1. ประวัติช่วงต้นและภูมิหลัง
เอริคแห่งพอเมอเรเนียทรงมีภูมิหลังที่เชื่อมโยงกับราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรปเหนือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของสหภาพคาลมาร์ พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูและเตรียมพร้อมสำหรับการปกครองโดยสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก
1.1. การประสูติและวัยเยาว์
เอริคประสูติในพระนามบอกึสเลาว์ Bogusławบอกึสเลาว์ภาษาโปแลนด์ หรือ บอกิสลาฟ Bogislawบอกิสลาฟภาษาเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1381 หรือ 1382 ที่ดาร์โลโว (เดิมชื่อ รือเกินวัลเดอ) ในพอเมอเรเนีย ประเทศโปแลนด์ พระองค์เป็นโอรสในวาร์ทิสเลาว์ที่ 7 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย และมาเรียแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน พระมารดาของพระองค์คือมาเรีย (ค.ศ. 1363-1402) ซึ่งเป็นธิดาของอิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก ผู้เป็นพระเชษฐภคินีของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระธิดาของพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์ก ทำให้บอกึสเลาว์มีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ผ่านทางสายเลือดของราชวงศ์เดนมาร์ก
1.2. การศึกษาและการสืบราชบัลลังก์
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก ผู้ทรงปกครองราชอาณาจักรเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ทรงมีพระประสงค์ที่จะรวมอาณาจักรของพระนางให้เป็นปึกแผ่นและสงบสุข จึงทรงเตรียมการสำหรับการสืบราชบัลลังก์ในกรณีที่พระนางเสด็จสวรรคต พระนางทรงเลือกบอกึสเลาว์เป็นรัชทายาทและผู้สืบทอดบัลลังก์ของพระนาง
ในปี ค.ศ. 1389 บอกึสเลาว์ถูกนำตัวมายังเดนมาร์กเพื่อรับการอภิบาลจากสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอ พระนามของพระองค์ถูกเปลี่ยนเป็น "อีริค" Erikอีริคภาษาเดนมาร์ก เพื่อให้มีความเป็นวัฒนธรรมนอร์ดิกมากขึ้น ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1389 พระองค์ได้รับการประกาศให้เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ที่สภาทิงในทร็อนไฮม์ และอาจได้รับการประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ที่ออสโลในปี ค.ศ. 1392 แต่เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
ดยุกวาร์ทิสเลาว์ พระบิดาของกษัตริย์อีริค สิ้นพระชนม์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1394 ถึง 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1395 เมื่อวาร์ทิสเลาว์สิ้นพระชนม์ ตำแหน่งทั้งหมดจึงตกแก่อีริคในฐานะทายาท
2. การสืบราชบัลลังก์และการก่อตั้งสหภาพคาลมาร์
การขึ้นครองราชย์ของอีริคในสามอาณาจักรนอร์ดิกเป็นจุดสูงสุดของความพยายามของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ในการรวมอำนาจและก่อตั้งสหภาพคาลมาร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค
2.1. การขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์นอร์เวย์
ในปี ค.ศ. 1389 บอกึสเลาว์แห่งพอเมอเรเนียได้รับการนำตัวมายังเดนมาร์ก และได้รับการอภิบาลโดยสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอ พระนามของพระองค์ถูกเปลี่ยนเป็นอีริคเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมนอร์ดิกมากขึ้น ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1389 พระองค์ได้รับการประกาศให้เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ที่สภาทิงในทร็อนไฮม์ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการขึ้นสู่บัลลังก์ในสหภาพ
2.2. การขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เดนมาร์กและสวีเดน
ในปี ค.ศ. 1396 อีริคได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กและพระมหากษัตริย์สวีเดนในเวลาต่อมา โดยสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงถอดถอนอัลเบรคท์แห่งสวีเดนออกจากราชบัลลังก์สวีเดนก่อนหน้านี้ การขึ้นครองราชย์ในทั้งสามอาณาจักรนี้เป็นการปูทางไปสู่การก่อตั้งสหภาพคาลมาร์อย่างเป็นทางการ
2.3. พิธีราชาภิเษกที่คาลมาร์
ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1397 อีริคทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ของทั้งสามราชอาณาจักรนอร์ดิกพร้อมกันที่มหาวิหารในคาลมาร์ การประกอบพิธีราชาภิเษกครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการรวมอำนาจภายใต้พระมหากษัตริย์องค์เดียว ในขณะเดียวกัน สนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพได้ถูกร่างขึ้นและประกาศจัดตั้งสหภาพคาลมาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าอีริคจะขึ้นครองราชย์แล้ว แต่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ยังคงทรงเป็นพระประมุขทางพฤตินัยของทั้งสามราชอาณาจักรจนกระทั่งพระนางเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1412
3. ช่วงเวลาแห่งการครองราชย์
รัชสมัยของกษัตริย์อีริคแห่งพอเมอเรเนียเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยนโยบายที่สำคัญ กิจกรรมทางการทูต และความขัดแย้งภายในที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสหภาพคาลมาร์
3.1. การสำเร็จราชการและการปกครองร่วม
ในช่วงต้นรัชกาลของกษัตริย์อีริค พระองค์ทรงอยู่ภายใต้การสำเร็จราชการของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก จนกระทั่งพระนางเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1412 หลังจากนั้น กษัตริย์อีริคจึงทรงปกครองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงดำเนินนโยบายและพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายประการ
3.2. นโยบายและพระราชกรณียกิจสำคัญ

ในช่วงต้นรัชกาล กษัตริย์อีริคทรงมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างอำนาจของราชวงศ์เดนมาร์ก โดยในปี ค.ศ. 1417 พระองค์ทรงทำให้เมืองโคเปนเฮเกนเป็นทรัพย์สินของพระราชวงศ์เดนมาร์ก ซึ่งเป็นการรับรองสถานะของเมืองในฐานะเมืองหลวงของเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงริบสิทธิในการครอบครองปราสาทโคเปนเฮเกนจากบิชอปแห่งรอสคิลด์ และตั้งแต่นั้นมาปราสาทแห่งนี้ก็อยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์
การกระทำที่มองการณ์ไกลที่สุดของกษัตริย์อีริคคือการริเริ่มการเก็บสิทธิค่าใช้จ่ายเซาด์ Øresundtoldenเออเรซุนด์โทลเดนภาษาเดนมาร์ก ในปี ค.ศ. 1429 ซึ่งยังคงมีการบังคับใช้จนถึงปี ค.ศ. 1857 ภาษีนี้กำหนดให้เรือทุกลำที่ต้องการเข้าหรือออกจากทะเลบอลติกโดยผ่านช่องแคบเออเรซุนด์ต้องชำระค่าธรรมเนียม เพื่อบังคับใช้ข้อกำหนดนี้ กษัตริย์อีริคทรงสร้างป้อมปราการอันทรงพลังชื่อครอนบอร์ก (เดิมชื่อ คาเกน) Krogenโครเกนภาษาเดนมาร์ก ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1400 ซึ่งตั้งอยู่บนส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบ การควบคุมการเดินเรือทั้งหมดผ่านช่องแคบเออเรซุนด์นี้ทำให้ราชอาณาจักรของพระองค์มีรายได้ที่มั่นคงและมั่งคั่งอย่างมาก และยังทำให้เมืองเฮลซิงเงอร์เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว นโยบายนี้แสดงให้เห็นถึงความสนพระทัยของพระองค์ในการค้าขายและอำนาจทางทะเลของเดนมาร์ก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายอำนาจอื่นๆ ในแถบทะเลบอลติกอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองต่างๆ ของสันนิบาตฮันเซอ ซึ่งพระองค์ทรงทำสงครามด้วย
3.3. การต่างประเทศและความสัมพันธ์

ในปี ค.ศ. 1402 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเจรจากับพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการสร้างพันธมิตรระหว่างสหภาพนอร์ดิกกับราชอาณาจักรอังกฤษ ข้อเสนอคือการจัดพิธีเสกสมรสคู่ โดยกษัตริย์อีริคจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษ พระราชธิดาของกษัตริย์เฮนรี และพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษในอนาคต ซึ่งเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์เฮนรี จะเสกสมรสกับคาทารีนาแห่งพอเมอเรเนีย เคานท์เตสพาลาทีนแห่งน็อยมาคท์ พระขนิษฐาของกษัตริย์อีริค (ราว ค.ศ. 1390-1426) แม้พิธีอภิเษกสมรสคู่จะไม่เกิดขึ้น แต่การอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์อีริคกับเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษก็ประสบความสำเร็จในการเจรจา และนำไปสู่การสร้างพันธมิตรป้องกันกับอังกฤษ
การปกครองของกษัตริย์อีริคได้รับผลกระทบอย่างมากจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อกับเคานท์แห่งชอนบวร์คและฮ็อลชไตน์ พระองค์ทรงพยายามยึดคืนจัตแลนด์ใต้ (ชเลสวิช) ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอเคยเอาชนะได้มาแล้ว แต่กษัตริย์อีริคทรงเลือกใช้นโยบายการสงครามแทนการเจรจา ผลลัพธ์คือสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่สามารถพิชิตดินแดนได้ แต่ยังนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่จัตแลนด์ใต้ที่พระองค์ครอบครองอยู่แล้วด้วย ในช่วงสงครามนี้ พระองค์ทรงแสดงพลังและความหนักแน่นอย่างมาก แต่ก็ทรงขาดความเชี่ยวชาญในการดำเนินกลยุทธ์อย่างเห็นได้ชัด ในปี ค.ศ. 1424 คำตัดสินของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โดยซีกิสมุนท์ กษัตริย์แห่งเยอรมนี ซึ่งยอมรับให้กษัตริย์อีริคเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมตามกฎหมายของจัตแลนด์ใต้ กลับถูกละเลยโดยพวกขุนนางฮ็อลชไตน์ สงครามที่ยาวนานนี้สร้างความตึงเครียดอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเดนมาร์ก รวมถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของภูมิภาคทางเหนือ
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1426 ถึง 1435 พระองค์ทรงทำสงครามเดนมาร์ก-ฮันเซอ (1426-1435) กับสันนิบาตฮันเซอและฮ็อลชไตน์ เมื่อพวกฮันเซอและฮ็อลชไตน์โจมตีโคเปนเฮเกนในปี ค.ศ. 1428 กษัตริย์อีริคไม่ได้ประทับอยู่ในเมือง แต่ทรงอยู่ที่อารามโซเรอ และไม่เสด็จกลับมา ทำให้สมเด็จพระราชินีฟิลิปปา พระมเหสี ทรงบริหารการป้องกันเมืองหลวงแทน
3.4. การเสด็จประพาสยุโรปและจาริกแสวงบุญ
กษัตริย์อีริคทรงเป็นผู้ที่มีเสน่ห์และตรัสด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ซึ่งแสดงให้เห็นจากการเสด็จประพาสทั่วยุโรปครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1420 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 ขณะทรงเป็นบิชอป ได้บรรยายถึงกษัตริย์อีริคว่าทรงมี "พระวรกายงดงาม พระเกศาสีเหลืองอมแดง ใบหน้าแดง พระศอยาวแคบ...พระองค์ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ ทรงทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงกระโดดขึ้นประทับหลังม้าโดยไม่ต้องเหยียบโกลน พระองค์สามารถดึงดูดผู้หญิงทุกคนได้ โดยเฉพาะองค์จักรพรรดินีที่ทรงโหยหาความรัก"
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1423 จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1425 กษัตริย์อีริคเสด็จการจาริกแสวงบุญไปยังเยรูซาเลม หลังจากเสด็จพระราชดำเนินถึง พระองค์ได้รับการขนานพระนามให้เป็นอัศวินแห่งภาคีพระคูหาศักดิ์สิทธิ์โดยคณะฟรันซิสกัน ผู้พิทักษ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และในภายหลังพระองค์ก็ทรงขนานนามให้แก่อีวาน อันซ์ ฟรันโคปัน พระสหายผู้ร่วมคณะจาริกแสวงบุญด้วย ในช่วงที่พระองค์เสด็จจาริกแสวงบุญ สมเด็จพระราชินีฟิลิปปาทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของทั้งสามอาณาจักร โดยบัญชาการจากโคเปนเฮเกน
3.5. การกบฏภายในและผลกระทบทางสังคม
ในช่วงทศวรรษที่ 1430 นโยบายของกษัตริย์อีริคเริ่มล้มเหลวและนำไปสู่ความไม่สงบอย่างกว้างขวาง ในปี ค.ศ. 1434 ชาวนาและคนงานเหมืองในสวีเดนได้เริ่มก่อจลาจลในระดับอาณาจักรและสังคม ซึ่งในไม่ช้าก็ถูกขุนนางสวีเดนนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบั่นทอนอำนาจของกษัตริย์ กบฏเอ็งเงลเบรกท์ (ค.ศ. 1434-1436) นำโดยเอ็งเงลเบรกท์ เอ็งเงลเบรกท์สัน ขุนนางสวีเดน (ราว ค.ศ. 1390 - 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1436) ชาวสวีเดนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามกับสันนิบาตฮันเซอ (ค.ศ. 1426-35) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าของสวีเดนไปยังชเลสวิช, ฮ็อลชไตน์, เมคเลินบวร์ค และพอเมอเรเนีย การก่อกบฏครั้งนี้บั่นทอนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของสหภาพคาลมาร์อย่างรุนแรง นำไปสู่การขับไล่กองทัพเดนมาร์กออกจากสวีเดนเป็นการชั่วคราว
ในนอร์เวย์ ก็เกิดการกบฏเช่นกันในปี ค.ศ. 1436 นำโดยอามุนด์ ซีเกิร์ดสัน โบลท์ (ค.ศ. 1400-1465) ซึ่งส่งผลให้เกิดการปิดล้อมเมืองออสโลและป้อมปราการอาเกิชฮืส แต่ก็จบลงด้วยการเจรจาสงบศึก ในปี ค.ศ. 1438 เกิดการกบฏครั้งใหม่นำโดยฮัลล์วาร์ด กราท็อป ในนอร์เวย์ตะวันออก แต่การกบฏครั้งนี้ก็ถูกปราบปรามลงได้เช่นกัน
ในที่สุด กษัตริย์อีริคทรงยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องทั้งจากพวกฮ็อลชไตน์และสันนิบาตฮันเซอ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1435 พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาสันติภาพที่วอร์ดิงบอร์กกับสันนิบาตฮันเซอและฮ็อลชไตน์ ภายใต้ข้อกำหนดของสนธิสัญญา เมืองต่างๆ ของสันนิบาตฮันเซอได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสิทธิค่าใช้จ่ายเซาด์ และดัชชีชเลสวิชถูกผนวกเข้ากับเคานท์แห่งฮ็อลชไตน์
4. ชีวิตส่วนตัว
ชีวิตส่วนตัวของกษัตริย์อีริคแห่งพอเมอเรเนียมีทั้งการอภิเษกสมรสที่สำคัญและเรื่องอื้อฉาวที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพระองค์
4.1. การอภิเษกสมรส
ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1406 กษัตริย์อีริคทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษ พระชนมายุ 12 พรรษา ที่เมืองลุนด์ พิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้มาพร้อมกับการสร้างพันธมิตรป้องกันระหว่างอังกฤษและสหภาพนอร์ดิก สมเด็จพระราชินีฟิลิปปาทรงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงที่กษัตริย์อีริคเสด็จจาริกแสวงบุญ
4.2. พระสนม
หลังจากสมเด็จพระราชินีฟิลิปปาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1430 กษัตริย์อีริคทรงคบหากับเซซิเลีย ซึ่งเคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในพระราชินีฟิลิปปา เซซิเลียกลายมาเป็นพระสนมของพระองค์ และต่อมาได้เสกสมรสแบบต่างฐานันดรกับพระองค์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องอื้อฉาวและมีการยื่นคำร้องจากสภาอย่างเป็นทางการต่อพฤติกรรมของกษัตริย์
5. การถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์และช่วงปลายพระชนม์ชีพ
การปกครองของกษัตริย์อีริคแห่งพอเมอเรเนียมาถึงจุดสิ้นสุดด้วยการถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ของทั้งสามอาณาจักรในสหภาพคาลมาร์ หลังจากนั้นพระองค์ทรงกลับไปปกครองในฐานะดยุกแห่งพอเมอเรเนียจนกระทั่งสวรรคต
5.1. การถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์

เมื่อขุนนางเดนมาร์กต่อต้านการปกครองของกษัตริย์อีริค และปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันรับรองบอกึสเลาว์ที่ 9 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย ซึ่งเป็นตัวเลือกของกษัตริย์อีริคให้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เดนมาร์ก กษัตริย์อีริคจึงเสด็จออกจากเดนมาร์กเพื่อตอบโต้การกระทำนั้น และเสด็จไปประทับถาวรที่ปราสาทวิสบอร์กในเกาะเกิตลันด์ ซึ่งนำไปสู่การโค่นพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ด้วยการรัฐประหารโดยสภาแห่งชาติของเดนมาร์กและสวีเดนในปี ค.ศ. 1439
