1. ภาพรวม
เจมส์ วอร์ด (James Wardเจมส์ วอร์ดภาษาอังกฤษ; พ.ศ. 2312 - พ.ศ. 2402) เป็นจิตรกรและช่างแกะสลักชาวอังกฤษผู้มีความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านภาพสัตว์และภาพทิวทัศน์ อาชีพของเขามักถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก โดยในช่วงแรกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพี่เขยของเขาคือ จอร์จ มอร์แลนด์ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปรับอิทธิพลจาก ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2346 เป็นต้นไป
วอร์ดเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพเขียนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นเอกของเขาคือ 'กอร์เดล สการ์' (Gordale Scarภาษาอังกฤษ) ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะโรแมนติกนิยมอังกฤษ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในผลงานบางชิ้น แต่เขาก็เผชิญกับความท้าทายและความผิดหวังในอาชีพการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลงานขนาดมหึมาอย่าง 'อุปมานิทัศน์แห่งวอเตอร์ลู' (Allegory of Waterlooภาษาอังกฤษ) ซึ่งไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควรและไม่สามารถทำรายได้ตามที่เขาหวังไว้ ประสบการณ์เหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกขมขื่น และในบั้นปลายชีวิต เขาก็ต้องเผชิญกับการเสียชีวิตของภรรยาคนแรกและลูกสาว รวมถึงการเสียชีวิตในความยากจน เจมส์ วอร์ดได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยของเขา ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และทักษะอันยอดเยี่ยม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อการเติบโตของศิลปะอังกฤษ
2. ชีวประวัติ
2.1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลังครอบครัว
เจมส์ วอร์ด เกิดที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2312 โดยเป็นบุตรของเจมส์ วอร์ดและราเชล โกลด์สมิธ เขามีน้องชายคือ วิลเลียม วอร์ด ซึ่งต่อมากลายเป็นช่างแกะสลักที่มีชื่อเสียง เมื่ออายุได้ 12 ปี เจมส์ได้เริ่มฝึกงานกับจอห์น ราฟาเอล สมิธ (John Raphael Smithภาษาอังกฤษ) ช่างแกะสลักชาวลอนดอน ซึ่งทำให้เขาได้สร้างสรรค์ผลงานแกะสลักจำนวนมาก ในเวลาต่อมา เขาก็ได้รู้จักกับจอร์จ มอร์แลนด์ จิตรกรภาพสัตว์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญในช่วงแรกของอาชีพการงานของวอร์ด
ในปี พ.ศ. 2329 จอร์จ มอร์แลนด์ได้แต่งงานกับพี่สาวของเจมส์ วอร์ด และในเวลาเดียวกัน วิลเลียม วอร์ด น้องชายของเจมส์ ก็ได้แต่งงานกับน้องสาวของมอร์แลนด์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมช่วงต้นของอาชีพการเป็นศิลปินของเขา
2.2. การพัฒนาทางศิลปะและอาชีพช่วงต้น
ในช่วงต้นอาชีพของเจมส์ วอร์ดจนถึงปี พ.ศ. 2346 เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพี่เขยของเขาคือ จอร์จ มอร์แลนด์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ผลงานของเขา หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2346 เป็นต้นไป อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผลงานของเขาคือ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ จิตรกรชาวเฟลมิชชื่อดัง
ตั้งแต่วอร์ดมีอายุประมาณ 40 ปี เขาเริ่มมีความเชี่ยวชาญในการวาดภาพม้าที่อยู่ในฉากทิวทัศน์ และในเวลาต่อมา เขาก็หันมาสร้างสรรค์ภาพทิวทัศน์ขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ความสามารถและทักษะของเขาทำให้เขาได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกสมทบของราชบัณฑิตยสถานศิลปะ (Royal Academy of Artsภาษาอังกฤษ) ในปี พ.ศ. 2350 และต่อมาได้เป็นสมาชิกเต็มตัวในปี พ.ศ. 2354 ในช่วงแรกของอาชีพ เจมส์เริ่มต้นจากการเป็นช่างแกะสลัก โดยได้รับการฝึกฝนจากวิลเลียม น้องชายของเขา ความร่วมมือระหว่างสองพี่น้องวอร์ดนี้ได้ผลิตผลงานศิลปะอังกฤษที่ดีที่สุดในยุคสมัยนั้น โดยทักษะทางเทคนิคและศิลปะอันยอดเยี่ยมของพวกเขาได้สะท้อนถึงความสง่างามและเสน่ห์ของยุคสมัยได้อย่างงดงาม
2.3. บั้นปลายชีวิตและการเสียชีวิต

ในช่วงปี พ.ศ. 2358 ถึง พ.ศ. 2364 เจมส์ วอร์ดทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการวาดภาพขนาดมหึมาที่มีชื่อว่า 'อุปมานิทัศน์แห่งวอเตอร์ลู' (Allegory of Waterlooภาษาอังกฤษ) ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้รับคำชมมากนักและไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่วอร์ดคาดหวัง ประสบการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เขารู้สึกขมขื่น และชีวิตของเขายังต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมอื่น ๆ รวมถึงการเสียชีวิตของภรรยาคนแรกและลูกสาวคนหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2373 วอร์ดได้ย้ายไปอยู่ที่เชสฮันต์ (Cheshuntภาษาอังกฤษ) ในฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ พร้อมกับภรรยาคนที่สองของเขา แม้จะย้ายที่อยู่ เขายังคงทำงานศิลปะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลงานที่มีแนวคิดทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ในปี พ.S. 2398 เขามีภาวะสมองขาดเลือด (strokeภาษาอังกฤษ) ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป เจมส์ วอร์ดเสียชีวิตในความยากจนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 และถูกฝังอยู่ที่สุสานเคนซาลกรีน (Kensal Green Cemeteryภาษาอังกฤษ) อนุสรณ์สถานของเขาถูกสร้างขึ้นโดยจอห์น เฮนรี โฟลีย์ (John Henry Foleyภาษาอังกฤษ) ในปี พ.ศ. 2409
3. ผลงานหลักและโลกศิลปะ
3.1. ลักษณะและอิทธิพลทางศิลปะ
เจมส์ วอร์ดได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยของเขา ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และทักษะอันยอดเยี่ยมที่ทำให้เขาแตกต่างจากศิลปินร่วมสมัยส่วนใหญ่ ผลงานของเขาส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาศิลปะของอังกฤษ วอร์ดได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจิตรกรภาพสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเขา แต่ความสามารถของเขายังครอบคลุมถึงภาพประวัติศาสตร์ ภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ และภาพแนวชีวิตประจำวัน
เขามีพัฒนาการทางศิลปะที่ชัดเจน เริ่มแรกได้รับอิทธิพลจากจอร์จ มอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้แนะนำเขาให้รู้จักกับการวาดภาพสัตว์ จนทำให้เขามีชื่อเสียงในด้านนี้ ต่อมาเขาได้เปลี่ยนไปรับอิทธิพลจากปีเตอร์ พอล รูเบนส์ ซึ่งส่งผลให้ผลงานของเขามีความอลังการและพลังมากยิ่งขึ้น วอร์ดมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการวาดภาพม้าที่อยู่ในฉากทิวทัศน์ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา และในช่วงหลัง เขาก็หันมาสร้างสรรค์ภาพทิวทัศน์ขนาดใหญ่ที่แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความสามารถในการแกะสลักของเขาก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้อย่างหลากหลาย
3.2. ผลงานเด่น
เจมส์ วอร์ดมีผลงานโดดเด่นหลายชิ้นที่สะท้อนถึงความสามารถและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา

- กอร์เดล สการ์ (Gordale Scarภาษาอังกฤษ) สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2357 หรือ พ.ศ. 2358 ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของวอร์ดและเป็นผลงานชิ้นสำคัญของศิลปะโรแมนติกนิยมอังกฤษ ภาพนี้แสดงถึงกอร์เดล สการ์ (Gordale Scarภาษาอังกฤษ) ในยอร์กเชอร์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของแนวคิดสุบินศิลป์ (Sublimeภาษาอังกฤษ) ในปรัชญา ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่เทต (Tateภาษาอังกฤษ) ในลอนดอน
- อุปมานิทัศน์แห่งวอเตอร์ลู (Allegory of Waterlooภาษาอังกฤษ) เป็นผลงานขนาดมหึมาที่วอร์ดทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ระหว่างปี พ.ศ. 2358 ถึง พ.ศ. 2364 แม้ว่าผลงานชิ้นนี้จะมีความยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับคำชมมากนักและไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่เขาหวังไว้ ปัจจุบันภาพนี้ได้สูญหายไปแล้ว
- โจรขโมยกวาง (The Deer Stealerภาษาอังกฤษ) ภาพนี้ได้รับมอบหมายในปี พ.ศ. 2366 โดยผู้อุปถัมภ์ของวอร์ดคือ เธโอฟิลัส เลเวตต์ (Theophilus Levettภาษาอังกฤษ) ด้วยค่าจ้าง 500 กินี เมื่อผลงานเสร็จสมบูรณ์ เลเวตต์รู้สึกประทับใจมากและเพิ่มค่าจ้างให้เป็น 600 กินี วอร์ดเคยปฏิเสธข้อเสนอ 1,000 กินีจาก "ขุนนาง" เพื่อซื้อภาพนี้ ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่เทตในลอนดอน

