1. ชีวิตช่วงต้นและอาชีพการงาน
อิงเงอร์ สตอยแบร์ มีพื้นเพมาจากครอบครัวชนบท และเริ่มต้นอาชีพการงานในสายการสื่อสาร ก่อนจะผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมือง
1.1. วัยเด็กและการศึกษา
สตอยแบร์เติบโตขึ้นในหมู่บ้านแยร์ก (Hjerk) ใกล้กับเมืองซอลลิง (Salling) โดยเป็นบุตรสาวของแม่บ้านและเกษตรกร เธอสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมอร์เซอ ยิมเนเซียม (Morsø Gymnasium) ในเมืองนือกือปิง มอรส์ (Nykøbing Mors) ในปี 1993 ในปี 1995 เธอสำเร็จการศึกษาหนึ่งปีจากหลักสูตรการค้าขั้นสูงที่โรงเรียนธุรกิจไวบอร์ก (Viborg School of Business) ในเมืองไวบอร์ก และในปีต่อมาที่โรงเรียนเดียวกัน เธอได้เริ่มเรียนหลักสูตรหนึ่งปีด้านการสื่อสารทางเศรษฐกิจ ในปี 1999 เธอสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาด้านการจัดการการสื่อสารจากสถาบันอินฟอร์มาซิยงส์อคาเดเมียต (InformationsAkademiet) ซึ่งปัจจุบันปิดตัวลงแล้ว ในปี 2013 สตอยแบร์ได้รับปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) จากมหาวิทยาลัยออลบอร์ก (University of Aalborg)
1.2. อาชีพการงานช่วงต้น
หลังจากสำเร็จการศึกษาในปี 1999 เธอเข้าร่วมหนังสือพิมพ์ ไวบอร์ก บลาเด็ต (Viborg Bladet) ในฐานะนักข่าวฝึกหัด ก่อนที่จะเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ในปี 2001 หลังจากนั้น เธอได้ลาออกจากตำแหน่งและก่อตั้งธุรกิจที่ปรึกษาด้านการสื่อสารของตนเองในชื่อ สตอยแบร์ คอมมูนิเคชัน (Støjberg Kommunikation) ในปี 2004 สตอยแบร์ยังได้ตีพิมพ์ชีวประวัติอย่างเป็นทางการของคู่ดูโอแนวป็อปจากนอร์ดยุตแลนด์ชื่อ ซุสซี อ็อก เลโอ (Sussi og Leo)
2. อาชีพทางการเมือง
เส้นทางการเมืองของอิงเงอร์ สตอยแบร์โดดเด่นด้วยการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ระดับรัฐสภาและการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายวาระ
2.1. กิจกรรมทางการเมืองช่วงต้น
อิงเงอร์ สตอยแบร์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งครั้งแรกในฐานะสมาชิกสภาเทศบาลเมืองไวบอร์ก ตั้งแต่ปี 1994 ถึง 2002 นอกจากนี้ เธอยังเคยดำรงตำแหน่งประธานของ ลิบอรัลต์ ออปลืสนิงส์ ฟอร์บุนด์ (LOF) หรือสหภาพเพื่อการศึกษาเสรี ระหว่างปี 1996 ถึง 1999 ในปี 1999 เธอได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้รับเลือก อย่างไรก็ตาม ด้วยชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเวนสเตรในปี 2001 ซึ่งในขณะนั้นนำโดยอันเนิร์ส โฟก รัสมุสเซิน เธอก็ได้เข้าสู่รัฐสภาเป็นครั้งแรก
2.2. กิจกรรมในรัฐสภาและการนำพรรค

ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา สตอยแบร์เป็นสมาชิกคณะผู้บริหารของพรรคเวนสเตร ระหว่างปี 2005 ถึง 2007 เธอเป็นรองประธานคณะผู้บริหารของพรรคในรัฐสภา และตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2022 เธอเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งยุตแลนด์ตะวันตก ระหว่างปี 2007 ถึง 2009 สตอยแบร์ยังทำหน้าที่เป็นโฆษกพรรคเวนสเตรอีกด้วย
ในเดือนธันวาคม 2020 สตอยแบร์ได้ลาออกจากตำแหน่งรองประธานพรรคเวนสเตร ตามคำขอของยาคอบ เอลเลมันน์-เยนเซิน (Jakob Ellemann-Jensen) ประธานพรรค ก่อนหน้านั้น พรรคเวนสเตรเคยสนับสนุนการถอดถอนสตอยแบร์ออกจากตำแหน่ง อันเนื่องมาจากคำสั่งในปี 2016 ที่กระทรวงของเธอสั่งให้แยกคู่รักผู้ลี้ภัยออกจากกัน ซึ่งเป็นนโยบายที่ผิดกฎหมาย เมื่อสตอยแบร์กล่าวว่าเธอไม่สนับสนุนกระบวนการถอดถอนตนเอง เอลเลมันน์-เยนเซินจึงขอให้เธอลาออก และยังกล่าวอ้างว่าเธอไม่ซื่อสัตย์ต่อแนวทางของพรรคมาก่อนหน้า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 สตอยแบร์ได้ลาออกจากพรรคเวนสเตร
