1. ภาพรวม
แอสแมต โอล-โมลูก ดาวลัตชาไฮ (عصمتالملوک دولتشاهیแอสแมตโอลโมลูก ดาวลัตชาไฮภาษาเปอร์เซีย) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2448 และเสด็จสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชาวอิหร่าน และเป็นพระมเหสีพระองค์ที่สี่และพระองค์สุดท้ายของพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในฐานะพระมเหสีและพระมารดาของพระราชบุตรห้าพระองค์ของพระเจ้าราชาชาห์ และทรงใช้ชีวิตในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ปาห์ลาวี รวมถึงทรงประสบกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอิหร่าน เช่น การเนรเทศพระราชสวามี และการปฏิวัติอิสลาม
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2448 พระองค์ทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์กอญัร ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่เคยปกครองอิหร่านมาก่อนราชวงศ์ปาห์ลาวี พระบิดาของพระองค์คือ โฆลาม อาลี มีร์ซา "โมจาลาล ดาวละห์" ดาวลัตชาไฮ (พ.ศ. 2421-2477) และพระมารดาคือ ม็อบตาเฮดจ์-อ็อด-ดาวละห์ ซึ่งเป็นธิดาของ เอบเตฮัดจ์ ซัลตาเนห์ และ อาบู นาสร์ มีร์ซา เฮสซัม ซัลตาเนห์ ที่ 2 พระอัยกาฝ่ายพระบิดาของพระองค์คือ เฮสซัม-ซัลตาเนห์ ที่ 1 พระองค์ทรงมีพระเชษฐา/อนุชาสองพระองค์และพระขนิษฐา/ภคินีหนึ่งพระองค์คือ อัชราฟ ซัลตาเนห์ ที่ 2 ในช่วงที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์ กริยา และมารยาททางสังคม เมห์รังกิซ ดาวลัตชาไฮ ซึ่งเป็นสมาชิกของรัฐสภาอิหร่าน (มาจลิส) และเคยเป็นเอกอัครราชทูตอิหร่าน เป็นพระญาติของพระองค์
3. การอภิเษกสมรสกับพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี

เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่พระเจ้าราชาชาห์ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม พระองค์ทรงเป็นพระมเหสีพระองค์ที่สี่ พระองค์สุดท้าย และเป็นพระมเหสีที่พระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ทรงโปรดปรานมากที่สุด จากการอภิเษกสมรสครั้งนี้ มีพระราชบุตรประสูติห้าพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอับดุล เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าชายอะห์มัด เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าชายมาห์มุด เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าหญิงฟาติเมห์ ปาห์ลาวี และ เจ้าชายฮามิด เรซา ปาห์ลาวี
4. ชีวิตในฐานะพระมเหสี
หลังจากพระเจ้าราชาชาห์ทรงขึ้นเป็นชาห์แห่งอิหร่านในปี พ.ศ. 2468 เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ และพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี พร้อมด้วยพระราชบุตร ทรงประทับอยู่ในพระราชวังหินอ่อน ซึ่งเป็นพระราชวังอันงดงามในกรุงเตหะราน แม้ว่าเจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ จะทรงเป็นพระมเหสีที่พระเจ้าราชาชาห์ทรงโปรดปราน แต่ก็เป็นทัจ ออล-โมลูก พระมเหสีองค์ที่สองของพระองค์ ที่ได้รับบทบาทสาธารณะในฐานะสมเด็จพระราชินี สถานการณ์นี้ทำให้ทัจ ออล-โมลูก ไม่พอใจ เนื่องจากความหึงหวงที่มีต่อเจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ซึ่งพระองค์ได้เปิดเผยไว้ในบันทึกความทรงจำของพระองค์ การแบ่งบทบาทสาธารณะในราชสำนักนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานะและบทบาทที่แตกต่างกันของพระมเหสีในยุคนั้น
5. การเนรเทศและการเดินทางกลับอิหร่าน
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2484 เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ทรงติดตามพระราชสวามีไปยังประเทศมอริเชียส เมื่อพระเจ้าราชาชาห์ทรงถูกเนรเทศไปที่นั่น อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้เสด็จนิวัติกลับอิหร่านหลังจากนั้นไม่กี่เดือน
6. ชีวิตหลังการสวรรคตของพระเจ้าราชาชาห์
หลังจากพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี พระราชสวามีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2487 เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ได้ทรงเสกสมรสใหม่กับ มอห์เซน ราซิ การเสกสมรสครั้งนี้ทำให้พระองค์ต้องทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์และกลับสู่ฐานะสามัญชนในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้คืนพระอิสริยยศให้แก่พระองค์ในเวลาต่อมา เนื่องจากพระองค์ทรงไม่มีพระบุตรร่วมกับพระสวามีคนใหม่ และยังคงเป็นพระราชมารดาของพระราชโอรสในพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ซึ่งเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ปาห์ลาวี
7. ชีวิตหลังการปฏิวัติอิสลาม
เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ ทรงพำนักอยู่ในอิหร่านต่อไปภายหลังการปฏิวัติอิสลาม พ.ศ. 2522 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของราชวงศ์ปาห์ลาวี ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2523 พระองค์ได้เสด็จเยือนพิพิธภัณฑ์พระเจ้าราชาชาห์ ปาห์ลาวี ที่โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้
8. การสิ้นพระชนม์

เจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ เสด็จสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สิริพระชนมายุ 90 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่สุสานเบเฮชต์-อี ซะห์รา ซึ่งเป็นสุสานขนาดใหญ่ในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน
9. การประเมินและมรดก
ข้อมูลเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการประเมินทางประวัติศาสตร์หรือมรดกของเจ้าหญิงแอสแมต ดาวลัตชาไฮ โดยตรงนั้นมีจำกัดในแหล่งข้อมูลที่พบ อย่างไรก็ตาม ในฐานะพระมเหสีองค์สุดท้ายและเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าราชาชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ปาห์ลาวี และในฐานะพระมารดาของพระราชบุตรหลายพระองค์ พระองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์และประเทศอิหร่านในช่วงศตวรรษที่ 20 ชีวิตของพระองค์สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองและสังคมของอิหร่าน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์กอญัรไปจนถึงการก่อตั้งราชวงศ์ปาห์ลาวี และการปฏิวัติอิสลามในที่สุด