1. ภาพรวม
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส มาเกโดนิคุส (Lucius Aemilius Paullus Macedonicusภาษาละติน ประมาณ 229 ปีก่อนคริสตกาล - 160 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นนายพลและนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลแห่งสาธารณรัฐโรมัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขยายอำนาจของโรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิชิตมาซิโดเนียในสงครามมาซิโดเนียครั้งที่สาม เขาเป็นผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงคือตระกูลไอมิลิอุส ปาอุลลุส แม้ว่าความสำเร็จทางทหารและการเมืองของเขาจะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง แต่ผลลัพธ์จากชัยชนะของเขา เช่น การปล้นสะดมเอพิรุสและการทำให้ประชาชนจำนวนมากตกเป็นทาส ก็เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประวัติศาสตร์ถึงผลกระทบอันเลวร้ายต่อสังคมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส เกิดเมื่อประมาณ 229 ปีก่อนคริสตกาล ในตระกูลไอมิลิอุส ปาอุลลุส ซึ่งเป็นตระกูลแพทริเซียนเก่าแก่และทรงอิทธิพลแห่งสาธารณรัฐโรมัน ตระกูลนี้มีอิทธิพลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสะสมความมั่งคั่งและการเป็นพันธมิตรกับตระกูลคอร์เนลิอิ สกีปิโอเนส
2.1. ครอบครัวและวัยเยาว์
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส เป็นบุตรชายของลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกงสุลในปี 219 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นที่รู้จักจากการพ่ายแพ้และเสียชีวิตในยุทธการคันนายเมื่อ 216 ปีก่อนคริสตกาล ขณะที่ปาอุลลุสยังเป็นเด็กหนุ่ม บิดาของเขาในยุคนั้นเป็นผู้นำตระกูลสาขาไอมิลิอุส ปาอุลลุส ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับตระกูลสกีปิโอ โดยมีความเชื่อมโยงกันทั้งจากการแต่งงานและผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้เขามีภูมิหลังทางสังคมและการศึกษาที่เข้มแข็ง บุตรชายของปาอุลลุสในภายหลัง ได้แก่ สกีปิโอ ไอมิเลียนุส และฟาบิอุส ได้รับการสอนโดยโปลิบิอุส เพื่อนของปาอุลลุส
3. อาชีพช่วงต้น
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพทางการเมืองและการทหารในสาธารณรัฐโรมัน โดยก้าวผ่านขั้นตอนต่างๆ ใน เคอร์ซุส โฮโนรุม (cursus honorum) ซึ่งเป็นลำดับตำแหน่งทางการเมืองมาตรฐานของโรมัน
3.1. เส้นทางอาชีพ
หลังจากเสร็จสิ้นการรับราชการทหาร ปาอุลลุสได้รับการเลือกตั้งเป็นตรีบูนทหาร และต่อมาเป็นเอดิล (curule aedile) ในปี 193 ปีก่อนคริสตกาล ในระหว่างดำรงตำแหน่งเอดิล เขาได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง เช่น การจัดระเบียบแม่น้ำไทเบอร์ และการสร้างระเบียงทางเดินบริเวณพอร์ตา ตริเจมินาและพอร์ตา ฟอนตินาลิส ซึ่งเป็นประตูเมืองสำคัญของกรุงโรม เขาได้นำเงินที่ได้จากการปรับค่าธรรมเนียมจากผู้เลี้ยงปศุสัตว์จำนวนมากไปใช้ในการอุทิศให้กับจูปิเตอร์ หลังจากตำแหน่งเอดิล