1. ภาพรวม
เอเบอร์ฮาร์ทที่ 3 (ประมาณ 885 - 2 ตุลาคม 939) ดยุคแห่งแฟรงโคเนีย ผู้สืบทอดตำแหน่งจากสมเด็จพระเชษฐา กษัตริย์คอนราดที่ 1 ในเดือนธันวาคม 918 เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคแรกของเยอรมนี ในฐานะสมาชิกของราชวงศ์คอนราดิน เขามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากราชวงศ์คอนราดินไปสู่ราชวงศ์อ็อทโทเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเลือกตั้งพระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 เป็นกษัตริย์แห่งแฟรงก์ตะวันออก หลังจากที่พระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 สวรรคต เอเบอร์ฮาร์ทได้เข้าสู่ความขัดแย้งกับจักรพรรดิอ็อทโทที่ 1 ผู้เป็นพระโอรส เนื่องจากความพยายามของอ็อทโทในการรวบอำนาจราชสำนักให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกบฏหลายครั้งของเอเบอร์ฮาร์ทและความพ่ายแพ้ในที่สุดในการรบที่อันเดอร์นาค เหตุการณ์เหล่านี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างอำนาจในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก และนำไปสู่การยุบเลิกตำแหน่งดยุกแห่งแฟรงโคเนียในเวลาต่อมา ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การรวมศูนย์อำนาจของกษัตริย์ในยุคกลางตอนต้น
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลังตระกูล
เอเบอร์ฮาร์ทถือกำเนิดขึ้นประมาณปี 885 เป็นโอรสองค์ที่สองของ คอนราด ผู้อาวุโส ดยุคแห่งทือริงเงินและเคานต์แห่งลาห์นเกา กับ กลิสมุท (เสียชีวิต 924) ซึ่งอาจเป็นธิดานอกสมรสของจักรพรรดิแคโรลินเจียน อาร์นูลฟ์ หรือ กษัตริย์แห่งแฟรงก์ตะวันออก
ตระกูลคอนราดินเป็นเคานต์ในภูมิภาคลาห์นเกาของแฟรงโคเนีย และเป็นผู้สนับสนุนราชวงศ์แคโรลินเจียนที่ภักดี อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องแข่งขันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือกว่าในแฟรงโคเนียกับโอรสของดยุก เฮนรี่แห่งแฟรงโคเนีย จากตระกูลบาเบนแบร์ก ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่ปราสาทบัมแบร์ก ความขัดแย้งนี้ถึงจุดสูงสุดในปี 906 เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันใกล้กับฟริทซ์ลาร์ ในการรบครั้งนั้น คอนราดผู้อาวุโสเสียชีวิต เช่นเดียวกับพี่น้องบาเบนแบร์กสองในสามคน ความบาดหมางระหว่างตระกูลบาเบนแบร์กยุติลงเมื่อพระเจ้าหลุยส์ ผู้เยาว์ ทรงเข้าข้างตระกูลคอนราดิน และ คอนราด ผู้เยาว์ หรือที่รู้จักในนาม กษัตริย์คอนราดที่ 1 กลายเป็นดยุกแห่งแฟรงโคเนียที่ไม่มีข้อโต้แย้ง
3. กิจกรรมในรัชสมัยของกษัตริย์คอนราดที่ 1
ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระเชษฐา กษัตริย์คอนราดที่ 1 เอเบอร์ฮาร์ทปรากฏตัวในฐานะเคานต์ในเขต เฮสเซนเกา และ แปร์สเกา ของแฟรงโคเนียตั้งแต่ปี 913 และยังเป็นเคานต์ในเขตลาห์นเกาตอนบนในปี 913 และ 928 เขาได้สนับสนุนพระเชษฐาในการต่อสู้กับดยุกคู่แข่งอย่าง อาร์นูลฟ์แห่งบาวาเรีย และ ไฮน์ริชแห่งซัคเซิน (หรือที่รู้จักกันในนาม ไฮน์ริช จอมล่านก)
ในปี 914 เอเบอร์ฮาร์ทได้รับตำแหน่งมาร์คกราฟแห่งแฟรงโคเนีย อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ เขาก็ไม่สามารถยืนยันสิทธิเรียกร้องของตนเองได้ และต้องเผชิญกับการพิชิตดินแดนทือริงเงินของอดีตดยุก บูร์ฮาร์ด โดยไฮน์ริช
ในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์ในเดือนธันวาคม 918 ขณะที่ประทับอยู่บนแท่นบรรทมในฟอร์คไฮม์ กษัตริย์คอนราดได้เรียกบรรดาเจ้าชายเยอรมันมารวมตัวกันเพื่อจัดการเรื่องการสืบราชบัลลังก์ ตามบันทึกของพงศาวดารสมัยกลาง วิทิคินด์แห่งคอร์เวย์ กษัตริย์คอนราดได้โน้มน้าวเอเบอร์ฮาร์ทให้ละทิ้งความทะเยอทะยานที่จะครองบัลลังก์เยอรมัน และเรียกร้องให้ผู้คัดเลือกแห่งจักรวรรดิเลือกดยุกไฮน์ริช จอมล่านก อดีตคู่แข่งของพระองค์จากราชวงศ์อ็อทโทเนียน ขึ้นเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ เอเบอร์ฮาร์ทได้รับมอบหมายให้มอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกษัตริย์แก่ไฮน์ริชด้วยตนเองในการการประชุมอิมพีเรียลไดเอ็ท ซึ่งจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 919 ที่ฟริทซ์ลาร์ กษัตริย์คอนราดทรงเห็นว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะยุติความบาดหมางที่ยืดเยื้อระหว่างซัคเซินกับแฟรงก์ และเพื่อป้องกันการล่มสลายของจักรวรรดิออกเป็นรัฐเล็กๆ ตามดัชชีประจำชนเผ่า อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่จำนวนมากเชื่อว่าบันทึกของวิทิคินด์ในส่วนนี้อาจถูกเพิ่มเติมเข้าไปโดยอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ลีอูดอล์ฟิง
4. ในฐานะดยุกแห่งแฟรงโคเนียและผู้สำเร็จราชการแห่งโลทาริงเกีย
เอเบอร์ฮาร์ทสืบทอดตำแหน่งดยุกแห่งแฟรงโคเนียต่อจากพระเชษฐา และยังคงเป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีต่อกษัตริย์ไฮน์ริชที่ 1 กษัตริย์องค์ใหม่ หลังจากที่ไฮน์ริชทรงยึดดัชชีโลทาริงเกียที่ประสบปัญหาและไม่สงบกลับคืนมาได้ พระองค์ยังได้มอบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแก่เอเบอร์ฮาร์ทในปี 926 เอเบอร์ฮาร์ทสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับดินแดนโลทาริงเกียได้อย่างรวดเร็วและปกครองจนกระทั่งปี 928 เมื่อกษัตริย์ไฮน์ริชทรงยกดินแดนนี้ให้แก่กิลแบร์ท พระชามาดา ซึ่งเป็นสามีของพระธิดาเกอร์แบร์กาของพระองค์
ความสัมพันธ์ระหว่างเอเบอร์ฮาร์ทกับกษัตริย์ไฮน์ริชที่ 1 นั้นเป็นไปด้วยดี ในปี 934 กษัตริย์ไฮน์ริชที่ 1 ยังได้ส่งเอเบอร์ฮาร์ทพร้อมกับดยุกกิลแบร์ทแห่งโลทาริงเกียและอาร์คบิชอปไปยังกษัตริย์ราอูลแห่งแฟรงก์ตะวันตก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่กษัตริย์มีต่อเอเบอร์ฮาร์ท
5. ความขัดแย้งกับจักรพรรดิอ็อทโทที่ 1 และการก่อกบฏ
หลังจากการสวรรคตของกษัตริย์ไฮน์ริชที่ 1 ในปี 936 เอเบอร์ฮาร์ทได้เข้าสู่ความขัดแย้งกับอ็อทโทที่ 1 พระโอรสและผู้สืบทอดบัลลังก์ของกษัตริย์ไฮน์ริชที่ 1 ซึ่งมีเป้าหมายในการเสริมสร้างอำนาจของราชสำนักให้เข้มแข็งขึ้น ความขัดแย้งนี้นำไปสู่การก่อกบฏหลายครั้งของเอเบอร์ฮาร์ท ซึ่งเป็นความท้าทายต่ออำนาจกษัตริย์ที่กำลังเติบโต
5.1. เหตุการณ์ปราสาทเฮ็ลเมิร์นและการกบฏครั้งแรก
ในปี 937 ดยุกแห่งแฟรงโคเนีย เอเบอร์ฮาร์ท ได้โจมตีปราสาทเฮ็ลเมิร์น ใกล้กับเพคเคลสไฮม์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนซัคเซิน ปราสาทแห่งนี้มีผู้บัญชาการปราสาทชาวซัคเซินชื่อบรูนิง ซึ่งปฏิเสธที่จะสาบานความจงรักภักดีต่อผู้ที่ไม่ใช่ชาวซัคเซิน กษัตริย์อ็อทโทได้เรียกคู่กรณีที่มีข้อพิพาททั้งหมดไปยังราชสำนักที่มัคเดอบวร์ค ที่นั่น เอเบอร์ฮาร์ทถูกสั่งให้จ่ายค่าปรับ และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถูกตัดสินให้แบกซากสุนัขตายต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งถือเป็นการลงโทษที่น่าอับอายอย่างยิ่งในเวลานั้น
