1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งทั้งด้านครอบครัวและการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองระดับสูงของสวิตเซอร์แลนด์
1.1. ครอบครัวและการเกิด
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ เกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1956 ที่เฟลส์แบร์ก รัฐเกราบึนเดิน เธอแต่งงานแล้วและมีบุตรสามคน เธอเป็นบุตรีของเลออน ชลุมพ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาสหพันธ์เช่นกัน ทำให้เธอเป็นสมาชิกสภาสหพันธ์คนที่สองในประวัติศาสตร์สวิตเซอร์แลนด์ที่มีบิดาเคยดำรงตำแหน่งเดียวกัน ถัดจากเออแฌน รูฟฟี นอกจากนี้ เธอยังเป็นสตรีคนที่หกที่ได้รับเลือกให้เข้าสู่สภาสหพันธ์สวิส อีกทั้งเธอยังเป็นผู้อุปถัมภ์โครงการ SAFFA 2020 ร่วมกับสมาชิกสภาสหพันธ์ท่านอื่น ๆ เช่น ดอริส ลอยต์ฮาร์ด และซีโมเน็ตตา ซอมมารูกา รวมถึงอดีตสมาชิกสภาสหพันธ์มิเชลีน คาลมี-เรย์
1.2. การศึกษาและอาชีพด้านกฎหมาย
วิดเมอร์-ชลุมพ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซือริช ในปี ค.ศ. 1981 และได้รับปริญญาเอกด้านกฎหมายในปี ค.ศ. 1990 หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอประกอบอาชีพเป็นทนายความตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 ถึง ค.ศ. 1998 ประสบการณ์ด้านกฎหมายนี้เป็นรากฐานสำคัญสำหรับบทบาททางการเมืองของเธอในเวลาต่อมา
2. อาชีพทางการเมืองระดับรัฐ
ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองระดับสหพันธ์ เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้สร้างชื่อเสียงและสั่งสมประสบการณ์อย่างมากในระดับรัฐ (กังตง) โดยเฉพาะในรัฐเกราบึนเดิน ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของเธอ
2.1. ศาลแขวงและรัฐบาลแห่งรัฐเกราบึนเดิน
ในปี ค.ศ. 1985 เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาประจำศาลแขวงแห่งตริน และดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลในระหว่างปี ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เธอเข้าใจกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายอย่างลึกซึ้ง
จากนั้น ระหว่างปี ค.ศ. 1994 ถึง ค.ศ. 1998 เธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกสมัชชาใหญ่แห่งรัฐเกราบึนเดินในฐานะสมาชิกของพรรคประชาชนสวิส (SVP) และในปี ค.ศ. 1998 เธอสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการได้รับเลือกเป็นสตรีคนแรกที่เข้าสู่รัฐบาลกังตงแห่งรัฐเกราบึนเดิน ซึ่งเป็นตำแหน่งในฝ่ายบริหารของรัฐ เธอได้ทำหน้าที่ประธานรัฐในปี ค.ศ. 2001 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 บทบาทเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถในการเป็นผู้นำและการบริหารจัดการของเธอในระดับภูมิภาค ก่อนจะก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในระดับชาติ
3. การเลือกตั้งสู่สภาสหพันธ์และบทบาทช่วงต้น
การเข้าสู่สภาสหพันธ์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ของเอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพทางการเมืองของเธอ ซึ่งเต็มไปด้วยพลวัตและความท้าทายทางการเมือง
3.1. กระบวนการเลือกตั้งเข้าสู่สภาสหพันธ์
ในการการเลือกตั้งสภาสหพันธ์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2007 วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครทางเลือกแทนนายคริสตอฟ บลอเคอร์ สมาชิกสภาสหพันธ์ในขณะนั้น โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน ทั้งพรรคคริสเตียนประชาธิปไตย พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคกรีน
ในการลงคะแนนเสียงรอบแรก เธอได้รับ 116 คะแนน เหนือกว่าบลอเคอร์ซึ่งได้ 111 คะแนน และในการลงคะแนนเสียงรอบที่สอง เธอได้รับเลือกเข้าสู่สภาสหพันธ์ในฐานะสมาชิกคนที่ 110 ด้วยคะแนนเสียง 125 คะแนน ในขณะที่บลอเคอร์ได้รับ 115 คะแนน และมีบัตรเสียหรือไม่ถูกต้อง 6 คะแนน เธอได้ยอมรับการเลือกตั้งนี้ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2007 การเลือกตั้งของเธอเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก เนื่องจากเธอได้รับเลือกโดยปราศจากการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากพรรคประชาชนสวิส (SVP) ซึ่งเป็นพรรคเดิมของเธอ

3.2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและตำรวจ
หลังจากเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาสหพันธ์ เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและตำรวจ โดยสืบทอดตำแหน่งมาจากคริสตอฟ บลอเคอร์ อดีตสมาชิกสภาสหพันธ์ การเข้ารับตำแหน่งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 และเธอได้ดำรงตำแหน่งนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ในช่วงวาระนี้ เธอรับผิดชอบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบยุติธรรมและความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการรักษาหลักนิติธรรมและความสงบเรียบร้อยของสังคม
4. กิจกรรมพรรคและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เส้นทางอาชีพทางการเมืองของเอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ เต็มไปด้วยพลวัต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพรรคเดิมของเธอ และบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่
4.1. ความขัดแย้งกับพรรคประชาชนสวิสและการถอนตัว
หลังจากที่เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาสหพันธ์ โดยปราศจากการสนับสนุนจากพรรคประชาชนสวิส (SVP) ซึ่งเป็นพรรคของเธอเอง เธอต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากคณะผู้นำระดับชาติของพรรค SVP พวกเขาประณามเธอว่าเป็นการ "ทรยศ" ต่อพรรค เนื่องจากเธอรับตำแหน่งที่เธอได้รับชัยชนะโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคโดยตรง ในทันทีหลังการเลือกตั้ง เธอและเพื่อนร่วมงาน ซามูเอล ชมิด ก็ถูกกีดกันออกจากการประชุมของกลุ่มรัฐสภาพรรค SVP
ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2008 ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเมืองสวิส คณะผู้นำพรรค SVP ระดับชาติได้เรียกร้องให้วิดเมอร์-ชลุมพ์ ลาออกจากสภาสหพันธ์ทันทีและถอนตัวจากการเป็นสมาชิกพรรค เมื่อเธอปฏิเสธที่จะทำตาม พรรค SVP จึงเรียกร้องให้สาขาพรรครัฐเกราบึนเดินขับไล่เธอออกจากการเป็นสมาชิก เนื่องจากพรรคการเมืองสวิสตามกฎหมายเป็นสหพันธ์ของพรรคในระดับกังตง พรรค SVP ระดับชาติจึงไม่สามารถขับไล่เธอได้โดยตรง สาขาพรรคเกราบึนเดินยืนหยัดอยู่เคียงข้างวิดเมอร์-ชลุมพ์ ซึ่งส่งผลให้สาขาพรรคดังกล่าวถูกขับออกจากพรรค SVP ระดับชาติในวันที่ 1 มิถุนายน
4.2. การก่อตั้งและกิจกรรมของพรรคประชาธิปไตยอนุรักษนิยม
เพื่อตอบสนองต่อการถูกขับออกจากพรรคประชาชนสวิส สาขาพรรค SVP เดิมในรัฐเกราบึนเดินได้รวมตัวกันก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยม (BDP) นอกจากนี้ สาขาพรรค SVP แห่งรัฐแบร์น ซึ่งซามูเอล ชมิด เป็นสมาชิกอยู่ ก็ได้เข้าร่วมกับพรรคการเมืองใหม่นี้เช่นกัน การก่อตั้งพรรค BDP ถือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่สะท้อนถึงการแตกแยกภายในพรรค SVP และการเกิดขึ้นของกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดที่ประนีประนอมมากขึ้น โดยมุ่งเน้นความสมดุลระหว่างอนุรักษนิยมและการก้าวหน้าทางสังคม
พรรคประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยมได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในฐานะพรรคอิสระจนกระทั่งปี ค.ศ. 2021 เมื่อพรรคได้รวมเข้ากับพรรคเดอะเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สะท้อนถึงการจัดระเบียบใหม่ของภูมิทัศน์ทางการเมืองในสวิตเซอร์แลนด์
5. กิจกรรมสำคัญในระดับสหพันธ์
ในฐานะสมาชิกสภาสหพันธ์ เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการดำเนินนโยบายระดับชาติ โดยเฉพาะในด้านการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ

5.1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หลังจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในสภาสหพันธ์ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาสหพันธ์ใหม่สองคนในปี 2010 เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนที่ฮันส์-รูดอล์ฟ แมร์ซ ผู้พ้นจากตำแหน่ง เธอเข้ารับตำแหน่งนี้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 และดำรงตำแหน่งจนถึงปี ค.ศ. 2015 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เธอมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งรวมถึงการจัดการงบประมาณของรัฐบาล การดูแลระบบธนาคาร และการกำกับดูแลตลาดการเงิน การตัดสินใจของเธอในบทบาทนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
5.2. รองประธานาธิบดีและประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐ
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐ สำหรับปี ค.ศ. 2011 โดยปฏิบัติหน้าที่เคียงข้างกับประธานาธิบดีมิเชลีน คาลมี-เรย์
ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2011 เธอได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐสำหรับปี ค.ศ. 2012 การดำรงตำแหน่งนี้ทำให้เธอเป็นสตรีคนที่สี่ที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐสวิส ถัดจากรูท ไดรฟุส (ค.ศ. 1999), มิเชลีน คาลมี-เรย์ (ค.ศ. 2007 และ ค.ศ. 2011), และดอริส ลอยต์ฮาร์ด (ค.ศ. 2010) และยังเป็นสตรีคนที่สามที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีติดต่อกัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกสภาสหพันธ์บ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอจึงเป็นสมาชิกสภาสหพันธ์ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดที่ยังไม่เคยเป็นประธานาธิบดีก่อนหน้านี้ ในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เธอเป็นตัวแทนของประเทศในการประชุมระดับนานาชาติและเป็นผู้นำในการประชุมของสภาสหพันธ์