เขาได้รับเลือกเป็นออเกอร์ (augur) ซึ่งเป็นตำแหน่งปุโรหิตผู้ทำนายโชคชะตาในปี 192 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่จะก้าวสู่ตำแหน่งพรีเตอร์ (praetor) ในปี 191 ปีก่อนคริสตกาล แม้จะมีความสามารถ แต่เขาล้มเหลวในการได้รับเลือกเป็นกงสุลอยู่หลายปี อย่างไรก็ตาม ปาอุลลุสได้รับเลือกเป็นกงสุลครั้งแรกในปี 182 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีกเนอุส บาเอลิอุส แทมปิลุส เป็นเพื่อนร่วมงาน ในปีต่อมา (181 ปีก่อนคริสตกาล) เขาได้รับอำนาจแบบ โปรคอนซุล (proconsular imperium) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทางทหารในลิกูเรีย โดยเผชิญหน้ากับชนเผ่าอิงกาอุนิ
3.2. กิจกรรมทางการทหารช่วงต้น
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งพรีเตอร์ในปี 191 ปีก่อนคริสตกาล ปาอุลลุสได้นำทัพเข้าปราบปรามชนเผ่าลูซิทาเนียในจังหวัดฮิสปาเนีย (Hispania Ulterior) ตั้งแต่ปี 191 ถึง 189 ปีก่อนคริสตกาล แม้จะเผชิญกับการพ่ายแพ้ในตอนแรก แต่เขาก็ได้รับชัยชนะในที่สุด ในปี 189 ปีก่อนคริสตกาล เขายังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะผู้แทนสิบคน เพื่อเจรจาทำสนธิสัญญาสันติภาพกับพระเจ้าแอนติโอคัสที่ 3 แห่งจักรวรรดิเซลูซิด ในช่วงปลายของสงครามโรมัน-ซีเรีย (Roman-Syrian War) นอกจากนี้ ในฐานะโปรคอนซุลในลิกูเรียในปี 181 ปีก่อนคริสตกาล เขายังต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าอิงกาอุนิอีกครั้ง แม้จะมีการตกลงพักรบกัน แต่กองทัพของเขาก็ถูกโจมตีแบบฉับพลันและถูกผลักดันกลับเข้าค่าย ปาอุลลุสตัดสินใจนำทัพออกสู้ และด้วยความกล้าหาญ เขาได้ปลุกขวัญกำลังใจทหารโดยกล่าวว่าศัตรูเหล่านี้นั้นด้อยกว่าข้าศึกที่แข็งแกร่งอย่างฮันนิบาล พระเจ้าฟิลิปที่ 5 และพระเจ้าแอนติโอคัสที่ 3 เขาเอาชนะศัตรูที่ประมาทและปราบปรามโจรสลัดได้สำเร็จ ซึ่งนำไปสู่การเฉลิมฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้าสามวันในกรุงโรม
4. สงครามมาซิโดเนียครั้งที่สามและกิจกรรมหลังสงคราม
ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส คือบทบาทนำของเขาในสงครามมาซิโดเนียครั้งที่สาม ซึ่งเป็นชัยชนะที่สร้างชื่อเสียงทางการทหารให้เขาอย่างมหาศาล และยังรวมถึงการจัดการดินแดนหลังสงครามที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
4.1. การดำรงตำแหน่งกงสุลครั้งที่สอง (168 ปีก่อนคริสตกาล) และยุทธการพิดนา

สงครามมาซิโดเนียครั้งที่สามปะทุขึ้นในปี 171 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อพระเจ้าเปอร์เซอุสแห่งมาซิโดเนียเอาชนะกองทัพโรมันที่นำโดยกงสุล ปุบลิอุส ลิกินิอุส คราสซุส ในยุทธการคัลลินิคัส หลังจากการสู้รบที่ยืดเยื้อและไม่มีผลเด็ดขาดอยู่สองปี ปาอุลลุสได้รับเลือกเป็นกงสุลอีกครั้งในปี 168 ปีก่อนคริสตกาล (โดยมีไกอุส ลิกินิอุส คราสซุส เป็นเพื่อนร่วมงาน) ในฐานะกงสุล เขาได้รับมอบหมายจากวุฒิสภาให้จัดการกับสงครามมาซิโดเนียนี้ เพียงไม่นานหลังจากนั้น ในวันที่ 22 มิถุนายน เขาได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธการพิดนา ซึ่งทำให้พระเจ้าเปอร์เซอุสถูกจับเป็นเชลย และส่งผลให้สงครามมาซิโดเนียครั้งที่สามสิ้นสุดลง พร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์แอนติโกนิดในมาซิโดเนียอย่างสมบูรณ์