2.3. บทบาทในตำแหน่งรัฐมนตรี
หลังจากการที่อันเนิร์ส โฟก รัสมุสเซิน หัวหน้ารัฐบาลได้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ในนาโต ในเดือนเมษายน 2009 สตอยแบร์ก็ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเท่าเทียมทางเพศ โดยดำรงตำแหน่งต่อจากเคลาส์ ยอร์ต เฟรเดอริกเซน (Claus Hjort Frederiksen) ในปี 2010 มีการปรับโครงสร้างกระทรวงต่างๆ และสตอยแบร์ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งพรรคฝ่ายอนุรักษ์พ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2011
ในช่วงที่พรรคเป็นฝ่ายค้าน สตอยแบร์กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสาธารณะชั้นนำของพรรค และได้ดำรงตำแหน่งโฆษกพรรคเวนสเตรอีกครั้งตั้งแต่ปี 2014 จนถึงชัยชนะในการเลือกตั้งในปี 2015 นอกจากนี้ เธอยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเข้าเมืองและการบูรณาการระหว่างเดือนมิถุนายน 2015 ถึง 2019
3. ข้อโต้แย้งและกระบวนการทางกฎหมายที่สำคัญ
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อิงเงอร์ สตอยแบร์ เผชิญกับข้อโต้แย้งมากมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านการเข้าเมือง ซึ่งหลายนโยบายส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและนำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาคดีถอดถอนออกจากตำแหน่ง
3.1. ข้อโต้แย้งด้านนโยบายการเข้าเมืองและผู้ลี้ภัย
สตอยแบร์เป็นผู้นำในการเข้มงวดกฎหมายการขอลี้ภัยของเดนมาร์ก ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2015 กฎหมายนี้ได้จำกัดการจัดหาสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ลี้ภัย และยังระบุว่าควรทำให้เดนมาร์กไม่น่าดึงดูดสำหรับผู้ขอลี้ภัยที่จะเดินทางเข้ามา สตอยแบร์สร้างความขัดแย้งด้วยการเปิดตัวแคมเปญโฆษณาเตือนผู้ที่ต้องการขอลี้ภัยในเดนมาร์ก โดยมีการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เลบานอน และมีแผนที่จะลงโฆษณาในที่พักของผู้ขอลี้ภัยด้วยภาษาที่แตกต่างกันสิบภาษา รวมถึงเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
นอกจากนี้ "กฎหมายเครื่องประดับ" ซึ่งถูกนำมาใช้ภายใต้การนำของสตอยแบร์ และกำหนดให้ผู้ขอลี้ภัยที่อยู่บริเวณชายแดนต้องมอบทรัพย์สินมีค่าส่วนหนึ่งให้เป็นหลักประกันสำหรับค่าบริการในอนาคต ได้รับการรายงานอย่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อภาษาอังกฤษ ซึ่งในบริบทนี้ นักวิจารณ์บางคนยังเปรียบเทียบกฎหมายนี้กับลัทธินาซีอีกด้วย
ในเดือนมีนาคม 2017 สตอยแบร์ได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศอีกครั้ง เมื่อเธอโพสต์ภาพถ่ายและเผยแพร่บนเฟซบุ๊ก เป็นภาพเค้กที่เธอจัดขึ้นเพื่อฉลองการบังคับใช้กฎหมายการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นเป็นครั้งที่ 50 ในระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเข้าเมือง
สตอยแบร์ยังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการบังคับใช้พระราชบัญญัติคนต่างด้าว (Aliens Act) อย่างเป็นที่ถกเถียง ซึ่งใช้เพื่อดำเนินคดีกับศาสตราจารย์ที่ไม่ใช่ชาวเดนมาร์กที่พูดหรือเขียนในที่สาธารณะ โดยตีความว่าเป็นการละเมิดเงื่อนไขวีซ่าทำงานของพวกเขา