ในปี ค.ศ. 1440 ผู้สืบบัลลังก์ต่อจากอดีตกษัตริย์อีริคคือคริสโตเฟอร์แห่งบาวาเรีย พระนัดดาของพระองค์ ซึ่งได้รับเลือกให้ขึ้นครองราชบัลลังก์ทั้งเดนมาร์กและสวีเดน ในตอนแรกสภาริคสรัดในนอร์เวย์ยังคงจงรักภักดีต่อกษัตริย์อีริคและต้องการให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ต่อไป ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1439 กษัตริย์อีริคพระราชทานยศ ดร็อทเซเต drottseteดร็อทเซเตภาษานอร์เวย์ แก่ซิเกิร์ด จอนส์สัน โดยให้เขาปกครองนอร์เวย์ในพระปรมาภิไธยของพระองค์ แต่ด้วยกษัตริย์ทรงโดดเดี่ยวพระองค์เองอยู่ในเกิตลันด์ ขุนนางนอร์เวย์ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบให้ปลดกษัตริย์อีริคจากการรัฐประหารเช่นกันในปี ค.ศ. 1440 และพระองค์ถูกปลดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1442 เมื่อซิเกิร์ด จอนส์สันก้าวลงจากตำแหน่ง ดร็อทเซเต และคริสโตเฟอร์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์
หลังการสวรรคตของกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ในปี ค.ศ. 1448 กษัตริย์พระองค์ถัดไปเป็นพระญาติของอดีตกษัตริย์อีริค คือคริสเตียนแห่งอ็อลเดินบวร์ค (โอรสในดีทริช เคานท์แห่งอ็อลเดินบวร์ค ซึ่งเป็นศัตรูของกษัตริย์อีริคในช่วงต้นรัชกาล) ซึ่งได้สืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก ในขณะที่คาร์ล คนุตสัน บอนเด ได้สืบราชบัลลังก์สวีเดน การแข่งขันระหว่างกษัตริย์คริสเตียนและกษัตริย์คาร์ลเพื่อแย่งชิงบัลลังก์นอร์เวย์จึงเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1450 กษัตริย์คาร์ลทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์นอร์เวย์แก่กษัตริย์คริสเตียน
5.2. ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย

เป็นเวลากว่าสิบปีที่อดีตกษัตริย์อีริคประทับในเกาะเกิตลันด์ ซึ่งพระองค์ทรงต่อสู้กับการค้าทางทะเลในทะเลบอลติก โดยมีรายงานว่าทรงมีส่วนร่วมในการโจรสลัด
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1449 ถึง 1459 อดีตกษัตริย์อีริคสืบตำแหน่งต่อจากบอกึสเลาว์ที่ 9 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย ในฐานะดยุกแห่งพอเมอเรเนีย และทรงปกครองพอเมอเรเนีย-รือเกินวัลเดอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชชีพอเมอเรเนีย-สโต๊ร์ป ในฐานะ "อีริคที่ 1" พระองค์สวรรคตในปี ค.ศ. 1459 ณ ปราสาทดาร์โลโว และได้รับการฝังพระศพที่โบสถ์นักบุญแมรีในดาร์โลโว ประเทศโปแลนด์

นายกเทศมนตรีเมืองคีลได้เขียนถึงพระเจ้าคริสเตียนที่ 3 แห่งเดนมาร์กว่า กษัตริย์อีริคทรงสนับสนุนการสำรวจร่วมกันของดิดริค พีนิง และฮันส์ โพทฮอร์สต์ เพื่อสำรวจเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีการกล่าวอ้างว่าการเดินทางของพวกเขาหลังจากที่อีริคสวรรคตนั้นไปถึงกรีนแลนด์และมีการปะทะกับชาวอินูอิต
6. พระอิสริยยศและพระสมัญญานาม
พระอิสริยยศเต็มของกษัตริย์อีริคคือ: "พระมหากษัตริย์เดนมาร์ก, พระมหากษัตริย์สวีเดนและพระมหากษัตริย์นอร์เวย์, ชาวเวนด์และชาวกอท, ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย"
7. พงศาวลี
พงศาวลีของอีริคแห่งพอเมอเรเนียแสดงความเชื่อมโยงของพระองค์กับราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรปเหนือ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสืบราชบัลลังก์ของสหภาพคาลมาร์
| ความสัมพันธ์ | พระนาม |
|---|---|
| ปู่ทวด (ฝ่ายมารดา) | พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์ก |
| ปู่ (ฝ่ายมารดา) | บอกึสเลาว์ที่ 5 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย |
| ย่า (ฝ่ายมารดา) | อิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก ดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค |
| พระอัยยิกา (ฝ่ายมารดา) | สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก |
| บิดา | วาร์ทิสเลาว์ที่ 7 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย |
| มารดา | มาเรียแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน |
| อา/ลุง (ฝ่ายบิดา) | บอกึสเลาว์ที่ 8 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย |
| พระขนิษฐา | คาทารีนาแห่งพอเมอเรเนีย เคานท์เตสพาลาทีนแห่งน็อยมาคท์ |
| พระองค์เอง | อีริคแห่งพอเมอเรเนีย |
| พระนัดดา | บอกึสเลาว์ที่ 9 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย (โอรสของบอกึสเลาว์ที่ 8) |
| พระนัดดา (โอรสของคาทารีนา) | คริสตอฟแห่งบาวาเรีย |
8. การประเมินและผลกระทบ
การปกครองของกษัตริย์อีริคแห่งพอเมอเรเนียได้รับการประเมินที่แตกต่างกันไปในประวัติศาสตร์ โดยมีทั้งแง่มุมเชิงบวกในด้านการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสหภาพ และแง่มุมเชิงลบที่นำไปสู่ความไม่มั่นคงและการสูญเสียอำนาจ
8.1. การประเมินเชิงบวก
กษัตริย์อีริคทรงได้รับการยกย่องในความพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสหภาพคาลมาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้โคเปนเฮเกนเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์และเป็นเมืองหลวงของเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ นโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของพระองค์คือการริเริ่มการเก็บสิทธิค่าใช้จ่ายเซาด์ในปี ค.ศ. 1429 ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและมหาศาลสำหรับราชอาณาจักรเดนมาร์ก ทำให้เมืองเฮลซิงเงอร์เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของพระองค์ในการพัฒนาการค้าและอำนาจทางทะเลของเดนมาร์ก
8.2. การวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง

แม้จะมีความพยายามในการรวมศูนย์อำนาจ แต่รัชสมัยของกษัตริย์อีริคก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากปัจจัยหลายประการ:
- การเก็บภาษีที่สูงเกินไป**: พระองค์ทรงเก็บภาษีจำนวนมากจากทั้งสามราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการทำสงครามและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ประชาชนและขุนนาง โดยเฉพาะในนอร์เวย์และสวีเดน
- ความขัดแย้งกับสันนิบาตฮันเซอ**: การเก็บภาษีเออเรซุนด์นำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสันนิบาตฮันเซอ ซึ่งเป็นกลุ่มเมืองการค้าที่ทรงอิทธิพลในทะเลบอลติก สงครามที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาค
- ความไม่สงบทางสังคมและการกบฏ**: นโยบายที่เข้มงวดและการเก็บภาษีที่สูงเป็นสาเหตุหลักของการกบฏครั้งใหญ่ เช่น กบฏเอ็งเงลเบรกท์ในสวีเดน และการกบฏในนอร์เวย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างกว้างขวางของประชาชนและขุนนางต่อการปกครองของพระองค์
- การสูญเสียดินแดน**: แม้จะพยายามยึดคืนจัตแลนด์ใต้ แต่การดำเนินนโยบายสงครามที่ขาดความเชี่ยวชาญกลับนำไปสู่การสูญเสียดินแดนที่เคยครอบครองอยู่แล้ว
- พฤติกรรมส่วนตัว**: กษัตริย์อีริคทรงถูกบรรยายว่ามีอารมณ์ร้อน ขาดวิจารณญาณทางการทูต และทรงดื้อรั้นอย่างมาก นอกจากนี้ ความสัมพันธ์กับเซซิเลีย พระสนมของพระองค์ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีฟิลิปปา ยังเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สร้างความเสื่อมเสียแก่พระองค์ และมีการยื่นคำร้องจากสภาอย่างเป็นทางการต่อพฤติกรรมของพระองค์
โดยรวมแล้ว รัชสมัยของอีริคแห่งพอเมอเรเนียเป็นช่วงเวลาที่สหภาพคาลมาร์เผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ของพระองค์ แม้จะมีความพยายามในการรวมศูนย์อำนาจและการเสริมสร้างเศรษฐกิจ แต่การดำเนินนโยบายที่ขาดความยืดหยุ่นและการจัดการความขัดแย้งภายในที่ไม่ดีพอ ทำให้พระองค์ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของสหภาพไว้ได้.