6. การลาออกและกิจกรรมในภายหลัง
หลังจากพรรคประชาชนสวิส (SVP) ได้รับคะแนนเสียงเป็นประวัติการณ์ถึงกว่าร้อยละ 29 ในการเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ. 2015 เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ว่าเธอจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสหพันธ์อีกครั้ง การตัดสินใจนี้เป็นการปูทางให้แก่ผู้สืบทอดตำแหน่งคนใหม่ เธอได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดยกี ปาร์เมอแล็ง ซึ่งเข้ามารับบทบาทในสภาสหพันธ์แทนเธอ
7. งานเขียน
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ มีผลงานตีพิมพ์ที่สะท้อนถึงความสนใจและความเชี่ยวชาญทางวิชาการของเธอ
งานเขียนที่สำคัญของเธอคืองานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่ชื่อว่า Voraussetzungen der Konzession bei Radio und Fernsehen.เงื่อนไขการให้สัมปทานวิทยุและโทรทัศน์ภาษาเยอรมัน ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Helbing und Lichtenhahn ในบาเซิล ในปี ค.ศ. 1990 งานนี้แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของเธอในวาทกรรมทางวิชาการและกฎหมายเกี่ยวกับการออกอากาศสาธารณะ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในยุคสมัยนั้น
8. การประเมินและผลกระทบ
อาชีพทางการเมืองของเอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับการประเมินที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเปลี่ยนแปลงสังกัดพรรคการเมือง และบทบาทของเธอในฐานะผู้นำประเทศ
8.1. การประเมินเชิงบวก
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ได้รับการยกย่องอย่างสูงในเรื่องความสามารถและความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เธอเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและมีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอตัดสินใจรับตำแหน่งสมาชิกสภาสหพันธ์ในปี ค.ศ. 2007 โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชนสวิสเดิมของเธอ การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะรับใช้ประเทศชาติเหนือผลประโยชน์ของพรรค
ตลอดอาชีพของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เธอได้รับการชื่นชมในความสามารถด้านการบริหารการเงินสาธารณะ และการรักษาสมดุลของงบประมาณประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน บทบาทของเธอในการก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยม (BDP) ก็ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญในการนำเสนอทางเลือกทางการเมืองที่เน้นความอนุรักษนิยมแบบสายกลางและประนีประนอม ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและลดความแตกแยกในสังคมสวิตเซอร์แลนด์
8.2. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง
แม้จะมีผลงานที่โดดเด่น เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ ก็ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์และประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคประชาชนสวิส (SVP) ซึ่งเป็นพรรคเดิมของเธอ หลังจากที่เธอรับตำแหน่งสมาชิกสภาสหพันธ์โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรค พรรค SVP ได้ประณามเธอว่าเป็น "ผู้ทรยศ" และเรียกร้องให้เธอลาออกจากตำแหน่งและพรรคทันที ซึ่งนำไปสู่การแตกแยกภายในพรรค SVP และการก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยม
คำวิจารณ์ส่วนใหญ่มาจากความไม่พอใจของพรรค SVP ที่มองว่าการกระทำของเธอเป็นการบ่อนทำลายเอกภาพของพรรคและประชาธิปไตยแบบฉันทามติของสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ก็ถูกโต้แย้งจากฝ่ายอื่น ๆ ที่มองว่าการกระทำของเธอเป็นการแสดงออกถึงความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของพรรค การตัดสินใจของเธอและผลที่ตามมาได้กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความภักดีทางการเมือง บทบาทของพรรคการเมือง และหลักการประชาธิปไตยในระบบการเมืองแบบพิเศษของสวิตเซอร์แลนด์
9. ชีวิตส่วนตัว
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพ์ แต่งงานกับคริสโตเฟอร์ วิดเมอร์ และมีบุตรด้วยกันสามคน ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอนอกเหนือจากบทบาททางการเมืองนั้นไม่มากนัก แต่การที่เธอสามารถสร้างครอบครัวในขณะที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญหลายตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการทั้งชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน