1. Overview
มันเฟรท แกร์ลัค (Manfred Gerlachภาษาเยอรมัน; 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 - 17 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นนักนิติศาสตร์และนักการเมืองชาวเยอรมนี ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งเยอรมนี (LDPD) ของประเทศเยอรมนีตะวันออกมาอย่างยาวนาน และยังเป็นประมุขแห่งรัฐคนสุดท้ายของเยอรมนีตะวันออกในฐานะประธานสภาแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1989 จนถึง 5 เมษายน ค.ศ. 1990 มันเฟรท แกร์ลัคเป็นประมุขแห่งรัฐที่ไม่ใช่ลัทธิคอมมิวนิสต์คนแรกของเยอรมนีตะวันออก และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่นำไปสู่การรวมชาติเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนในการเรียกร้องการปฏิรูปและการตั้งคำถามต่อบทบาทผูกขาดของพรรคเอกภาพสังคมนิยม (SED) ในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประเทศ

2. ชีวประวัติ
มันเฟรท แกร์ลัคมีชีวิตในช่วงวัยเด็กและการศึกษาที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการเข้าร่วมขบวนการต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะผันตัวมาทำงานด้านกฎหมายและการเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ และต่อมาได้เข้าสู่เส้นทางอาชีพทางการเมือง
2.1. ชีวิตวัยเยาว์และการศึกษา
มันเฟรท แกร์ลัคเกิดที่ไลพ์ซิก ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 หลังสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา แกร์ลัคเริ่มทำงานในสำนักงานศาล แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาถูกคุมขังในสถานพินิจในข้อหาก่อตั้งองค์กรเยาวชนที่ผิดกฎหมาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แกร์ลัคได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านนาซีและฟาสซิสต์ โดยในปี ค.ศ. 1943 เขาได้ก่อตั้งขบวนการเยาวชนต่อต้านฟาสซิสต์ทางกฎหมายขึ้น และถูกคุมขังอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 จากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความพยายามลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
หลังสงครามสิ้นสุดและเขาได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1945 แกร์ลัคได้ศึกษากฎหมายที่สถาบันรัฐศาสตร์และกฎหมายแห่งเยอรมนี "วัลเทอร์ อุลบริชท์" ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 ถึง ค.ศ. 1954 ซึ่งเป็นการศึกษาทางไปรษณีย์ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขากฎหมายในปี ค.ศ. 1964 และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1984
2.2. กิจกรรมช่วงแรก
ในช่วงต้นของอาชีพ แกร์ลัคได้ทำงานเป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์เสรีประชาธิปไตยในเมืองฮัลเลอ (Halle/Saale) บทบาทนี้ทำให้เขาได้มีส่วนร่วมในแวดวงสื่อสารมวลชนและการเมืองตั้งแต่เนิ่น ๆ ควบคู่ไปกับการศึกษาด้านกฎหมายของเขา
3. อาชีพทางการเมือง
มันเฟรท แกร์ลัคก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองทันทีหลังสงคราม โดยมีบทบาทสำคัญทั้งในพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDPD) และพรรคเยาวชนเสรี (FDJ) ในไลพ์ซิก เขาได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งทั้งในพรรคและในรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก ก่อนจะก้าวขึ้นสู่การเป็นประมุขแห่งรัฐคนสุดท้ายของเยอรมนีตะวันออกในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และยังคงมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองหลังการรวมชาติ แม้จะเผชิญกับข้อโต้แย้งบางประการ
3.1. การเข้าร่วมพรรคเสรีประชาธิปไตยและกิจกรรมช่วงแรก
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แกร์ลัคเข้าสู่แวดวงการเมือง โดยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งเยอรมนี (LDPD) ในไลพ์ซิกในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นพรรคพันธมิตรที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคเอกภาพสังคมนิยม (SED) ที่มีอำนาจในเยอรมนีตะวันออก เขายังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคเยาวชนเสรีแห่งเยอรมนี (FDJ) ในไลพ์ซิกในปี ค.ศ. 1946 อีกด้วย ซึ่ง FDJ เป็นองค์กรเยาวชนสำคัญภายใต้การดูแลของ SED
ในช่วงปี ค.ศ. 1946 ถึง ค.ศ. 1950 แกร์ลัคเป็นผู้นำเยาวชนของ LDPD ในภูมิภาคแซกโซนีตะวันตกเฉียงเหนือ และตั้งแต่วันที่ 1947 ถึง 1952 เขาเป็นสมาชิกสภาบริหารของ LDPD ประจำรัฐแซกโซนี นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางของ FDJ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง ค.ศ. 1959
ในด้านการบริหารท้องถิ่น แกร์ลัคได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองไลพ์ซิกในปี ค.ศ. 1950 และดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกเทศมนตรีและรองประธานสภาที่ปรึกษาของเมืองไลพ์ซิกในช่วงปี ค.ศ. 1952 ถึง ค.ศ. 1954 ในทศวรรษที่ 1950s เขายังเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีและรองนายกเทศมนตรีอาวุโสของเมืองไลพ์ซิกอีกด้วย
3.2. ตำแหน่งสำคัญและกิจกรรมภายในพรรค
มันเฟรท แกร์ลัคมีบทบาทสำคัญในการบริหารพรรค LDPD มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากการเป็นรองประธานพรรค LDPD ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 จนถึงปี ค.ศ. 1953 หลังจากนั้นเขาได้รับตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ถึง ค.ศ. 1967
ในปี ค.ศ. 1967 ในการประชุมใหญ่ของพรรค LDPD แกร์ลัคได้รับเลือกให้เป็นประธานพรรค LDPD ต่อจากมักซ์ ซูลเบียร์ (Max Suhrbier) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขารักษาไว้จนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990
นอกจากบทบาทในพรรคแล้ว เขายังมีส่วนร่วมในสภาประชาชน (Volkskammer) ซึ่งเป็นรัฐสภาของเยอรมนีตะวันออก โดยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 จนถึง ค.ศ. 1990 และยังเป็นรองประธานสภาแห่งรัฐ ซึ่งเป็นตำแหน่งรองประมุขแห่งรัฐ โดยอยู่ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 จนถึงปี ค.ศ. 1990 นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นรองประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศของสภาประชาชน และเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรของพรรคการเมืองในเยอรมนีตะวันออก
3.3. จุดยืนปฏิรูปและการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเยอรมนีตะวันออก
แม้ว่าในระยะแรก มันเฟรท แกร์ลัคจะสนับสนุนแนวทางของพรรคเอกภาพสังคมนิยม (SED) ในการควบคุมพรรคการเมืองที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออก แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970s เขาก็เริ่มหันเหออกจากท่าทีที่ยอมจำนนต่อ SED อย่างสิ้นเชิง ภายใต้การนำของแกร์ลัค พรรค LDPD ได้เริ่มสร้างการติดต่อเล็ก ๆ น้อย ๆ กับพรรคคู่คิดในเยอรมนีตะวันตก คือพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) อย่างไรก็ตาม ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาก็ยังคงปกป้องการแปรรูปกิจการของวิสาหกิจเอกชนที่สำคัญที่เหลืออยู่
แกร์ลัคได้แสดงท่าทีต้อนรับการปฏิรูปและการเปิดกว้างที่ริเริ่มโดยมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ในสหภาพโซเวียต การสนับสนุนการเปิดเสรีนิยมและการมีพหุนิยมมากขึ้นในเยอรมนีตะวันออกทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ความนิยมนี้ก็ลดลงเนื่องจากท่าทีที่ลังเลของเขาในช่วงการโค่นล้มระบอบ SED ในปี ค.ศ. 1989 ที่เรียกว่า ดี เวนเดอ (Die Wende)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1989 แกร์ลัคเป็นนักการเมืองคนสำคัญคนแรกของเยอรมนีตะวันออกที่ตั้งคำถามอย่างเปิดเผยต่อบทบาทผูกขาดของ SED ในที่สาธารณะ โดยเขากล่าวว่า "การพิจารณาการเมืองและสังคมใน LDPD คือการพิจารณาสังคมนิยมและอนาคตของสังคมนิยมในเยอรมนีตะวันออก" ถ้อยแถลงนี้ถือเป็นการแสดงออกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายใต้การปกครองแบบพรรคเดียวของ SED เพียงไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 18 ตุลาคม ผู้นำ SED อย่างเอริช ฮอเนคเคอร์ (Erich Honecker) ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุดโดยคณะกรรมการโปลิตบูโรของตนเอง