ระหว่างการทัพนี้ มีรายงานว่าปาอุลลุสสั่งสังหารผู้นำชาวมาซิโดเนีย 500 คนที่ต่อต้านการปกครองของโรมัน และบังคับให้ผู้คนจำนวนมากถูกพาตัวไปยังกรุงโรม พร้อมทั้งริบทรัพย์สินของพวกเขาในนามของโรมัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าเขาได้สั่งให้ช้างเหยียบทหารต่างชาติที่หลบหนี เพื่อเป็นการลงโทษที่รุนแรงเฉกเช่นเดียวกับที่สกีปิโอ แอฟริกานุสเคยทำ เขายังใช้กลยุทธ์การแกล้งถอยทัพ และสั่งให้ทหารม้าของเขาใช้โล่ทำลายซาริสซา (sarissa) ของฟาลังซ์ข้าศึกเพื่อบั่นทอนขวัญกำลังใจ ในการรบครั้งนี้ มิซาเกเนส บุตรชายของมาซินิสซา ก็ได้เข้าร่วมด้วย
4.2. การจัดการหลังสงครามและการปล้นสะดมเอพิรุส
ในปี 167 ปีก่อนคริสตกาล วุฒิสภาได้สั่งให้ปาอุลลุสกลับกรุงโรม แต่ก่อนหน้านั้นให้ทำการปล้นสะดมเอพิรุส ซึ่งถูกสงสัยว่าให้การสนับสนุนฝ่ายมาซิโดเนีย หลังจากที่บรรทุกสมบัติจากพระราชวังมาซิโดเนียขึ้นเรือเพื่อส่งไปยังกรุงโรมแล้ว เขาก็นำกองทัพเข้าสู่เอพิรุส แม้จะมีรายงานว่าเขาไม่เต็มใจที่จะกระทำ แต่เขาก็ได้สั่งให้ปล้นสะดมเมืองถึง 70 เมือง ส่งผลให้ประชาชนประมาณ 150,000 คน ตกเป็นทาส การปล้นสะดมอันรุนแรงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ทหารที่ทำการปล้นสะดมกลับได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินอันมหาศาลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากการปฏิบัติภารกิจนี้ ปาอุลลุสกลับสู่กรุงโรม โดยล่องเรือรบของราชวงศ์มาซิโดเนียขึ้นสู่แม่น้ำไทเบอร์ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากออกมาชมการกลับมาของเขา โปลิบิอุสระบุว่าหลังสงคราม ปาอุลลุสได้เดินทางไปทั่วกรีซ เพื่อฟื้นฟูเอกราชให้กับเมืองต่างๆ และได้สั่งให้เปลี่ยนรูปปั้นเปอร์เซอุสที่เดลฟีเป็นรูปปั้นของตนเอง เขายังได้เยี่ยมชมรูปปั้นซุสแห่งโอลิมเปียอันโด่งดังที่สร้างโดยไฟดิอัส หลังจากนั้น คณะกรรมาธิการสิบคนจากกรุงโรมได้เดินทางมาถึงและตัดสินใจฟื้นฟูเอกราชของมาซิโดเนีย โดยลดอัตราภาษีลงเหลือครึ่งหนึ่งของเดิม ปาอุลลุสยังได้จัดเทศกาลเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในรายละเอียดอย่างมาก
4.3. การเดินทัพฉลองชัยชนะของโรมันและการได้รับสมญานาม 'มาเกโดนิคุส'
การกลับมาของปาอุลลุสสู่กรุงโรมเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ เขาได้เฉลิมฉลองพิธีเดินทัพฉลองชัยชนะของโรมัน (Roman triumph) อันตระการตา โดยจัดแสดงของริบทรัพย์จำนวนมหาศาลจากมาซิโดเนียและเอพิรุส พระเจ้าเปอร์เซอุสและโอรสที่ถูกจับกุมตัวได้ถูกนำมาจัดแสดงในขบวนแห่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายครั้งสุดท้ายของราชวงศ์แอนติโกนิด อย่างไรก็ตาม ทหารของเขา ซึ่งรู้สึกว่าได้รับส่วนแบ่งจากของริบทรัพย์น้อยเกินไป ได้ประท้วงการจัดพิธีเดินทัพในตอนแรก โดยมีแซร์วิอุส ซุลปิซิอุส กัลบา ตรีบูนทหาร เป็นผู้นำ การตัดสินใจถูกนำไปลงคะแนนในสภาสามัญชน เมื่อชนเผ่าแรกโหวตคัดค้าน ประชาชนก็เสียใจอย่างมาก และเหล่าวุฒิสมาชิกได้เข้ามาเกลี้ยกล่อมทหาร จนในที่สุดก็อนุมัติให้จัดพิธีเดินทัพได้
