1. ภาพรวม
ยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป (Jacob Brønnum Scavenius Estrup) เป็นนักการเมืองชาวเดนมาร์กผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นที่ถกเถียงในประวัติศาสตร์ชาติ เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในช่วงปี ค.ศ. 1865 ถึง 1869 และต่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยาวนานถึง 19 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1875 ถึง 1894 ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก การบริหารประเทศของเอสตรัปโดดเด่นด้วยการเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลังสงครามชเลสวิชครั้งที่สอง และการดำเนินนโยบายที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การขยายโครงข่ายรถไฟและการสร้างท่าเรือเอสบีเยร์ก
ช่วงเวลาที่สำคัญและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในยุคของเอสตรัปคือ "ยุคการปกครองชั่วคราว" (provisorietidenภาษาเดนมาร์ก) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1885 ถึง 1894 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาบริหารประเทศโดยอาศัยอำนาจของพระมหากษัตริย์และกฎหมายชั่วคราว เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากรัฐสภา (โฟลเกตทิงเอต) นโยบายในยุคนี้รวมถึงการจำกัดเสรีภาพสื่อ การควบคุมอาวุธปืน และการเพิ่มอำนาจตำรวจ ซึ่งสะท้อนถึงการปะทะกันระหว่างอำนาจรัฐสภาและอำนาจฝ่ายบริหาร รวมถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองในเดนมาร์ก
2. ชีวิตและภูมิหลัง
ยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป มีภูมิหลังทางครอบครัวที่เชื่อมโยงกับชนชั้นสูงผู้ครอบครองที่ดินและมีส่วนสำคัญในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการก้าวเข้าสู่บทบาททางการเมืองของเขา
2.1. ครอบครัวและชาติกำเนิด
เอสตรัปเกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1825 เขาเป็นบุตรชายของเฮคเตอร์ เฟรเดอริค แจนสัน เอสตรัป (Hector Frederik Janson Estrup) (ค.ศ. 1794-1846) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและอาจารย์ใหญ่ประจำสถาบันโซรอ (Sorø Academy) และยาโคบีเนอ สกาเวนีอุส (Jacobine Scavenius) (ค.ศ. 1800-1829) ผู้เป็นบุตรีของยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส (Jacob Brønnum Scavenius) (ค.ศ. 1749-1820) ซึ่งเป็นปู่ของเขา ในปี ค.ศ. 1846 เอสตรัปได้รับมรดกเป็นที่ดินKongsdalภาษาเดนมาร์ก (คงสดาล) ในเขตโฮลแบ็ก (Holbæk) และในปี ค.ศ. 1852 เขายังได้ซื้อที่ดินSkaføgårdภาษาเดนมาร์ก (สกอฟฟ์กอร์) ในรันเดอร์สเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่มั่นคงของเขา

2.2. การศึกษาและอาชีพช่วงต้น
แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาในวัยเยาว์ของเอสตรัปจะไม่ได้ระบุไว้อย่างละเอียดในบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่การที่เขาได้รับช่วงและบริหารจัดการทรัพย์สินที่ดินขนาดใหญ่ เช่น คงสดาลและสกอฟฟ์กอร์ บ่งชี้ว่าเขามีพื้นฐานความรู้และทักษะในการจัดการที่ดี บทบาทในฐานะเจ้าของที่ดินและการบริหารจัดการสินทรัพย์เหล่านี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นที่สำคัญที่หล่อหลอมประสบการณ์ให้เขาก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติอย่างเต็มตัว
3. การเมืองและการดำรงตำแหน่ง
เส้นทางการเมืองของยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป โดดเด่นด้วยการดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลและนโยบายที่เขาได้ริเริ่มในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารงานภายใต้รัฐบาลของตนเองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อเดนมาร์ก