3.4. การดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐและการรวมชาติเยอรมนี
หลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน มันเฟรท แกร์ลัคได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาแห่งรัฐ (Staatsratsvorsitzender) ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นประมุขแห่งรัฐคนแรกของเยอรมนีตะวันออกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผู้รักษาการ เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1990 เมื่อสภาแห่งรัฐถูกยกเลิกในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำไปสู่การรวมชาติเยอรมนีกับเยอรมนีตะวันตก ทำให้ตำแหน่งประมุขแห่งรัฐถูกส่งมอบให้กับซาบีเนอ แบร์กมันน์-โพล (Sabine Bergmann-Pohl) ประธานสภาประชาชน ซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐรักษาการ
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1990 พรรค LDPD ของแกร์ลัคและพรรคเสรีนิยมอีกสองพรรคได้รวมตัวกันเป็นสหภาพเสรีประชาธิปไตย (Association of Free Democrats) ซึ่งต่อมาได้รวมเข้ากับพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ของเยอรมนีตะวันตกภายหลังการรวมชาติ
3.5. กิจกรรมและข้อโต้แย้งหลังการรวมชาติ
หลังจากการรวมชาติเยอรมนี มันเฟรท แกร์ลัคยังคงมีบทบาทในแวดวงการเมือง แต่ก็เผชิญกับข้อโต้แย้งบางประการ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1993 แกร์ลัคได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค FDP จุดยืนทางการเมืองของเขาหลังจากนั้นเริ่มใกล้ชิดกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (PDS) ซึ่งเป็นพรรคที่สืบทอดมาจากอดีต SED
แกร์ลัคเป็นหนึ่งในผู้ลงนามใน Berliner Alternatives Geschichtsforum (เวทีประวัติศาสตร์ทางเลือกเบอร์ลิน) ซึ่งส่งเสริมมุมมองเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเยอรมนีตะวันออก อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์ของอดีตระบอบคอมมิวนิสต์ได้บรรยายว่าสิ่งพิมพ์เหล่านี้ ซึ่งร่วมเขียนโดยอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเยอรมนีตะวันออก (เช่น แกร์ลัค, เกรัลด์ เกิททิง (Gerald Götting), ฮันส์ โมโดรว (Hans Modrow) เป็นต้น) เป็นการพยายามฟอกขาวระบอบเผด็จการ SED และสร้างภาพลักษณ์ของเยอรมนีในปัจจุบันโดยใช้วาทศิลป์ต่อต้านฟาสซิสต์
3.5.1. ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นผู้ให้ข้อมูลและคดีความ
หลังสงครามไม่นาน ในปี ค.ศ. 1947 มันเฟรท แกร์ลัคถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่กองกำลังโซเวียตที่ประจำการอยู่ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและการคุมขังเพื่อนร่วมพรรคของเขา ข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้นำไปสู่การพิจารณาคดีหลังการรวมชาติเยอรมนี โดยเขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลที่นำไปสู่การคุมขังและการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม การพิจารณาคดีในทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้ถูกระงับลงภายในปี ค.ศ. 2000 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอหรือมีการตัดสินให้พ้นผิด นอกจากนี้ หลังการรวมชาติ แกร์ลัคยังได้ทำงานในองค์กรด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชนในเบอร์ลิน
4. ผลงานและสิ่งตีพิมพ์
มันเฟรท แกร์ลัคเป็นผู้เขียนและมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับเขาหลายชิ้น ซึ่งสะท้อนถึงความคิดและบทบาทของเขาในช่วงชีวิตที่ผันผวนของเยอรมนีตะวันออก
- Wortmeldungen zur Zeitgeschiche (คำกล่าวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัย). Buchverlag Der Morgen, Berlin 1980.