พลูทาร์กได้บรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของพิธีเดินทัพครั้งนี้ โดยระบุว่าภาพของบุตรธิดาของพระเจ้าเปอร์เซอุสในขบวนแห่ได้กระตุ้นความเวทนาจากฝูงชน แม้ว่าพระเจ้าเปอร์เซอุสจะอ้อนวอนไม่ให้ถูกนำมาเดินแห่ แต่ปาอุลลุสก็ปฏิเสธอย่างเย็นชา แม้จะมีบางแหล่งระบุว่าเขาปฏิบัติต่อเปอร์เซอุสด้วยความเคารพทันทีหลังการยอมจำนน และให้กำลังใจด้วยภาษากรีก อย่างน่าเศร้าที่โอรสทั้งสองคนของปาอุลลุสได้เสียชีวิตลงในช่วงเวลาใกล้เคียงกับพิธีเดินทัพฉลองชัยชนะครั้งนี้ พลูทาร์กกล่าวไว้อย่างมีชื่อเสียงว่า "เปอร์เซอุสพ่ายแพ้แต่โอรสของเขายังคงอยู่ ขณะที่ไอมิลิอุสได้รับชัยชนะแต่เสียโอรสไป"
เพื่อเป็นการยกย่องชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเขา วุฒิสภาได้มอบสมญานามอันทรงเกียรติว่า 'มาเกโดนิคุส' (Macedonicus) ให้แก่เขา ชัยชนะของปาอุลลุสทำให้ท้องพระคลังโรมันร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จนสามารถยกเลิกภาษีสงคราม (tributum) ได้เป็นระยะเวลานานถึงปี 43 ปีก่อนคริสตกาล แม้ว่าความมั่งคั่งมหาศาลจะหลั่งไหลเข้าสู่กรุงโรม แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของปาอุลลุสกลับไม่เพิ่มขึ้น โดยเขากล่าวว่าเก็บส่วนแบ่งจากของริบทรัพย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องเล่าในตำนานกล่าวว่า สุนัขสัตว์เลี้ยงของลูกสาวของเขาชื่อ เทอร์เทีย ซึ่งชื่อว่า เพอร์ซา ได้เสียชีวิตลง ซึ่งถูกมองว่าเป็นลางบอกเหตุถึงความพ่ายแพ้ของพระเจ้าเปอร์เซอุส อีกเรื่องเล่าหนึ่งกล่าวว่า ชัยชนะนี้ถูกประกาศแก่ชายหนุ่มคนหนึ่งในเรียตีโดยเทพฝาแฝดผู้ขี่ม้าขาว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเชื่อในตอนแรก แต่ในที่สุดก็ได้รับการเฉลิมฉลองเมื่อชัยชนะได้รับการยืนยัน
5. อาชีพทางการเมืองช่วงปลาย
หลังจากดำรงตำแหน่งกงสุลครั้งที่สอง ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส ยังคงมีบทบาททางการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะในตำแหน่งเซ็นเซอร์
5.1. การดำรงตำแหน่งเซ็นเซอร์ (164 ปีก่อนคริสตกาล)
ในปี 164 ปีก่อนคริสตกาล ปาอุลลุสได้รับเลือกให้เป็นเซ็นเซอร์ (censor) ร่วมกับกวินตุส มาร์คิอุส ฟิลิปปุส ในระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งของเขา เขาได้ดำเนินการสำมะโนประชากร (census) ได้สำเร็จ โดยบันทึกจำนวนประชากรพลเมืองโรมันได้ถึง 337,022 คน เขายังได้แต่งตั้งมาร์คัส ไอมิลิอุส เลปิดัส ให้ดำรงตำแหน่งปรินเคปส์ เซ็นาตูส (Princeps Senatus) อีกครั้ง นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจเคยดำรงตำแหน่งอินเทอร์เร็กซ์ (interrex) ในปี 162 ปีก่อนคริสตกาลด้วย
6. ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว

ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส มีชีวิตส่วนตัวที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการแต่งงานและบุตรธิดา รวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดตระกูลของเขา
6.1. การแต่งงานและบุตรธิดา
ปาอุลลุสแต่งงานสองครั้ง ภรรยาคนแรกของเขาคือพาพิเรีย มาโซนิส (Papiria Masonis) ซึ่งเป็นบุตรสาวของกงสุล ไกอุส พาพิริอุส มาโซ (Gaius Papirius Maso) ตามบันทึกของพลูทาร์ก เขาได้หย่าร้างกับเธอโดยไม่มีเหตุผลพิเศษใดๆ การหย่าร้างน่าจะเกิดขึ้นประมาณ 183-182 ปีก่อนคริสตกาล ขณะที่บุตรชายคนเล็กของทั้งคู่ยังเป็นทารก จากการแต่งงานครั้งแรกนี้ พวกเขามีบุตรสี่คน เป็นบุตรชายสองคนและบุตรสาวสองคน
หลังจากนั้น ปาอุลลุสได้แต่งงานครั้งที่สองกับสตรีท่านหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏชื่อ จากการแต่งงานครั้งที่สองนี้ เขามีบุตรชายอีกสองคน (คนโตเกิดประมาณ 181 ปีก่อนคริสตกาล และคนเล็กเกิดประมาณ 176 ปีก่อนคริสตกาล) และบุตรสาวอีกคนหนึ่งชื่อไอมิเลีย เตร์ติอา (Aemilia Tertia)
6.2. การรับบุตรบุญธรรม
เมื่อพิจารณาว่าบุตรชายสี่คนอาจมากเกินไปที่จะสนับสนุนให้ก้าวหน้าผ่านระบบ เคอร์ซุส โฮโนรุม (cursus honorum) ที่เข้มงวด ปาอุลลุสจึงตัดสินใจยกบุตรชายสองคนโตของเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลขุนนางอื่น ๆ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นระหว่างปี 175 ถึง 170 ปีก่อนคริสตกาล บุตรชายคนโตของเขาได้รับการรับบุตรบุญธรรมเข้าสู่ตระกูลฟาเบีย (Fabia gens) ที่มีเกียรติ และเปลี่ยนชื่อเป็นกวินตุส ฟาบิอุส มาซิมุส ไอมิเลียนุส (Quintus Fabius Maximus Aemilianus) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงโชคชะตาของเขากับตระกูลอันทรงเกียรติของกวินตุส ฟาบิอุส มาซิมุส แวร์รูโคซุส บุตรชายคนเล็กของเขา ซึ่งอาจมีชื่อว่าลูซิอุส ได้รับการรับบุตรบุญธรรมโดยญาติของเขาเอง คือปุบลิอุส คอร์เนลิอุส สกีปิโอ (Publius Cornelius Scipio) บุตรชายคนโตและทายาทของสกีปิโอ แอฟริกานุส และจึงกลายเป็นปุบลิอุส คอร์เนลิอุส สกีปิโอ ไอมิเลียนุส (Publius Cornelius Scipio Aemilianus) ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกของราชวงศ์การเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุดของกรุงโรม
6.3. ชะตากรรมของบุตรธิดาและผู้สืบสกุล
ปาอุลลุสหวังว่าบุตรชายสองคนเล็กที่ไม่ได้ถูกรับบุตรบุญธรรมจะสืบทอดสายตระกูลโดยตรงของเขา อย่างไรก็ตาม บุตรชายทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก คนหนึ่งเสียชีวิตไม่นานหลังจากอีกคนหนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกับที่เขาฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ตามบันทึกของโปลิบิอุส บุตรชายคนโตมีอายุ 14 ปี และคนเล็กอายุ 9 ปี ไม่ปรากฏชื่อของพวกเขา ดังนั้น ความสำเร็จทางการเมืองและการทหารของเขาจึงถูกบดบังด้วยชีวิตส่วนตัวที่น่าเศร้า เมื่อปาอุลลุสเสียชีวิต บุตรบุญธรรมของเขา ได้แก่ กวินตุส ฟาบิอุส มาซิมุส ไอมิเลียนุส และปุบลิอุส คอร์เนลิอุส สกีปิโอ ไอมิเลียนุส ได้รับมรดกตามพินัยกรรม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกตามกฎหมายของตระกูลไอมิลิอิ ปาอุลลุสแล้วก็ตาม สกีปิโอได้มอบส่วนแบ่งของเขาให้กับพี่ชายบุญธรรมซึ่งมีฐานะไม่ร่ำรวยเท่า ภรรยาคนที่สองของปาอุลลุสได้รับสินสอดคืนจากการขายทรัพย์สินบางส่วนของสามีผู้ล่วงลับ ทั้งลิวีและโปลิบิอุสต่างยืนยันว่าปาอุลลุสเสียชีวิตในสภาพที่ค่อนข้างยากจน และเก็บส่วนแบ่งจากสงครามมาซิโดเนียที่ประสบความสำเร็จไว้เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความซื่อสัตย์ของเขาท่ามกลางทรัพย์สินอันมหาศาลที่ถูกริบมา
เมื่อปาอุลลุสเสียชีวิต สายตระกูลโดยตรงของไอมิลิอิ ปาอุลลุสก็สิ้นสุดลง แม้ว่าบุตรบุญธรรมทั้งสองคนของเขายังมีชีวิตอยู่ก็ตาม บุตรบุญธรรมคนโตของเขา ฟาบิอุส ไอมิเลียนุส ได้เป็นกงสุลในที่สุด และมีบุตรชายอย่างน้อยหนึ่งคนคือฟาบิอุส อัลโลโบรจิคัส ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นกงสุลในปี 121 ปีก่อนคริสตกาล และสายนี้อาจเป็นบรรพบุรุษของตระกูลฟาบิอิรุ่นหลังที่เชื่อมโยงกับจูเลียส ซีซาร์ และออกุสตุส ส่วนบุตรบุญธรรมคนเล็ก สกีปิโอ ไอมิเลียนุส ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า แต่เสียชีวิตโดยไม่ปรากฏบุตรธิดา
พาพิเรีย มาโซนิส ภรรยาคนแรกของปาอุลลุส ยังคงมีชีวิตอยู่หลังการเสียชีวิตของอดีตสามี และได้รับทรัพย์สินของอดีตน้องสะใภ้ซึ่งบุตรชายคนเล็กของเธอได้มอบให้ ตามบันทึกของโปลิบิอุส เมื่อเธอเสียชีวิต ทรัพย์สินของเธอก็ถูกแบ่งระหว่างบุตรชายของเธอ แต่สกีปิโอได้มอบส่วนแบ่งของเขาให้กับน้องสาวของเขา
สำหรับบุตรสาวของปาอุลลุส หนึ่งในสองคนโตได้แต่งงานกับกวินตุส ไอมิลิอุส ตูเบโร่ (Quintus Aelius Tubero) ซึ่งมาจากตระกูลเพลเบียนที่ค่อนข้างยากจน และเป็นมารดาของกวินตุส ไอมิลิอุส ตูเบโร่ (Quintus Aelius Tubero the Stoic) ส่วนบุตรสาวคนเล็กสุดชื่อไอมิเลีย เตร์ติอา ได้แต่งงานกับบุตรชายคนโตของมาร์คัส พอร์ซิอุส กาโต้ (Cato the Elder) และเป็นมารดาของกงสุลสองท่านคือมาร์คัส พอร์ซิอุส กาโต้ และไกอุส พอร์ซิอุส กาโต้
7. การเสียชีวิต
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส มาเกโดนิคุส เสียชีวิตในปี 160 ปีก่อนคริสตกาล ในระหว่างที่เขายังคงดำรงตำแหน่งเซ็นเซอร์ มีรายงานว่าเขาป่วยหนัก ดูเหมือนจะฟื้นตัวแล้ว แต่ก็กลับทรุดลงอีกครั้งและเสียชีวิตภายในสามวัน เชื่อกันว่าเจ้าหน้าที่ชาวมาซิโดเนียผู้หนึ่งที่มาเยือนกรุงโรมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทูตในเวลานั้น ได้ร่วมออกค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพของเขา ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แม้ว่าปาอุลลุสจะเป็นผู้พิชิตมาซิโดเนียก็ตาม
8. มรดกและการประเมิน
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส มาเกโดนิคุส ทิ้งมรดกอันสำคัญไว้ให้กับสาธารณรัฐโรมันและคนรุ่นหลัง อย่างไรก็ตาม การประเมินทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเขานั้นมีความซับซ้อน โดยมีทั้งความชื่นชมและข้อโต้แย้ง