3.1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เอสตรัปเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1865 ถึง 22 กันยายน ค.ศ. 1869 ในคณะรัฐมนตรีของคริสเตียน เอมิล คราก-ยูล-วินด์-ฟรีส (Christian Emil Krag-Juel-Vind-Frijs) ในช่วงนี้ เขามีบทบาทสำคัญในการเข้าควบคุมดูแลโครงข่ายรถไฟของคาบสมุทรจัตแลนด์และเกาะฟิวน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกยกให้กลุ่มบริษัทชาวอังกฤษบริหารไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 เอสตรัปได้ดำเนินการขยายเส้นทางรถไฟในเวนด์ซีสเซิล (Vendsyssel) และสร้างเส้นทางใหม่จากสแกนเดอร์บอร์ก (Skanderborg) ไปยังซิลเคบอร์ก (Silkeborg) และตามชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรจัตแลนด์ไปจนถึงเอสบีเยร์ก (Esbjerg) ด้วยผลงานด้านนี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "รัฐมนตรีรถไฟ" นอกจากนี้ เขายังได้พัฒนาท่าเรือในเอสบีเยร์กให้กลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1869 เขาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
3.2. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในปี ค.ศ. 1875 เอสตรัปได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า konseilspresidentภาษาเดนมาร์ก) แทนที่คริสเตียน อันเดรียส ฟอนเนสเบค (Christen Andreas Fonnesbech) โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1875 ถึง 7 สิงหาคม ค.ศ. 1894 พร้อมกันนั้น เขายังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น เนื่องจากเดนมาร์กประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักภายหลังสงครามชเลสวิชครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1877 เอสตรัปไม่สามารถได้รับการสนับสนุนสำหรับร่างงบประมาณของเขาจากโฟลเกตทิงเอต (รัฐสภา) ตามที่รัฐธรรมนูญเดนมาร์กกำหนดไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะออกกฎหมายงบประมาณฉบับนี้ในฐานะ "กฎหมายชั่วคราว" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ยุคการปกครองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
3.3. ยุคการปกครองชั่วคราว (Provisorietiden)
ยุคการปกครองชั่วคราว หรือ provisorietidenภาษาเดนมาร์ก เป็นช่วงเวลาที่ยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายชั่วคราวเป็นหลัก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1885 ถึง 1894 ถือเป็นยุคที่สำคัญและเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
3.3.1. ความเป็นมาและกลไกการใช้กฎหมายชั่วคราว
จุดเริ่มต้นของยุคการปกครองชั่วคราวเกิดขึ้นหลังจากที่พรรคHøjreภาษาเดนมาร์ก (เฮาเยอร์) ซึ่งเป็นพรรคของเอสตรัป ประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการเลือกตั้งรัฐสภาโฟลเกตทิงเอตในปี ค.ศ. 1884 โดยได้เพียง 19 ที่นั่งจากทั้งหมด 102 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม เอสตรัปกลับปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล แม้ว่าจะไม่สามารถได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสำหรับการผ่านกฎหมายการเงินประจำปี ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญตามรัฐธรรมนูญ เขากลับได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 และสภาสูง (Landstingetภาษาเดนมาร์ก) ซึ่งสมาชิกครึ่งหนึ่งถูกเลือกโดยพระมหากษัตริย์ ให้สามารถออก "กฎหมายการเงินชั่วคราว" ได้ การที่พระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบกับการออกกฎหมายชั่วคราวเช่นนี้ติดต่อกันถึงเก้าปี มีส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อร่วมกันระหว่างพระองค์และเอสตรัปในการสร้างป้อมปราการโคเปนเฮเกน (Københavns befæstningภาษาเดนมาร์ก) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Vestencientenภาษาเดนมาร์ก ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1888 ถึง 1892 ตลอดช่วงเวลานี้ เอสตรัปต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้นำพรรคเวนสเตร์ (Venstre) เช่น คริสเตน แบร์ก (Christen Berg) และวิกโก ฮอรุป (Viggo Hørup) ผู้ซึ่งยืนหยัดต่อต้านการใช้อำนาจของเขา
3.3.2. การจำกัดสิทธิประชาธิปไตย
เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้มีการจำกัดสิทธิประชาธิปไตยคือความพยายามลอบสังหารเอสตรัปเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1885 แม้ความพยายามลอบสังหารจะไม่สำเร็จ แต่เอสตรัปได้ตอบโต้ด้วยการผ่านกฎหมายหลายฉบับที่จำกัดเสรีภาพสื่อ จำกัดสิทธิในการครอบครองอาวุธปืน และขยายอำนาจของตำรวจ ซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่ฝ่ายบริหารอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง การกระทำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการใช้อำนาจที่ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย และได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก
3.4. การลาออกจากตำแหน่งและอิทธิพลที่คงอยู่
ในปี ค.ศ. 1894 พรรคเวนสเตร์และพรรคHøjreภาษาเดนมาร์กของเอสตรัปได้ร่วมมือกันเพื่อผ่านร่างงบประมาณในที่สุด ส่งผลให้เอสตรัปตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1894 หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานถึง 19 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดต่อๆ ไป แต่เขายังคงรักษาอิทธิพลทางการเมืองไว้อย่างมีนัยสำคัญในรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคHøjreภาษาเดนมาร์กในเวลาต่อมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขายังคงมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของการเมืองเดนมาร์กต่อไปได้
4. ชีวิตส่วนตัว
ยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป แต่งงานกับเรกิตเซอ โฮลสเตน-ชาริซิอุส (Regitze Holsten-Charisius) (ค.ศ. 1831-1896) ในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งเป็นบุตรีของอาดาม คริสโตเฟอร์ โฮลสเตน-ชาริซิอุส (Adam Christopher Holsten-Charisius) ทั้งคู่มีบุตรรวมกันหกคน เพื่อเป็นการยกย่องคุณความดีและสถานะทางสังคม เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างในปี ค.ศ. 1878 พร้อมด้วยชั้นอัศวินมหากางเขนแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดานเนบรอค (Order of the Dannebrog) และตำแหน่งDannebrogsmannภาษาเดนมาร์ก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงเกียรติยศและตำแหน่งอันสูงส่งในสังคมเดนมาร์ก
5. การถึงแก่กรรม
ยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1913 ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาสอีฟ ที่ที่ดินคงสดาล (Kongsdal) ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เขาได้รับมรดกและบริหารจัดการมาตลอดชีวิต ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่โบสถ์อันลือเซอ (Undløse Church) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเดียวกันกับที่ดินคงสดาล
6. การประเมินและมรดก
การประเมินทางประวัติศาสตร์ต่อการกระทำและนโยบายของยาคอบ บรอนนุม สกาเวนีอุส เอสตรัป มีทั้งแง่มุมเชิงบวกและคำวิจารณ์ ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบอันซับซ้อนที่เขามีต่อการเมืองและสังคมเดนมาร์กในระยะยาว
6.1. การประเมินเชิงบวก
เอสตรัปได้รับการยกย่องจากผลงานที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของเขาในฐานะ "รัฐมนตรีรถไฟ" ซึ่งเขาสามารถขยายโครงข่ายรถไฟในคาบสมุทรจัตแลนด์และเกาะฟิวน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ และการพัฒนาท่าเรือเอสบีเยร์กให้กลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าของเดนมาร์กอย่างเป็นรูปธรรม
6.2. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง
ในทางกลับกัน เอสตรัปได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากช่วงเวลาการปกครองที่เรียกว่า "ยุคการปกครองชั่วคราว" (provisorietidenภาษาเดนมาร์ก) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1885 ถึง 1894 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแม้จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1884 และบริหารประเทศโดยอาศัย "กฎหมายชั่วคราว" ที่ได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์และสภาสูง แต่ขาดความเห็นชอบจากรัฐสภา (โฟลเกตทิงเอตภาษาเดนมาร์ก) การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและละเลยเจตจำนงของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ หลังจากการพยายามลอบสังหารเขาในปี ค.ศ. 1885 เอสตรัปได้ออกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ จำกัดสิทธิในการครอบครองอาวุธปืน และเพิ่มอำนาจของตำรวจ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน การกระทำเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ที่รุนแรงและเป็นภัยคุกคามต่อหลักการประชาธิปไตยที่กำลังพัฒนาในเดนมาร์กในขณะนั้น ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ถูกจดจำในประวัติศาสตร์ว่ามีบทบาททั้งด้านการพัฒนาและด้านการละเมิดหลักการประชาธิปไตยไปพร้อมกัน