1. ภาพรวม

แซมูเอล เบิร์ล คินิสัน (Samuel Burl Kinisonแซมูเอล เบิร์ล คินิสันภาษาอังกฤษ; 8 ธันวาคม ค.ศ. 1953 - 10 เมษายน ค.ศ. 1992) เป็นนักแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนและนักแสดงชาวอเมริกัน อดีตนักเทศน์นิกายเพนเทคอสต์ เขาเป็นที่รู้จักจากสไตล์การแสดงตลกที่ดุดัน เต็มไปด้วยการตะโกนและคำพูดที่รุนแรง คล้ายกับนักเทศน์ผู้มีคาริสมา โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่สร้างความโดดเด่นอย่างมากในทุกการแสดง คินิสันเริ่มต้นอาชีพด้วยการแสดงฟรี และต่อมาได้กลายเป็นนักแสดงประจำที่ เดอะคอมเมดีสโตร์ ซึ่งเขาได้พบและเป็นเพื่อนกับนักแสดงตลกชื่อดังอย่าง โรบิน วิลเลียมส์ และ จิม แคร์รี
สไตล์การแสดงตลกของคินิสันเป็นการเสียดสีสังคมอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงและการออกเดท ความนิยมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาได้ไปปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์สำคัญๆ เช่น เดอะทูไนต์โชว์สเตร์ริงจอห์นนีคาร์สัน, เลตนิตวิทเดวิดเลทเทอร์แมน และ แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวงการดนตรีร็อก โดยเฉพาะวงการแอลเอเมทัลในยุคทศวรรษ 1980 และได้ร่วมงานกับนักดนตรีชื่อดังหลายคน ในช่วงจุดสูงสุดของอาชีพเมื่อต้นปี ค.ศ. 1992 คินิสันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยวัย 38 ปี
คินิสันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีในปี ค.ศ. 1988 จากเพลง "ไวลด์ทิง" ซึ่งมาจากอัลบั้ม แฮฟยูซีนมีเลทลี? ของเขา และได้รับรางวัลหลังมรณกรรมในปี ค.ศ. 1994 สาขาอัลบั้มตลกพูดดีเด่น จากอัลบั้ม ไลฟ์ฟรอมเฮลล์
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
แซมูเอล เบิร์ล คินิสัน มีชีวิตวัยเด็กที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลทางศาสนาที่หล่อหลอมบุคลิกและสไตล์การแสดงตลกอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
2.1. วัยเด็กและการศึกษา
แซมูเอล เบิร์ล คินิสัน เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1953 ที่ยาคิมา รัฐวอชิงตัน เป็นบุตรชายของมารี ฟลอเรนซ์ (นามสกุลเดิม มอร์โรว์) และแซมูเอล เอิร์ล คินิสัน ซึ่งเป็นนักเทศน์นิกายเพนเทคอสต์ เมื่อคินิสันอายุได้สามเดือน ครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่อีสต์พีโอเรีย รัฐอิลลินอยส์
เมื่ออายุสามขวบ คินิสันประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกชน ซึ่งส่งผลให้เขาได้รับความเสียหายทางสมองและเป็นโรคลมชัก บิดาของเขาเป็นศิษยาภิบาลในหลายโบสถ์ทั่วประเทศ ทำให้มีรายได้น้อย คินิสันมีพี่ชายสองคนคือ ริชาร์ดและบิล และน้องชายหนึ่งคนคือ เควิน เมื่อคินิสันอายุ 11 ปี บิดามารดาของเขาก็หย่าร้างกัน หลังจากนั้นพี่ชายของเขา บิล ได้ไปอยู่กับบิดา ในขณะที่คินิสันยังคงอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ แม้ว่าเขาจะคัดค้านก็ตาม บิลกล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็นรากฐานของความโกรธแค้นส่วนใหญ่ของแซมในภายหลัง คินิสันเข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมอีสต์พีโอเรียคอมมูนิตีในอีสต์พีโอเรีย
2.2. ภูมิหลังทางศาสนา
