร้องโดย วันชนะ เกิดดี)
- "เสียใจทำไม" (ขับร้องโดย วันชนะ เกิดดี)
- "แม่ค้าจ๋าอย่าหน้างอ" (ขับร้องโดย วันชนะ เกิดดี)
- "หนุ่มนาหาแฟน" (ขับร้องโดย วันชนะ เกิดดี)
- "โรคแพ้ความสวย" (ขับร้องโดย วันชนะ เกิดดี)
- "คืนลาอาลัย" (ขับร้องโดย สนธิ สมมาตร)
- "แยกทางกันเดิน" (ขับร้องโดย นคร มีโชคชัย)
- "หนุ่มเพชรบูรณ์ยังคอย" (ขับร้องโดย นคร มีโชคชัย)
- "รักสาวโรงงาน" (ขับร้องโดย นคร มีโชคชัย)
- "พอได้" (ขับร้องโดย นคร มีโชคชัย)
- "บักหำถูกหวย" (ขับร้องโดย นคร มีโชคชัย)
- "ศิลปิน" (ขับร้องโดย บันเทิง ธารทอง)
- "ราชาแห่งราชัน" (เพลงถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร)
- "ฟ้าร้องไห้" (เพลงถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร)
4.2. ผลงานการแสดงภาพยนตร์
ชลธี ธารทอง ได้มีส่วนร่วมในการแสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง ได้แก่
- เพลงรักลูกทุ่ง (พ.ศ. 2515)
- มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. (พ.ศ. 2545) รับบทเป็นกรรมการงานประกวด
- รวมพลคนลูกทุ่งเงินล้าน (พ.ศ. 2556) รับบทเป็น ชลธี (รับเชิญ)
4.3. หนังสือที่เขียน
ชลธี ธารทอง เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ชลธี ธารทอง เทวดาเพลง ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2547
4.4. คอนเสิร์ต
ชลธี ธารทอง ได้จัดคอนเสิร์ตสำคัญเพื่อเฉลิมฉลองเส้นทางดนตรีของท่าน ได้แก่
- คอนเสิร์ต 78 ปี ตำนานแห่งสายน้ำ ครูชลธี ธารทอง จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
- คอนเสิร์ต 80 ปี ตำนานแห่งสายน้ำ ครูชลธี ธารทอง จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
5. รางวัลและเกียรติยศ
ชลธี ธารทอง ได้รับเกียรติคุณและรางวัลมากมายตลอดชีวิตการทำงานในวงการดนตรี เพื่อเป็นการยกย่องในความสามารถและผลงานอันเป็นที่ประจักษ์
5.1. การเป็นศิลปินแห่งชาติ
ชลธี ธารทอง ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม (ปัจจุบันคือกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม) ให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักประพันธ์เพลงลูกทุ่ง) ประจำปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการเชิดชูเกียรติสูงสุดที่มอบให้แก่ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและวงการศิลปวัฒนธรรมของชาติ
5.2. รางวัลสำคัญอื่นๆ
นอกจากตำแหน่งศิลปินแห่งชาติแล้ว ชลธี ธารทอง ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่
- แผ่นเสียงทองคำพระราชทาน 1 รางวัล จากเพลง "อีสาวทรานซิสเตอร์" ในปี พ.ศ. 2525
- รางวัลเสาอากาศทองคำ 3 รางวัล จากเพลง "น้ำตาอีสาน" ในปี พ.ศ. 2518, "ใต้ถุนธรณี" ในปี พ.ศ. 2521 และ "ห่มธงนอนตาย" ในปี พ.ศ. 2519
- รางวัลงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยภาค 1-2 รวมจำนวน 7 รางวัล จากเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก", "ไม้เรียวครู", "สาวใต้ไร้คู่" และ "อีสาวทรานซิสเตอร์" ในปี พ.ศ. 2532 และจากเพลง "ล้นเกล้าเผ่าไทย", "เทพธิดาผ้าซิ่น" และ "แรงงานข้าวเหนียว" ในปี พ.ศ. 2534
- รางวัลชนะเลิศเพลงประเพณีสงกรานต์ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1 รางวัล ในปี พ.ศ. 2533
- รางวัลลูกทุ่งดีเด่นส่งเสริมวัฒนธรรมไทย 3 รางวัล จากเพลง "หนาวใจชายแดน", "พบรักนครพนม" และ "จงทำดี"
- โล่เกียรติคุณงานมหกรรมเพลงอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียจากเพลง "อีสาวทรานซิสเตอร์" ในปี พ.ศ. 2524
- ได้รับเกียรติให้นำผลงานเพลง "ล้นเกล้าเผ่าไทย" แสดงในงาน 60 ปี เล่าขานตำนานลูกทุ่งไทย
นอกจากนี้ ชลธี ธารทอง ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
6. ชีวิตส่วนตัว
ชลธี ธารทอง มีบุตร 2 คน ที่เกิดกับภรรยาคนแรก คือ นายเอกรินทร์ ทองมา (หนุ่ม) และนางสาวชลาลัย ทองมา (แนน) ส่วนภรรยาคนที่ 2 คือ นางศศิวิมล ทองมา (ครูปุ้ม) ซึ่งมีอายุห่างจากท่านถึง 28 ปี
7. การเสียชีวิต
ชลธี ธารทอง เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.57 น. ด้วยวัย 85 ปี หลังจากเข้ารับการรักษาตัวจากอาการติดเชื้อในกระแสเลือดที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร
ในการถึงแก่อนิจกรรมของท่าน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ์ พระบรมราชินี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พระราชทานหีบลายก้านแย่ง และพระราชทานพวงมาลาวางที่หน้าหีบศพด้วย พร้อมกันนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพวงมาลาส่วนพระองค์วางที่หน้าหีบศพด้วย และเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2567 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีศิลปินนักร้องผู้ที่ใกล้ชิดกับชลธี ธารทอง ตลอดจนประชาชนจำนวนมากมาร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้
8. การประเมินและมรดก
ชลธี ธารทอง ได้รับการยกย่องในฐานะนักประพันธ์เพลงลูกทุ่งผู้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าและเป็นอมตะไว้มากมายให้กับวงการเพลงไทย มรดกทางดนตรีของท่านสะท้อนผ่านบทเพลงกว่า 2,000 เพลงที่ยังคงเป็นที่นิยมและถูกขับร้องมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงบทบาทสำคัญในการเป็นผู้บุกเบิกและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินลูกทุ่งรุ่นใหม่ ๆ อีกหลายคน การที่ท่านได้รับฉายาว่า "เทวดาเพลง" และได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อศิลปะและวัฒนธรรมของชาติไทย บทเพลงของท่านไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังคงเป็นสื่อที่สะท้อนและส่งเสริมวิถีชีวิตและค่านิยมแบบไทย ๆ ให้คงอยู่ต่อไป