ด้วยความโกรธแค้น เอเบอร์ฮาร์ทจึงเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้ามของอ็อทโท โดยได้ก่อการกบฏในปี 938 ร่วมกับ ทันก์มาร์ พี่ชายต่างมารดาของอ็อทโท และ ดยุกเอเบอร์ฮาร์ทแห่งบาวาเรีย ผู้เป็นบุตรชายของอดีตดยุกอาร์นูลฟ์ และวิคมานน์แห่งบิลลุง พี่ชายของเฮอร์มันน์แห่งบิลลุง นอกจากนี้ยังได้จับกุม ไฮน์ริช พระอนุชาของอ็อทโทไว้เป็นเชลย การกบฏครั้งนี้ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว ทันก์มาร์ถูกลอบสังหารที่ปราสาทเอเรสบวร์ค และดยุกเอเบอร์ฮาร์ทแห่งบาวาเรียก็ถูกแทนที่โดยลุงของเขา เบอร์โทลด์ (ปกครอง 938-945) ส่วนเอเบอร์ฮาร์ทแห่งแฟรงโคเนียได้ปล่อยตัวไฮน์ริชและยอมจำนน และถูกคุมขังอยู่ในป้อมปราการฮิลเดสไฮม์ช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะได้รับการคืนตำแหน่งเดิมในเวลาต่อมา
5.2. การกบฏครั้งที่สองและการเสียชีวิต
หลังจากมีการคืนดีกับกษัตริย์อ็อทโทได้ไม่นาน เอเบอร์ฮาร์ทก็เป็นพันธมิตรกับดยุกกิลแบร์ทแห่งโลทาริงเกีย อาร์คบิชอปฟรีดริชแห่งไมนทซ์ และ ไฮน์ริช พระอนุชาของอ็อทโท ในการก่อกบฏครั้งใหม่ กองกำลังร่วมของพวกเขาเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการปกครองของอ็อทโท อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 2 ตุลาคม 939 กลุ่มกบฏก็พ่ายแพ้ในที่สุดในการรบที่อันเดอร์นาค
q=Andernach|position=right
ดยุกเอเบอร์ฮาร์ทแห่งแฟรงโคเนียถูกสังหารในศึกครั้งนั้น โดยมีรายงานว่าถูกสังหารโดยญาติร่วมตระกูลคอนราดินคือเคานต์อูโดแห่งเวทเทอเรา (Udo I. von der Wetterauอูโดที่ 1 ฟอน แดร์ เวทเทอเราภาษาเยอรมัน) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเอเบอร์ฮาร์ท โดยบุตรชายของอูโดถูกสังหารในการกบฏครั้งแรกในปี 938 ดยุกกิลแบร์ทแห่งโลทาริงเกียซึ่งพยายามหลบหนีก็จมน้ำเสียชีวิตในแม่น้ำไรน์
หลังจากการเสียชีวิตของเอเบอร์ฮาร์ท ดัชชีแฟรงโคเนียก็ถูกยึด และยังคงเป็นทรัพย์สินโดยตรงของจักรวรรดิจนกระทั่งถูกยุบเลิกในปี 1039
6. การประเมินทางประวัติศาสตร์และผลกระทบ
การกระทำทางการเมืองของเอเบอร์ฮาร์ท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อกบฏต่อต้านจักรพรรดิอ็อทโทที่ 1 สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่สำคัญในยุคการก่อตั้งจักรวรรดิเยอรมัน การที่เขายืนกรานในสิทธิอำนาจของดยุกและปฏิเสธที่จะยอมรับการรวบอำนาจของราชสำนัก ถือเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมของดัชชีเผ่า อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้และการเสียชีวิตของเอเบอร์ฮาร์ท พร้อมกับการยุบเลิกตำแหน่งดยุกแห่งแฟรงโคเนียอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำอำนาจของราชวงศ์อ็อทโทเนียน และถือเป็นก้าวสำคัญในการรวมศูนย์อำนาจของกษัตริย์ในเยอรมนี อ็อทโทที่ 1 สามารถลดทอนอำนาจของดยุกผู้ทรงอิทธิพลลง และสร้างรากฐานสำหรับการปกครองแบบรวมศูนย์มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากแนวทางประนีประนอมของพระบิดาของเขา ความล้มเหลวของการกบฏของเอเบอร์ฮาร์ทแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากที่ดยุกเผ่าต้องเผชิญในการต่อต้านการเติบโตของอำนาจราชสำนัก และส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์แบบศักดินา โดยกษัตริย์มีอำนาจเหนือกว่าดยุก ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดทิศทางของอาณาจักรเยอรมันในอีกหลายศตวรรษต่อมา