คินิสันและพี่ชายของเขาได้เจริญรอยตามบิดาด้วยการเป็นนักเทศน์นิกายเพนเทคอสต์ ระหว่างปี ค.ศ. 1968 ถึง ค.ศ. 1969 คินิสันได้เข้าศึกษาที่ศูนย์ฝึกอบรมพระคัมภีร์ไพน์เครสต์ (Pinecrest Bible Training Center) ซึ่งเป็นโรงเรียนพระคัมภีร์ที่ไม่ได้รับการรับรองในซอลส์บิวรีเซ็นเตอร์ รัฐนิวยอร์ก เป็นเวลาสามปี มารดาของเขาได้แต่งงานกับนักเทศน์อีกคนและย้ายไปอยู่ที่ทัลซา รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งคินิสันได้อาศัยอยู่พักหนึ่ง
เขาเทศนาตั้งแต่อายุ 17 ถึง 24 ปี และจากการบันทึกคำเทศนาของเขาเผยให้เห็นว่าเขาใช้สไตล์ "ไฟและกำมะถัน" (fire and brimstone) ซึ่งเป็นการเทศนาที่ดุดันและเร่าร้อน โดยมีเสียงตะโกนแทรกอยู่คล้ายกับที่เขาจะใช้ในการแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนในภายหลัง อย่างไรก็ตาม บิล พี่ชายของเขาตั้งข้อสังเกตว่า "น่าแปลกที่เขาไม่มีบุคลิกบนเวทีเลย" และเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาเงินจากการเทศนามากนัก เนื่องจากเขาสนใจที่จะทำให้คำเทศนาให้ข้อมูลมากกว่าที่จะสร้างความบันเทิง หลังจากคินิสันและภรรยาคนแรกของเขาหย่าร้างกัน เขาก็เลิกอาชีพนักเทศน์และหันมาเอาดีด้านการแสดงตลกแทน
เขาได้นำประสบการณ์จากการเป็นนักเทศน์มาปรับใช้ในสไตล์การแสดงตลกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เสียงตะโกนและท่าทางที่เร่าร้อนเหมือนนักเทศน์ผู้มีคาริสมา ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างมาก ป้ายทะเบียนรถเชฟโรเลต คอร์เวทท์ปี ค.ศ. 1986 ของเขายังมีคำว่า "EX REV" ซึ่งย่อมาจาก "อดีตนักบวช" (Ex-Reverend) เป็นการสะท้อนถึงภูมิหลังทางศาสนาของเขา
3. อาชีพ
อาชีพของแซม คินิสันโดดเด่นด้วยสไตล์การแสดงตลกที่แหวกแนวและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมดนตรีร็อกในยุคสมัยของเขา
3.1. กิจกรรมช่วงต้นและอิทธิพล
คินิสันเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตลกในฮิวสตัน รัฐเท็กซัส โดยแสดงในคลับเล็กๆ เขาได้เป็นสมาชิกของกลุ่มนักแสดงตลกที่คอมเมดีเวิร์กช็อป ซึ่งรู้จักกันในชื่อ เท็กซัสเอาต์ลอว์คอมิกส์ (Texas Outlaw Comics) ซึ่งรวมถึงนักแสดงตลกอย่าง บิล ฮิกส์, รอน ช็อก, ไรลีย์ บาร์เบอร์, สตีฟ เอปสไตน์, แอนดี ฮักกินส์, จอห์น ฟาร์เนตี และจิมมี พายน์แอปเปิล บิล ฮิกส์ ยกย่องคินิสันว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อสไตล์การแสดงตลกของเขา โดยกล่าวว่า "เขาเป็นคนแรกที่ผมเคยเห็นขึ้นเวทีและไม่พยายามทำให้ผู้ชมชอบเขาเลย"
ในปี ค.ศ. 1980 คินิสันย้ายไปลอสแอนเจลิส โดยหวังว่าจะได้งานที่ เดอะคอมเมดีสโตร์ แต่ในตอนแรกเขาได้ทำงานเป็นพนักงานเปิดประตู เขาเริ่มติดโคเคนและแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว และพัฒนาไปสู่การใช้โคเคนฟรีเบส เขาต้องดิ้นรนเพื่อสร้างรากฐานในวงการนี้ จนกระทั่งบิล พี่ชายของเขาย้ายมาลอสแอนเจลิสเพื่อช่วยจัดการอาชีพของเขา
3.2. การสร้างชื่อเสียง
จุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของคินิสันมาถึงในรายการพิเศษของเอชบีโอที่ชื่อว่า Rodney Dangerfield's Ninth Annual Young Comedians Special ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1985 หลังจากชมการแสดงของบ็อบ เนลสัน นักวิจารณ์ สตีเฟน โฮลเดน จาก เดอะนิวยอร์กไทมส์ ได้เขียนว่า "นักแสดงตลกที่น่าสนใจที่สุดในบรรดานักแสดงตลกอีกแปดคนคือ แซม คินิสัน ผู้ตลกขบขันอย่างดุเดือด คุณคินิสันเชี่ยวชาญในการส่งเสียงหอนแบบสัตว์ที่ประหลาด ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องดั้งเดิมของชายที่แต่งงานแล้ว" คินิสันต่อมาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ของร็อดนีย์ เดนเจอร์ฟิลด์ เรื่อง แบ็กทูสกูล ในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเขาสามารถแสดงฉากที่ทรงพลังด้วยเสียงตะโกนอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้ชมวัยรุ่นในเวลานั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และฉากที่เขาแสดงก็ยังคงถูกกล่าวขานว่าเป็นฉากตลกในตำนาน
ในการปรากฏตัวทางโทรทัศน์ครั้งแรกของคินิสันในรายการ เลตนิตวิทเดวิดเลทเทอร์แมน ในปี ค.ศ. 1985 เดวิด เลทเทอร์แมนได้แนะนำคินิสันโดยเตือนผู้ชมของเขาว่า "เตรียมตัวให้พร้อม ผมไม่ได้ล้อเล่น ขอต้อนรับแซม คินิสัน" คินิสันนำบทบาทเดิมของเขาในฐานะนักเทศน์ผู้เผยแพร่พระคัมภีร์มาใช้ โดยนำเสนอการเสียดสีและดูหมิ่นพระคัมภีร์, ศาสนาคริสต์ และเรื่องอื้อฉาวของนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น มุกตลกที่กล้าหาญของคินิสันช่วยให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก
3.3. สไตล์การแสดงตลกและหัวข้อ
สไตล์การแสดงตลกของแซม คินิสันเป็นที่จดจำด้วยการใช้เสียงตะโกนที่รุนแรงและฉับพลัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา คล้ายกับนักเทศน์ผู้มีคาริสมาที่มักจะใช้เสียงดังเพื่อสร้างความเร้าใจในการเทศนา เขาจะใช้คำพูดที่ดุดันและก้าวร้าว และมักจะจบประโยคด้วยเสียงกรีดร้องอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดังและยาวนาน ซึ่งกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา
หัวข้อที่คินิสันนำเสนอในการแสดงตลกมักจะเป็นเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวและการสังเกตสังคมอย่างตรงไปตรงมาและหยาบคาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงและการออกเดท เขามักจะนำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวของตนเองมาเป็นมุกตลก นอกจากนี้ เขายังเสียดสีศาสนาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะพระคัมภีร์, ศาสนาคริสต์ และเรื่องอื้อฉาวของนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ชื่อดังในยุคนั้น เช่น กรณีของจิม แบกเกอร์ ผู้จัดรายการโทรทัศน์ศาสนาชื่อดังที่ถูกจับกุมในข้อหาซื้อบริการทางเพศ ซึ่งหนึ่งในหญิงที่เกี่ยวข้องเคยเป็นอดีตแฟนสาวของคินิสันเอง เขาจึงนำเหตุการณ์นี้มาสร้างเป็นมุกตลกที่เต็มไปด้วยการเสียดสีและมุมมองทางศาสนาของเขาเอง ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างมากในฐานะการต่อต้านสังคมที่รุนแรง
การแสดงตลกของคินิสันมักถูกกล่าวหาว่ามีเนื้อหาที่แสดงถึงการเกลียดผู้หญิงและการเกลียดกลัวคนรักร่วมเพศ ซึ่งก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น กลุ่มเกย์เนชันในลินคอล์น รัฐเนแบรสกา ได้จัดการประท้วงหน้าการแสดงของคินิสันในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 โดยตะโกนว่า "ต่อต้านผู้หญิง ต่อต้านเกย์ แซม คินิสันไปให้พ้น!" อัลบั้ม แฮฟยูซีนมีเลทลี? ของเขาถึงกับต้องมีสติกเกอร์คำเตือนระบุว่า "เนื้อหาในอัลบั้มนี้ไม่ได้สะท้อนมุมมองหรือความคิดเห็นของวอร์เนอร์บราเธอร์สเรคคอร์ดส" พนักงานของวอร์เนอร์บราเธอร์สถึงกับขอให้ผู้บริหารไม่วางจำหน่ายอัลบั้มนี้เนื่องจากเนื้อหาที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในอัลบั้มแรกของคินิสัน
3.4. ความเชื่อมโยงกับวงการเพลง
คินิสันมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับวงการดนตรีร็อกในลอสแอนเจลิส และมักจะออกทัวร์พร้อมกับวงดนตรีประกอบเป็นครั้งคราว เขาสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับวงการแอลเอเมทัลตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 และมีเพื่อนร่วมงานมากมาย ด้วยความสามารถในการร้องเพลงที่โดดเด่นและเสียงกรีดร้องที่ทรงพลังไม่แพ้นักดนตรีมืออาชีพ เขาจึงได้ก่อตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมา โดยมีสมาชิกที่หมุนเวียนกันไป เช่น ชัก ไรต์ อดีตสมาชิกวงไควเอ็ตไรออต ซึ่งเป็นสมาชิกประจำ
คินิสันมักจะจัดแสดงคอนเสิร์ตลับๆ ในไลฟ์เฮาส์รอบๆ ลอสแอนเจลิส โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงหลังเวลาปิดทำการ และจะแจ้งให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าได้มีการปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ในรูปแบบที่น่าประหลาดใจ
ในปี ค.ศ. 1988 คินิสันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีจากเพลง "ไวลด์ทิง" ซึ่งเป็นเพลงคัฟเวอร์จากอัลบั้ม แฮฟยูซีนมีเลทลี? ของเขา เพลงนี้เป็นความสำเร็จที่ไม่คาดคิด และมีนักดนตรีแนวแอลเอเมทัลชั้นนำในยุคนั้น เช่น แรตต์, มอตลีย์ครู, ด็อกเคน, ไควเอ็ตไรออต มาร่วมบันทึกเสียงและปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอ นอกจากนี้ยังมีศิลปินจากแนวเพลงอื่นๆ เช่น บิลลี ไอดอล และนักดนตรีชาวญี่ปุ่นอย่าง ซาโตะ ฟูจิโมโตะ มาร่วมงานด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความนิยมและอิทธิพลที่คินิสันมีต่อวงการดนตรี
ฮาวเวิร์ด สเติร์น ได้ซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จากชีวประวัติของคินิสันที่เขียนโดยบิล คินิสัน พี่ชายของเขา โดยในปี ค.ศ. 2008 มีรายงานว่า เอชบีโอ จะสร้างภาพยนตร์เรื่อง Brother Sam โดยมีแดน ฟอกเลอร์ รับบทเป็นคินิสัน ในการสัมภาษณ์กับบิล คินิสัน พี่ชายและผู้จัดการของแซม บิลได้กล่าวถึงข้อตกลงภาพยนตร์ที่กำลังพัฒนาอยู่ในช่วงที่แซมเสียชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์กับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และอีกเรื่องกับริก มอรานิส
4. ชีวิตส่วนตัว
ชีวิตส่วนตัวของแซม คินิสันเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน โศกนาฏกรรมในครอบครัว และประเด็นทางกฎหมายที่สร้างข้อถกเถียง
4.1. การแต่งงานและความสัมพันธ์
คินิสันมักนำเรื่องราวจากชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะการแต่งงานสองครั้งแรกของเขา มาเป็นเนื้อหาในการแสดงตลก เขาแต่งงานกับแพทริเซีย แอดคินส์ (Patricia Adkins) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ถึง ค.ศ. 1980 และกับเทอร์รี มาร์ซี (Terry Marze) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ถึง ค.ศ. 1989
ในช่วงปลายของการแต่งงานกับมาร์ซี เขาเริ่มต้นความสัมพันธ์กับนักเต้นสาวชาวฝรั่งเศสชื่อมาลิกา โซอูริ (Malika Souiri) แม้ว่าเขาจะมักปรากฏตัวตามบาร์และร้านอาหารชื่อดังในแอลเออย่างเรนโบว์กริลล์แอนด์บาร์ พร้อมกับนักแสดงภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่หลายคน แต่สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ของเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อย่างมากและไม่ได้มีพฤติกรรมสำส่อนกับผู้หญิง นอกจากนี้ เขายังมีนิสัยขี้เหงา ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับนักดนตรี เพราะเขาไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียว
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1992 หกวันก่อนที่เขาจะเสียชีวิต คินิสันได้แต่งงานกับโซอูริที่โบสถ์แคนเดิลไลต์ชาเปลในลาสเวกัส
4.2. โศกนาฏกรรมในครอบครัวและประเด็นทางกฎหมาย
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988 เควิน คินิสัน น้องชายคนสุดท้องของเขาได้ยิงตัวตายด้วยวัย 28 ปี ซึ่งสร้างความเสียใจอย่างมากให้กับแซม
ในปี ค.ศ. 1990 มาลิกา โซอูริ ได้กล่าวหาว่าเธอถูกข่มขืนโดยชายคนหนึ่งที่คินิสันจ้างมาเป็นบอดี้การ์ด ในขณะที่คินิสันกำลังหลับอยู่ในบ้าน บอดี้การ์ดคนดังกล่าวให้การว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นไปโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย คณะลูกขุนไม่สามารถตัดสินคดีได้ในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา และข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงถูกยกเลิกในภายหลัง เหตุการณ์นี้เป็นแรงบันดาลใจให้คินิสันพยายามที่จะกลับตัวกลับใจและเข้าร่วมกลุ่มแอลกอฮอลิกส์อะนอเนมัส (Alcoholics Anonymous) โดยในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1990 เขากล่าวกับผู้ชมว่าเขาไม่ได้ใช้ยาเสพติดอีกต่อไป
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 คินิสันมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสแลช มือกีตาร์วงกันส์แอนด์โรสเซส ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง หลังจากที่สแลชพลาดการปรากฏตัวตามแผนที่วางไว้ในงานแสดงของคินิสัน สแลชกล่าวว่าคินิสันเกือบจะ "บีบคอเขาจนตาย" ก่อนที่ดัฟฟ์ แม็กเคแกน เพื่อนร่วมวงของสแลชจะเข้ามาห้าม สแลชและแม็กเคแกนปฏิเสธที่จะแจ้งความหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ในปี ค.ศ. 1995 โซอูริได้ฟ้องร้องบิล คินิสัน พี่ชายของแซม ในข้อหาหมิ่นประมาทเธอในหนังสือของเขาชื่อ Brother Sam: The Short Spectacular Life of Sam Kinison โซอูริฟ้องบิล คินิสันเป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2009 โดยกล่าวหาว่าเขาปลอมแปลงพินัยกรรมของแซม แต่เธออ้างว่าเพิ่งค้นพบความจริงดังกล่าวในปี ค.ศ. 2007
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ โทรอนโตซัน รายงานว่าคินิสันมีบุตรกับภรรยาของคาร์ล ลาโบฟ เพื่อนสนิทและนักแสดงเปิดตัวของเขา ซึ่งลาโบฟได้จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรสาวคนดังกล่าวมาเกือบ 13 ปี ลาโบฟได้ยื่นเอกสารทางกฎหมายโดยอ้างว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวเป็นบุตรของคินิสัน และการตรวจดีเอ็นเอที่นำมาจากบิล คินิสัน พี่ชายของแซม แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ 99.8% ที่คินิสันเป็นบิดาของหญิงสาวคนดังกล่าว
5. การเสียชีวิต
แซม คินิสันเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพียงไม่กี่วันหลังจากแต่งงานใหม่ ซึ่งเป็นจุดจบที่น่าเศร้าในช่วงที่อาชีพของเขากำลังกลับมาโด่งดังอีกครั้ง
5.1. รายละเอียดของอุบัติเหตุ
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1992 คินิสันกำลังขับรถปอนเตี๊ยก ไฟร์เบิร์ดรุ่นเทอร์โบ ทรานส์แอม ปี ค.ศ. 1989 ของเขา พร้อมด้วยภรรยาคนใหม่ที่เพิ่งแต่งงานกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น โดยทั้งคู่กำลังเดินทางจากบ้านมุ่งหน้าไปยังลัฟลิน รัฐเนวาดา เพื่อแสดงโชว์ที่บัตรถูกขายหมดเกลี้ยงที่ริเวอร์ไซด์รีสอร์ตโฮเทลแอนด์คาสิโน การแสดงครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในอาชีพของแซม และทั้งคู่ก็อยู่ในอารมณ์ที่รื่นเริงและมีความสุข
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่นาทีหลังจากออกจากบ้าน รถของคินิสันก็ถูกรถกระบะพุ่งชนประสานงาบนถนนนีดเดิลส์ไฮเวย์ ซึ่งอยู่ห่างจากทางแยกต่างระดับ 40 (ทางออก 141) ไปทางเหนือประมาณ 5.1 km และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนีดเดิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประมาณ 6.9 km (พิกัด: q=34.896180, -114.644944|position=right) รถกระบะคันดังกล่าวขับโดยวัยรุ่นชื่อทรอย เพียร์สัน วัย 17 ปี ซึ่งได้ดื่มแอลกอฮอล์มาแล้วก่อนเกิดเหตุ รถกระบะได้ข้ามเส้นกลางถนนขณะพยายามแซงรถคันอื่น และพุ่งเข้ามาในเลนของคินิสันโดยตรง
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่คินิสันเพิ่งจะฟื้นตัวจากการติดแอลกอฮอล์และยาเสพติดอย่างสมบูรณ์ และกำลังวางแผนสร้างอาชีพใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่จากผู้สร้างภาพยนตร์, เครือข่ายโทรทัศน์หลัก, โปรโมเตอร์ และเอเจนซีต่างๆ ซึ่งต่างคาดหวังและให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีการร่วมงานกันที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
หลังจากการชน คินิสันดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่ทรงตัว โดยมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยบนใบหน้า เขาลงจากรถและนั่งลงข้างถนน แต่ไม่นานก็เสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บภายในศีรษะของเขาชนเข้ากับกระจกหน้ารถเนื่องจากเขาไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เขาเสียชีวิตด้วยวัย 38 ปี ภรรยาของเขาได้รับภาวะสมองกระทบกระเทือนจากการชน แต่ต่อมาก็ฟื้นตัวหลังจากถูกนำส่งโรงพยาบาลในนีดเดิลส์เพื่อรับการรักษาทันที
คำพูดสุดท้ายของคินิสันที่รายงานโดยเพื่อนที่อยู่กับเขาในที่เกิดเหตุคือ "ทำไมต้องตอนนี้?" จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่แล้วถามว่า "แต่ทำไม?" และหลังจากหยุดอีกครั้ง เขาก็กล่าวว่า "โอเค โอเค โอเค" เพื่อนคนนั้นเล่าในภายหลังว่า "ไม่ว่าเสียงใดที่พูดกับเขาได้ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เขา และเขาก็ผ่อนคลายไปกับมัน"
การชันสูตรพลิกศพพบว่าคินิสันได้รับบาดเจ็บหลายจุดอย่างรุนแรง รวมถึงกระดูกสันหลังส่วนคอเคลื่อน, หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด และหลอดเลือดในช่องท้องฉีกขาด ซึ่งส่งผลให้เขาเสียชีวิตภายในไม่กี่นาทีหลังเกิดอุบัติเหตุ
เพียร์สันให้การรับสารภาพในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เขาถูกตัดสินให้รอลงอาญาหนึ่งปีและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม 300 ชั่วโมง นอกจากนี้ ใบขับขี่ของเพียร์สันยังถูกระงับเป็นเวลาสองปีอันเนื่องมาจากการชนครั้งนี้
5.2. พิธีศพและการฝัง
เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1992 ได้มีการจัดพิธีศพของแซม คินิสันขึ้นที่ฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์กในเบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ร่างของคินิสันถูกนำไปฝังในหลุมศพของครอบครัวที่สุสานเมโมเรียลพาร์กในทัลซา รัฐโอคลาโฮมา บนป้ายหลุมศพของเขามีข้อความจารึกไว้ว่า "ในอีกห้วงเวลาและสถานที่หนึ่ง เขาคงถูกเรียกว่าศาสดาพยากรณ์"
6. มรดกและการประเมิน