นอกจากนี้ วอร์ดยังสร้างสรรค์ผลงานภาพบุคคลและภาพสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลเลเวตต์ เช่น ภาพ 'เธโอฟิลัส เลเวตต์ กำลังล่าสัตว์ที่วิชนอร์ สแตฟฟอร์ดเชอร์' (Theophilus Levett hunting at Wychnor, Staffordshireภาษาอังกฤษ) ในปี พ.ศ. 2360 และภาพ 'บาทหลวงโทมัส เลเวตต์กับสุนัขตัวโปรดของเขา ขณะยิงไก่' (The Reverend Thomas Levett and his favourite dogs, cock-shootingภาษาอังกฤษ) ในปี พ.ศ. 2354 รวมถึงภาพกลุ่มของบุตรทั้งสามของตระกูลเลเวตต์ ได้แก่ จอห์น เธโอฟิลัส และฟรานเซส เลเวตต์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2354


นอกจากภาพสำคัญข้างต้นแล้ว ผลงานของวอร์ดยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและฝีมืออันยอดเยี่ยมในหลายแขนง


เขายังคงสร้างสรรค์ผลงานในแนวทางที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพวาดสัตว์และการแสดงออกทางอารมณ์ในงานของเขา


ผลงานเด่นอื่น ๆ ของเขายังรวมถึง 'โรงสีแบบเหนือน้ำในเวลส์ (อาเบอร์ดูเลส)' (An Overshot Mill in Wales (Aberdulais)ภาษาอังกฤษ) ในปี พ.ศ. 2390
3.3. กิจกรรมในฐานะช่างแกะสลัก
ก่อนที่จะเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง เจมส์ วอร์ดเริ่มต้นอาชีพในฐานะช่างแกะสลัก โดยได้รับการฝึกฝนจากวิลเลียม วอร์ด ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งต่อมาได้แกะสลักผลงานภาพเขียนหลายชิ้นของเจมส์ ความร่วมมือระหว่างวิลเลียมและเจมส์ วอร์ดได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอังกฤษที่ดีที่สุดในยุคสมัยนั้น ฝีมือทางเทคนิคและศิลปะอันยอดเยี่ยมของทั้งสองพี่น้องได้นำไปสู่ภาพที่สะท้อนถึงความสง่างามและเสน่ห์ของยุคสมัยได้อย่างงดงาม
4. การประเมินและมรดก
4.1. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง

แม้เจมส์ วอร์ดจะเป็นศิลปินผู้มีความสามารถและได้รับการยอมรับจากผลงานหลายชิ้น แต่ชีวิตและอาชีพของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผลงานขนาดมหึมาอย่าง 'อุปมานิทัศน์แห่งวอเตอร์ลู' ซึ่งเป็นความพยายามครั้งสำคัญของเขา กลับไม่ได้รับคำชมมากนักและไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่คาดหวัง ประสบการณ์นี้อาจส่งผลให้เขารู้สึกขมขื่นและผิดหวังอย่างมากในบั้นปลายชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการสร้างสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานทางศิลปะกับความเป็นจริงทางการเงิน
การที่เขาเสียชีวิตในความยากจนก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสังเกตและเป็นข้อถกเถียง แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางในชีวิตของศิลปิน แม้จะมีความสามารถและได้รับการยกย่องในระดับหนึ่งก็ตาม สถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขายืนยันถึงความท้าทายที่ศิลปินจำนวนมากในยุคนั้นต้องเผชิญ แม้แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงก็ตาม
4.2. อิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง
เจมส์ วอร์ดนับเป็นหนึ่งในศิลปินที่โดดเด่นแห่งยุคสมัยของเขา ด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และทักษะที่ยอดเยี่ยม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการเติบโตของศิลปะอังกฤษ การเป็นจิตรกรภาพสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคของเขา ทำให้เขาสร้างมาตรฐานและแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลัง
ผลงานของเขายังคงได้รับการจดจำและเป็นที่กล่าวถึงในวัฒนธรรมสมัยนิยม ตัวอย่างเช่น หนึ่งในผลงานของวอร์ดได้ถูกนำไปใช้เป็นภาพปกอัลบั้ม มามูน่า (Mamounaภาษาอังกฤษ) ของนักดนตรีชาวอังกฤษ ไบรอัน เฟอร์รี (Bryan Ferryภาษาอังกฤษ) ซึ่งออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2537 การนำผลงานศิลปะของเขากลับมาใช้ในบริบทที่แตกต่างออกไปเช่นนี้ เป็นการยืนยันถึงความยืนยงและอิทธิพลของมรดกทางศิลปะของเจมส์ วอร์ดที่มีต่อคนรุ่นหลัง