ในเดือนพฤษภาคม 2018 สตอยแบร์ได้ตีพิมพ์บทความผ่านหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของเดนมาร์กชื่อ B.T. โดยกล่าวว่าชาวมุสลิมที่ถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนควรลาหยุดงาน "เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อสังคมเดนมาร์กโดยรวม" สตอยแบร์ยกตัวอย่างคนขับรถบัสว่าเป็นคนงานที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการงดอาหารและเครื่องดื่ม ความคิดเห็นของเธอทำให้เกิดการต่อต้านจากนักการเมืองเดนมาร์กคนอื่นๆ โฆษกของรัฐบาลเดนมาร์กออกแถลงการณ์ยืนยันว่าความคิดเห็นของสตอยแบร์เป็นความคิดเห็นส่วนตัวและไม่สะท้อนถึงมุมมองของรัฐบาล นอกจากนี้ บริษัทรถบัสหลายแห่งยังปฏิเสธความคิดเห็นของสตอยแบร์ โดยบริษัทอาร์รีวา (Arriva) ซึ่งดำเนินงานเส้นทางรถบัสหลายสายในเดนมาร์ก รายงานว่าไม่เคยมีอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับคนขับรถที่ถือศีลอดเลย
3.2. คำสั่งแยกคู่รักผู้ขอลี้ภัยที่เป็นเยาวชน
สตอยแบร์ถูกสอบสวนหลายครั้งเกี่ยวกับคำสั่งจากปี 2016 เมื่อเธอได้สั่งให้แยกคู่รักในศูนย์ผู้ลี้ภัยที่ซึ่งบุคคลหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเป็นผู้เยาว์ โดยบางคู่มีบุตรด้วยกัน คำสั่งดังกล่าวถือเป็นผิดกฎหมายและละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) และสตอยแบร์ได้กล่าวคำโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ในรัฐสภา หลังจากนั้น เธอไม่สามารถรายงานรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อผู้ตรวจการรัฐสภาได้
ในเดือนมกราคม 2020 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการรัฐสภาเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ โดยคณะกรรมการดังกล่าวได้ตรวจสอบว่าสตอยแบร์ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กหรืออนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (European Convention on Human Rights) หรือไม่ ซึ่งทั้งสองฉบับเป็นอนุสัญญาที่เดนมาร์กต้องปฏิบัติตาม
3.3. การพิจารณาคดีถอดถอนและคำพิพากษา
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 รัฐสภาได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 141 ต่อ 30 (โดยต้องการคะแนนเสียง 90 เสียงสำหรับการตัดสินใจส่วนใหญ่) เห็นชอบให้เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีถอดถอนในศาลถอดถอนแห่งเดนมาร์กต่อสตอยแบร์ สตอยแบร์ถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในข้อหาประพฤติมิชอบและการกระทำผิดทางบริหารตามพระราชบัญญัติความรับผิดชอบของรัฐมนตรีและอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (มาตรา 8) โดยการแยกคู่รักในศูนย์ผู้ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งในคู่รักเหล่านั้นมีบุคคลหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเป็นผู้เยาว์ และบางรายมีบุตรด้วยกัน
ในวันที่ 13 ธันวาคม 2021 สตอยแบร์ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินจำคุก 60 วัน ส่งผลให้เธอต้องเสียตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา และถูกแทนที่โดยกิทเทอ วิลลุมเซิน (Gitte Willumsen)
4. การก่อตั้งพรรคเดนมาร์กเดโมแครต
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 สตอยแบร์ได้ลาออกจากพรรคเวนสเตร หลังจากนั้นในเดือนมิถุนายน 2022 เธอได้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อเดนมาร์กเดโมแครต (Denmark Democrats - Inger Støjberg)
5. กิจกรรมอื่น ๆ และงานการกุศล