แม้แซม คินิสันจะจากไปก่อนวัยอันควร แต่เขายังคงทิ้งมรดกทางศิลปะและอิทธิพลอันเป็นที่ถกเถียงไว้ในวงการตลกและวัฒนธรรมสมัยนิยม
6.1. การอุทิศและการรำลึก
จอร์จ คาร์ลิน นักแสดงตลกชื่อดังได้อุทิศรายการพิเศษตลกเดี่ยวไมโครโฟนทางเอชบีโอครั้งที่แปดของเขาที่ชื่อว่า แจมมินอินนิวยอร์ก เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แซม คินิสัน ในช่วงเริ่มต้นของการออกอากาศ มีข้อความปรากฏบนหน้าจอว่า "รายการนี้สำหรับแซม" (This show is for SAM)
หลังจากการเสียชีวิตของเขา คินิสันยังคงเป็นที่จดจำด้วยความรักจากเพื่อนและนักแสดงร่วม ออซซี ออสบอร์น นักดนตรีร็อกชื่อดัง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแซมว่า "เห็นได้ชัดว่าตอนที่แซมประสบอุบัติเหตุ ผมได้ยินมาว่าเขาลงจากรถและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า 'ผมไม่อยากตาย' จากนั้นก็พูดว่า 'โอ้ โอเค' แล้วก็ล้มตัวลงนอนและเสียชีวิต มันฟังดูบ้าและอาจทำให้แฟนๆ ของผมหลายคนไม่พอใจ แต่ผมเชื่อว่ามีพลังที่สูงกว่า บางคนอาจคิดว่าแซม คินิสันไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง แต่ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาอยู่บนสวรรค์ เขาอยู่ข้างพระเจ้า"
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 ฟอกซ์ ได้ออกอากาศรายการพิเศษ A Tribute to Sam Kinison รายการนี้ประกอบด้วยฟุตเทจเก่าของคินิสันและการแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนจากนักแสดงตลกชื่อดังหลายคน รวมถึงโรบิน วิลเลียมส์, ร็อดนีย์ เดนเจอร์ฟิลด์ และจิม แคร์รี
ระหว่างปี ค.ศ. 2008 ถึง ค.ศ. 2013 มีข่าวประชาสัมพันธ์หลายฉบับเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ดราม่าที่อาจอิงจากบันทึกความทรงจำเรื่อง Brother Sam: The Short, Spectacular Life of Sam Kinison ซึ่งเขียนโดยบิล คินิสัน พี่ชายของแซม และสตีฟ เดลโซห์น
6.2. การวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียง
ลอสแอนเจลิสไทมส์ ได้วิจารณ์ว่าการแสดงตลกของคินิสันบางครั้งถูกกล่าวหาว่ามีเนื้อหาที่แสดงถึงการเกลียดผู้หญิงและการเกลียดกลัวคนรักร่วมเพศ ตัวอย่างเช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 กลุ่มเกย์เนชันในลินคอล์น รัฐเนแบรสกา ได้จัดการประท้วงบนทางเท้าหน้าการแสดงของคินิสัน โดยตะโกนว่า "ต่อต้านผู้หญิง ต่อต้านเกย์ แซม คินิสันไปให้พ้น!"
อัลบั้ม แฮฟยูซีนมีเลทลี? ของเขาถึงกับต้องมีสติกเกอร์คำเตือนระบุว่า "เนื้อหาในอัลบั้มนี้ไม่ได้สะท้อนมุมมองหรือความคิดเห็นของวอร์เนอร์บราเธอร์สเรคคอร์ดส" พนักงานของวอร์เนอร์บราเธอร์สได้ขอให้ผู้บริหารไม่วางจำหน่ายอัลบั้มนี้เนื่องจากเนื้อหาที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในอัลบั้มแรกของคินิสัน
ในบทความปี ค.ศ. 2016 โดยจอห์น ฮูการ์ในนิตยสาร นิวยอร์ก ฮูการ์แย้งว่าการแสดงตลกของนักแสดงตลกในอดีต รวมถึงคินิสัน ไม่ได้รับการยอมรับในเชิงบวกจากคนรุ่นใหม่ อาจเป็นเพราะเนื้อหาของพวกเขาถูกมองว่าล้าสมัยในด้านการเหยียดเพศและการเกลียดผู้หญิงเมื่อเวลาผ่านไป ฮูการ์ตั้งข้อสังเกตว่าการประเมินใหม่ในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนเนื่องจากความเป็นไปได้ที่คินิสันอาจแสดงเป็นตัวละครที่ตั้งใจสร้างความตกใจมากกว่าที่จะพูดในฐานะตัวเขาเอง
6.3. อิทธิพล