- Äußerungen über uns und unsere Zeit (ถ้อยแถลงเกี่ยวกับเราและเวลาของเรา). Buchverlag Der Morgen, Berlin 1985.
- Standortbestimmung (การกำหนดจุดยืน). Buchverlag Der Morgen, Berlin 1989.
- Mitverantwortlich: Als Liberaler im SED-Staat (ผู้รับผิดชอบร่วมกัน: ในฐานะเสรีนิยมในรัฐ SED). Morgenbuch-Verlag, Berlin 1991, ISBN 3-371-00333-7
- David Childs, The GDR: Moscow's German Ally (เยอรมนีตะวันออก: พันธมิตรเยอรมันของมอสโก). London: George Allen & Unwin 1984 (เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเยอรมนีตะวันออกที่เขียนโดยผู้อื่น).
5. การประเมินและคำวิพากษ์วิจารณ์
มันเฟรท แกร์ลัคได้รับการประเมินทั้งในแง่บวกและเชิงวิพากษ์วิจารณ์จากมุมมองทางประวัติศาสตร์และสังคม ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่ซับซ้อนของเขาในระบอบเยอรมนีตะวันออกและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรวมชาติ
5.1. ความสำเร็จที่สำคัญและการประเมินเชิงบวก
ในด้านบวก แกร์ลัคได้รับการยอมรับในบทบาทของเขาในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในเยอรมนีตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นนักการเมืองคนสำคัญคนแรกที่กล้าตั้งคำถามต่อบทบาทผูกขาดของพรรคเอกภาพสังคมนิยม (SED) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1989 เขามีส่วนร่วมในช่วงการเปลี่ยนผ่านในฐานะประมุขแห่งรัฐที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์คนแรกของเยอรมนีตะวันออก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลเกียรติยศของรัฐจากเยอรมนีตะวันออกหลายรางวัล รวมถึงเครื่องอิสริยาภรณ์คุณความดีแห่งชาติ (Patriotic Order of Merit) และดาราแห่งมิตรภาพของประชาชน (Star of People's Friendship) ซึ่งได้รับในปี ค.ศ. 1964 และ ค.ศ. 1988 ตามลำดับ รวมถึงเครื่องอิสริยาภรณ์คาร์ล มาร์กซ (Order of Karl Marx) ในปี ค.ศ. 1988
5.2. คำวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง
ในทางกลับกัน มันเฟรท แกร์ลัคก็เผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้งหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องท่าทีที่ยอมจำนนในระบอบเยอรมนีตะวันออกในช่วงแรกที่เขาสนับสนุนแนวทาง "Gleichschaltung" (การจัดระเบียบ) ของ SED นอกจากนี้ เขายังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความลังเลในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงในปี ค.ศ. 1989 ที่เรียกว่า ดี เวนเดอ ซึ่งทำให้เขาสูญเสียความนิยมบางส่วนที่เคยได้รับมาจากการสนับสนุนการปฏิรูป
ข้อโต้แย้งสำคัญอีกประการคือข้อกล่าวหาว่าเขาพยายามฟอกขาวประวัติศาสตร์ระบอบอดีตของเยอรมนีตะวันออก ผ่านการลงนามในสิ่งพิมพ์เช่น Berliner Alternatives Geschichtsforum ซึ่งส่งเสริมมุมมองเชิงบวกต่อประวัติศาสตร์เยอรมนีตะวันออก นักวิจารณ์ระบอบคอมมิวนิสต์เดิมได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าสิ่งพิมพ์เหล่านี้เป็นการพยายามปกปิดความจริงเกี่ยวกับระบอบเผด็จการของ SED โดยใช้วาทศิลป์ต่อต้านฟาสซิสต์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่กองกำลังโซเวียตในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งแม้ว่าจะมีการพิจารณาคดีและในที่สุดก็ไม่มีการตัดสินลงโทษ แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงที่ตามมาในอาชีพทางการเมืองของเขา
6. การเสียชีวิต
มันเฟรท แกร์ลัคเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ด้วยวัย 83 ปี ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หลังจากการเจ็บป่วยมาอย่างยาวนาน