สตอยแบร์ยังเป็นผู้จัดงานระดมทุนเพื่อการกุศลในชื่อ "เราจำดาร์ฟูร์ได้" (We remember Darfur) ซึ่งสามารถระดมเงินได้มากกว่า 300.00 K DKK เพื่อช่วยเหลือสตรีและเด็กในดาร์ฟูร์ เงินที่ระดมได้ถูกมอบให้แก่องค์กรนอร์วีเจียนเชิร์ชส์เอด (Norwegian Church's Aid) ในวันที่ 19 เมษายน 2007 ณ คอนเสิร์ตการกุศลที่อาคารบอร์เซิน (Børsen)
6. ชีวิตส่วนตัว
ในปี 2006 สตอยแบร์แต่งงานกับเยสเปร์ เบยโนฟ (Jesper Beinov) ซึ่งเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ แบร์ลิงส์เกอ (Berlingske) มาเป็นเวลานาน และตั้งแต่ปี 2016 เขาได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับกระทรวงการคลังของเดนมาร์ก ทั้งคู่ไม่มีบุตรและได้หย่าร้างกันในปี 2012 ปัจจุบันสตอยแบร์อาศัยอยู่ในเมืองฮาดสุนด์ (Hadsund)
7. ผลงานตีพิมพ์
- ชีวประวัติของคู่ดูโอ ซุสซี อ็อก เลโอ (2004)
- เส้นทางชีวิตของอิสลามคือปัญหา (The Islamic Way of Life is the Problem)
8. การประเมินและผลกระทบ
อิงเงอร์ สตอยแบร์ เป็นบุคคลสำคัญที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองเดนมาร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการเข้าเมือง นโยบายและการกระทำของเธอก่อให้เกิดทั้งการสนับสนุนอย่างแข็งขันและคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
8.1. การประเมินในเชิงบวก
ข้อมูลในแหล่งที่มาไม่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินในเชิงบวกเป็นการเฉพาะ
8.2. คำวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง
สตอยแบร์เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับนโยบายที่เข้มงวดด้านการเข้าเมืองและผู้ลี้ภัย เช่น การจำกัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ขอลี้ภัย และการบังคับใช้ "กฎหมายเครื่องประดับ" ที่กำหนดให้ผู้ขอลี้ภัยต้องมอบทรัพย์สินมีค่า ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าคล้ายคลึงกับแนวปฏิบัติของลัทธินาซี นอกจากนี้ คำสั่งของเธอที่ให้แยกคู่รักผู้ขอลี้ภัยที่เป็นผู้เยาว์ออกจากกันยังถูกตัดสินว่าผิดกฎหมายและละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอย่างชัดเจน การกระทำของเธอในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเข้าเมือง การบูรณาการ และที่อยู่อาศัย รวมถึงการโกหกต่อรัฐสภาเกี่ยวกับคำสั่งที่ผิดกฎหมาย นำไปสู่การฟ้องร้องถอดถอนและถูกตัดสินจำคุก ซึ่งสะท้อนถึงการละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน
ความคิดเห็นของเธอเกี่ยวกับชาวมุสลิมในช่วงเดือนรอมฎอนที่แนะนำให้งดการทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อสังคมเดนมาร์กก็เป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรง และถูกปฏิเสธจากทั้งรัฐบาลและบริษัทขนส่ง นี่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและความแตกแยกทางสังคม
8.3. อิทธิพลทางการเมืองและมรดกตกทอด
แม้จะเผชิญกับการพิจารณาคดีถอดถอนและคำพิพากษาจำคุก แต่อิงเงอร์ สตอยแบร์ก็ยังคงมีอิทธิพลสำคัญต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของเดนมาร์ก การก่อตั้งพรรคเดนมาร์กเดโมแครตหลังจากการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเธอในการผลักดันนโยบายที่เข้มงวดด้านการเข้าเมืองและการบูรณาการต่อไป อิทธิพลของเธอได้กำหนดทิศทางการอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ในเดนมาร์กอย่างมีนัยสำคัญ และยังคงเป็นบุคคลที่สร้างความแบ่งแยกแต่ทรงพลังในแวดวงการเมืองเดนมาร์ก