แซม คินิสันมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการตลกและวัฒนธรรมสมัยนิยมโดยรวม ด้วยสไตล์การแสดงที่แหวกแนวและไม่เหมือนใคร เขาเป็นที่จดจำในฐานะนักแสดงตลกคนแรกๆ ที่กล้าขึ้นเวทีโดยไม่พยายามทำให้ผู้ชมชอบเขา และใช้เสียงกรีดร้องอันเป็นเอกลักษณ์ในการสื่อสารอารมณ์ที่รุนแรงและตรงไปตรงมา
การเสียดสีศาสนาและประเด็นทางสังคมอย่างโจ่งแจ้งของเขา แม้จะก่อให้เกิดข้อถกเถียง แต่ก็สะท้อนถึงความกล้าหาญในการนำเสนอ "ปรัชญาต่อต้านสังคม" ผ่านเสียงหัวเราะ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญในยุคทศวรรษ 1980 อิทธิพลของเขาเห็นได้ชัดจากการที่นักแสดงตลกและนักดนตรีหลายคนต่างยกย่องเขา และยังคงมีการพยายามสร้างสรรค์ผลงานเพื่อรำลึกถึงเขาแม้จะเสียชีวิตไปแล้วหลายปี
7. ผลงานเพลง
แซม คินิสันได้ออกผลงานเพลงหลายอัลบั้มและซิงเกิล ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงของเขากับวงการดนตรีร็อก
7.1. อัลบั้ม
- ลาวเดอร์แดนเฮลล์ (ค.ศ. 1986)
- เบรกกิงเดอะรูลส์ (ค.ศ. 1987)
- แฮฟยูซีนมีเลทลี? (ค.ศ. 1988) - RIAA: ทอง
- ลีดเดอร์ออฟเดอะแบนด์ (ค.ศ. 1990)
- ไลฟ์ฟรอมเฮลล์ (ค.ศ. 1993)
7.2. ซิงเกิล
ชื่อ | ปี | อันดับสูงสุดบนชาร์ต | อัลบั้ม |
---|---|---|---|
ออสเตรเลีย | |||
"ไวลด์ทิง" | ค.ศ. 1988 | 19 | แฮฟยูซีนมีเลทลี? |
8. ผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์
แซม คินิสันมีผลงานการแสดงทั้งในภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และมิวสิกวิดีโอหลายเรื่อง
8.1. ภาพยนตร์
- ซาเวจดอว์น (ค.ศ. 1985)
- แบ็กทูสกูล (ค.ศ. 1986)
- ทรีอามิโกส์ (ค.ศ. 1986) (ฉากถูกลบ)
- พอลลีชอร์อิสเดด (ค.ศ. 2004) (ฟุตเทจจากคลัง)
- ไอแอมแซมคินิสัน (ค.ศ. 2017) (สารคดี)
8.2. โทรทัศน์
- Rodney Dangerfield Hosts the 9th Annual Young Comedians Special (ค.ศ. 1985)
- แซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ (ค.ศ. 1985-1986, แขกรับเชิญ; ค.ศ. 1986, พิธีกร)
- Rodney Dangerfield: It's Not Easy Bein' Me (ค.ศ. 1986)
- Rodney Dangerfield: Opening Night at Rodney's Place (ค.ศ. 1989, แขกรับเชิญ)
- แต่งงานแล้ว...มีลูก (ค.ศ. 1989, แขกรับเชิญ)
- เทลส์ฟรอมเดอะคริปต์ (ค.ศ. 1990, แขกรับเชิญ)
- ชาร์ลีฮูเวอร์ (ค.ศ. 1991, รับบทเป็น ฮิวจ์)
- อินลิฟวิงคัลเลอร์ (ฤดูกาลที่ 3, ตอนที่ 7, ฉากปิด, 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991)
- ฟอกซ์นิวเยียร์สอีฟไลฟ์: 1992 (ค.ศ. 1991-1992, พิธีกรร่วม)
8.3. การปรากฏตัวอื่นๆ และมิวสิกวิดีโอ
- วิดีโอคอนเสิร์ต Live in a Rusted Out Garage, นีล ยัง (ค.ศ. 1986) (รับเชิญขยาย)
- Breaking the Rules (ค.ศ. 1987) (รายการพิเศษของเอชบีโอ)
- มิวสิกวิดีโอ ไวลด์ทิง, แซม คินิสัน (ค.ศ. 1988)
- มิวสิกวิดีโอ แบดเมดิซิน, บอนโจวี (ค.ศ. 1988) (รับเชิญ)
- มิวสิกวิดีโอ อันเดอร์มายธัมบ์, แซม คินิสัน (ค.ศ. 1989)
- มิวสิกวิดีโอ คิกสตาร์ตมายฮาร์ต, มอตลีย์ครู (ค.ศ. 1989) (รับเชิญ)
- มิวสิกวิดีโอ The Kids Goes Wild, บาบิโลนเอ.ดี. (ค.ศ. 1989) (ให้เสียงบรรยาย)
- มิวสิกวิดีโอ The Walk, เชอร์รีเอสที. (ค.ศ. 1989) (รับเชิญ)
- มิวสิกวิดีโอ มิสซิสซิปปีควีน, แซม คินิสัน (ค.ศ. 1990)
- มิวสิกวิดีโอ Heartbeat, ดี'พรีสต์ (ค.ศ. 1990) (รับเชิญ)
- มิวสิกวิดีโอ What Do I Have To Do, ไคลี มิน็อก (ค.ศ. 1991) (ให้เสียงบรรยาย)
- Family Entertainment Hour (ค.ศ. 1991)
- Unleashed (ค.ศ. 2006) แซม คินิสัน แบนด์ไลฟ์ที่เฟลต์ฟอรัม นิวยอร์กซิตี้ ค.ศ. 1990