8.1. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการประเมินเชิงบวก
ลูซิอุส ไอมิลิอุส ปาอุลลุส มาเกโดนิคุส ได้รับการจดจำในฐานะหนึ่งในแม่ทัพโรมันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคสมัยของเขา ชัยชนะอันเด็ดขาดของเขาที่ยุทธการพิดนาได้นำมาซึ่งการสิ้นสุดของราชวงศ์แอนติโกนิดอันยิ่งใหญ่ และยืนยันอำนาจของโรมในดินแดนกรีก-เฮลเลนิสติกทางตะวันออก การเดินทัพฉลองชัยชนะของเขายิ่งใหญ่ตระการตา และการที่วุฒิสภามอบสมญานาม 'มาเกโดนิคุส' ให้แก่เขาได้ตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของความสำเร็จนั้น ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่เขานำกลับมาได้ช่วยเติมเต็มท้องพระคลังโรมันอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้สามารถยกเลิกภาษีสงคราม (tributum) ได้เป็นระยะเวลานาน นักประวัติศาสตร์อย่างพลูทาร์กได้บันทึกถึงความซื่อสัตย์ส่วนตัวของเขา โดยเขารายงานว่าปาอุลลุสเก็บความมั่งคั่งมหาศาลไว้เพียงเล็กน้อยสำหรับตนเอง โดยนิยมที่จะใช้เวลาไปกับการแสวงหาความรู้ เช่น การอ่านหนังสือ มากกว่าความร่ำรวยทางวัตถุ แม้จะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมส่วนตัวหลายครั้ง การยอมรับชะตากรรมอย่างสงบและความทุ่มเทเพื่อโรมของเขาก็ได้รับการยกย่องอยู่เสมอ
8.2. คำวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง
แม้ว่าความสามารถทางทหารของปาอุลลุสจะโดดเด่น แต่เกียรติยศของเขากลับมีข้อโต้แย้งและการวิพากษ์วิจารณ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกระทำของเขาหลังสงคราม การปล้นสะดมเมือง 70 เมือง ในเอพิรุส และการที่เขาได้สั่งให้ประชาชนประมาณ 150,000 คน ตกเป็นทาส ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงของการลงโทษหมู่และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง การกระทำนี้ถูกดำเนินการภายใต้ข้ออ้างของการลงโทษผู้ที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายมาซิโดเนีย ซึ่งส่งผลให้เกิดการทำลายล้างและการพลัดถิ่นอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ การปฏิบัติต่อชาวมาซิโดเนียที่พ่ายแพ้ยังรวมถึงการสังหารผู้นำท้องถิ่น 500 คนที่ต่อต้านการปกครองของโรมัน และการบังคับย้ายถิ่นฐานของคนอื่นๆ อีกจำนวนมากไปยังกรุงโรม พร้อมทั้งริบทรัพย์สินของพวกเขา เรื่องเล่าเกี่ยวกับการสั่งให้ช้างเหยียบทหารต่างชาติที่หลบหนีก็สะท้อนถึงด้านที่โหดเหี้ยมในการรักษาวินัยทางทหารของเขา แม้เขาจะได้รับคำชมว่านำความมั่งคั่งมาสู่กรุงโรม แต่วิธีการได้มาซึ่งความมั่งคั่งนั้นและต้นทุนของชีวิตผู้คนยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจริงอันโหดร้ายของการขยายอำนาจของโรมัน
9. ดูเพิ่ม
- สงครามมาซิโดเนีย
- ราชวงศ์แอนติโกนิด
- รายชื่อกงสุลสาธารณรัฐโรมัน
- รายชื่อเซ็นเซอร์สาธารณรัฐโรมัน
- ไอมิลิอุส แกนส์
- การเดินทัพฉลองชัยชนะของโรมัน