1. ภาพรวม

เกออร์ค แดร์ทิงเงอร์ (Georg Dertingerเกออร์ค แดร์ทิงเงอร์ภาษาเยอรมัน; เกิด 25 ธันวาคม ค.ศ. 1902 - เสียชีวิต 21 มกราคม ค.ศ. 1968) เป็นนักการเมืองชาวเยอรมันผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเยอรมนีตะวันออก เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง ค.ศ. 1953 ชีวิตทางการเมืองของแดร์ทิงเงอร์มีความซับซ้อน โดยเริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวที่มีแนวคิดชาตินิยมฝ่ายขวา ก่อนที่จะหันมามีส่วนร่วมในการก่อตั้งพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ในเขตยึดครองของสหภาพโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล แต่บทบาทของเขากลับถูกมองว่าเป็นการเป็นตัวแทนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการมีส่วนร่วมของพรรค CDU ในแนวร่วมแห่งชาติที่ถูกครอบงำโดยพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง การสนับสนุนแนวทางความร่วมมือกับ SED และการมีส่วนร่วมในการขับไล่ยาค็อบ ไคเซอร์ ประธานพรรค CDU ที่มีแนวคิดอิสระออกจากตำแหน่ง ได้สะท้อนให้เห็นถึงการประนีประนอมกับอำนาจนิยมและเป็นการบั่นทอนหลักการประชาธิปไตยภายในพรรค ท้ายที่สุด แดร์ทิงเงอร์ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีในข้อหาจารกรรม ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีที่ถูกจัดฉากขึ้น (show trialโชว์ไทรอัลภาษาอังกฤษ) โดยระบอบคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงลักษณะอำนาจนิยมที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมของรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก และชะตากรรมของเขากลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเปราะบางของบุคคลภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เกออร์ค แดร์ทิงเงอร์เกิดที่เบอร์ลินในครอบครัวชนชั้นกลางนับถือโปรเตสแตนต์ เขาได้ศึกษาด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลาสั้น ๆ
3. อาชีพช่วงต้นและแนวโน้มทางการเมือง
หลังจากสำเร็จการศึกษา แดร์ทิงเงอร์เริ่มต้นอาชีพในฐานะนักข่าวและต่อมาเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ Magdeburger Volkszeitung (Magdeburger Volkszeitungมักเดอบวร์เกอร์ โฟล์คสไซทุงภาษาเยอรมัน) และหนังสือพิมพ์ชาตินิยม Der Stahlhelm (Der Stahlhelmแดร์ ชตัลเฮล์มภาษาเยอรมัน) อย่างไรก็ตาม เขาได้แยกตัวออกจาก แดร์ ชตัลเฮล์ม เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับแนวคิดชาตินิยมฝ่ายขวาที่แข็งกร้าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น แดร์ทิงเงอร์มีความเห็นอกเห็นใจกับพรรคประชาชนแห่งชาติเยอรมัน (DNVP) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฝ่ายขวา
4. กิจกรรมก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ต่อมาแดร์ทิงเงอร์ได้เข้าร่วมกลุ่มการเมืองของฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาได้เดินทางไปกับพาเพินในฐานะนักข่าวตัวแทนหนังสือพิมพ์ Hamburger Nachrichten (Hamburger Nachrichtenฮัมบวร์เกอร์ นัคริชเทินภาษาเยอรมัน) เพื่อร่วมพิธีลงนามไรช์คอนคอร์ดาต (Reichskonkordatไรช์คอนคอร์ดาตภาษาเยอรมัน) ระหว่างนาซีเยอรมนีและสันตะสำนักที่โรม ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ในปี ค.ศ. 1934 แดร์ทิงเงอร์กลับมายังเบอร์ลินและกลายเป็นผู้จัดพิมพ์ของ Dienst aus Deutschland (Dienst aus Deutschlandดีนสท์ เอาส์ ด็อยทช์ลันท์ภาษาเยอรมัน) ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่ให้บริการข่าวแก่หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ
5. กิจกรรมทางการเมืองในเยอรมนีตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง แดร์ทิงเงอร์ได้ร่วมก่อตั้งพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ในเขตยึดครองของโซเวียตในเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 ถึง ค.ศ. 1949 เขาได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไปของพรรค CDU ในเยอรมนีตะวันออก และระหว่างปี ค.ศ. 1949 ถึง ค.ศ. 1953 เขาเป็นรองประธานพรรค แดร์ทิงเงอร์สนับสนุนแนวทางความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่กุมอำนาจในเยอรมนีตะวันออก นอกจากนี้ เขายังได้เข้าร่วมสมาคมวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (Kulturbund der DDRคูลทัวร์บุนด์ แดร์ เดเดแอร์ภาษาเยอรมัน) และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการประธานของสมาคมดังกล่าว
5.1. บทบาทภายในพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนเยอรมนีตะวันออก (CDU)
ภายในพรรค CDU แดร์ทิงเงอร์ได้แสดงบทบาทที่สำคัญในการต่อต้านยาค็อบ ไคเซอร์ ซึ่งเป็นประธานพรรคที่มีแนวคิดเป็นอิสระและไม่ต้องการให้พรรคถูกครอบงำโดยพรรค SED แดร์ทิงเงอร์ได้มีส่วนร่วมในการขับไล่ไคเซอร์ออกจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1947 การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนความเป็นอิสระและหลักการประชาธิปไตยภายในพรรค CDU ซึ่งเป็นการปูทางให้พรรค SED สามารถควบคุมและรวมอำนาจทางการเมืองในเยอรมนีตะวันออกได้ง่ายขึ้น
6. การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1949 แดร์ทิงเงอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของเยอรมนีตะวันออก ในคณะรัฐมนตรีของอ็อทโท โกรเทอโวล อย่างไรก็ตาม บทบาทของเขามักถูกมองว่าเป็นเพียงตำแหน่งตัวแทน (figureheadฟิกเกอร์เฮดภาษาอังกฤษ) เพื่อให้แน่ใจว่าพรรค CDU จะมีส่วนร่วมในแนวร่วมแห่งชาติที่ถูกครอบงำโดยพรรค SED การตัดสินใจที่สำคัญส่วนใหญ่จะมาจากอันทอน อัคเคอร์มันน์ ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งต่อจากเขา ในปี ค.ศ. 1950 แดร์ทิงเงอร์ได้ลงนามในสนธิสัญญาโอเดอร์-ไนเซอ (Oder-Neiße-Vertragโอเดอร์-ไนเซอ-แฟร์ทรากภาษาเยอรมัน) กับโปแลนด์ ซึ่งเป็นการกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างเยอรมนีตะวันออกและสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์
7. การจับกุม การพิจารณาคดี และการจำคุก
ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1953 แดร์ทิงเงอร์ถูกจับกุมในข้อหากิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อเยอรมนีตะวันออก และในปี ค.ศ. 1954 เขาถูกนำตัวขึ้นศาลในการพิจารณาคดีที่ถูกจัดฉากขึ้น (show trialโชว์ไทรอัลภาษาอังกฤษ) ในข้อหาจารกรรม เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 15 ปีพร้อมกับการใช้แรงงานหนัก
8. การอภัยโทษและช่วงบั้นปลายชีวิต
ในปี ค.ศ. 1964 แดร์ทิงเงอร์ได้รับการอภัยโทษ ก่อนเสียชีวิต เขาได้ทำงานให้กับสำนักพิมพ์ โรมันคาทอลิก St. Benno (St. Benno Verlagซังต์ แบนโน แฟร์ลากภาษาเยอรมัน)
9. การประเมินและผลกระทบ
ชีวิตและอาชีพทางการเมืองของเกออร์ค แดร์ทิงเงอร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของบุคคลที่ต้องดำเนินชีวิตและมีบทบาทภายใต้ระบอบการปกครองแบบอำนาจนิยม การเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการเมืองของเขาจากชาตินิยมฝ่ายขวาในยุคก่อนสงครามมาสู่การเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้นำของพรรค CDU ในเยอรมนีตะวันออก ซึ่งต่อมาได้ให้ความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ SED แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวหรือการประนีประนอมกับอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไป
บทบาทของเขาในการขับไล่ยาค็อบ ไคเซอร์ออกจากตำแหน่งประธานพรรค CDU ในปี ค.ศ. 1947 ถือเป็นการกระทำที่สำคัญซึ่งบั่นทอนความเป็นอิสระและหลักการประชาธิปไตยภายในพรรค CDU อย่างรุนแรง การกระทำนี้ช่วยให้พรรค SED สามารถรวมอำนาจและควบคุมการเมืองในเยอรมนีตะวันออกได้ง่ายขึ้น ทำให้พรรค CDU กลายเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบคอมมิวนิสต์เท่านั้น
แม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรก แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าบทบาทของเขาเป็นเพียงตำแหน่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง ซึ่งเน้นย้ำถึงการครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จของพรรค SED ในรัฐบาล การถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาจารกรรมในปี ค.ศ. 1953 ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีที่ถูกจัดฉากขึ้นนั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงลักษณะที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมและความโหดร้ายของระบอบเยอรมนีตะวันออก ที่สามารถกำจัดบุคคลใดก็ได้ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเคยให้ความร่วมมือมาก่อนก็ตาม ชะตากรรมของแดร์ทิงเงอร์จึงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเปราะบางของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