1. อาชีพนักฟุตบอล
ซาบิโน บารินากาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลในวัยเด็กที่ประเทศอังกฤษในฐานะผู้ลี้ภัย ก่อนจะกลับมาสร้างชื่อเสียงในลาลิกาของสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสโมสรเรอัลมาดริด ที่ซึ่งเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษและประสบความสำเร็จอย่างสูง ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอื่น ๆ ในช่วงท้ายของอาชีพนักฟุตบอล
1.1. ชีวิตช่วงต้นและประสบการณ์ลี้ภัย
ซาบิโน บารินากา อัลเบร์ดี เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1922 ที่เมืองดูรังโก จังหวัดบิสกายา ประเทศสเปน ในช่วงวัยรุ่น เมื่อสงครามกลางเมืองสเปนปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1937 เขาพร้อมกับพี่น้องสองคนจากทั้งหมดสามคนได้อพยพไปยังประเทศอังกฤษ ในกลุ่มผู้ลี้ภัยชุดเดียวกันนั้น มีอีกหลายคนที่ภายหลังกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เช่น เอมิลิโอ อัลเดโคอา โฮเซ กาเยโก และ รายมุนโด เลซามา ขณะที่กำลังเล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียนมัธยมในท้องถิ่น บารินากาได้รับการทาบทามจากสโมสรเซาแธมป์ตัน และได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมสำรองของสโมสร เขาใช้เวลาหนึ่งฤดูกาลกับทีมสำรองและสามารถทำประตูไปได้ถึง 62 ประตู
1.2. อาชีพนักฟุตบอลช่วงต้น
เมื่อสงครามกลางเมืองสเปนสิ้นสุดลงและสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น บารินากาได้เดินทางกลับสู่สเปนบ้านเกิดของเขา ในเวลานั้น เขาได้รับการทาบทามจากสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งบาสก์อย่างแอทเลติกบิลบาโอ แต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนอ และเลือกที่จะย้ายไปร่วมทีมเรอัลมาดริดแทน บารินากาลงสนามในลาลิกาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1940 ในเกมเยือนที่เรอัลมาดริดพ่ายแพ้ต่อแอทเลติกบิลบาโอ 1-3 ซึ่งเป็นเพียงนัดเดียวที่เขาลงสนามในฤดูกาล 1939-40 บารินากาในตำแหน่งกองหน้าตัวในฝั่งขวา จากปี ค.ศ. 1943 ถึง 1945 หลังจากใช้เวลาเกือบสองปีในการยืมตัวกับเรอัลบายาโดลิดในเซกุนดาดิบิซิออน เขาทำประตูในลีกได้ 38 ประตูจากการลงสนาม 48 นัด แต่ทีม "เมเรงเกส" (ฉายาของเรอัลมาดริด) กลับไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดๆ ได้ในช่วงเวลานั้น
1.3. ความสำเร็จกับเรอัลมาดริด
ซาบิโน บารินากาใช้เวลาเก้าปีกับเรอัลมาดริด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสร เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1947 เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำประตูแรกในสนามซานเตียโกเบร์นาเบว ในนัดที่เรอัลมาดริดเอาชนะสโมสรโอสเบเลเนนเซสจากโปรตุเกสไป 3-1 ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่กับสโมสร เขาคว้าถ้วยรางวัลสำคัญสามรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โกปาเดลเฆเนราลิซิโม (ปัจจุบันคือโกปาเดลเรย์) สองสมัย คือในปี ค.ศ. 1946 และ 1947 ในนัดชิงชนะเลิศโกปาเดลเฆเนราลิซิโม ปี 1946 บารินากาเป็นผู้ทำประตูได้ในเกมที่เรอัลมาดริดเอาชนะบาเลนเซีย 3-1 นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์โกปาเอวาดูวาร์เตในปี ค.ศ. 1947 อีกด้วย หนึ่งในผลงานที่น่าจดจำที่สุดของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1943 ในเกมรอบรองชนะเลิศโกปาเดลเฆเนราลิซิโม 1943 ที่เรอัลมาดริดพบกับบาร์เซโลนา หลังพ่ายแพ้ในเลกแรก 0-3 ที่กัมเดเลสกอร์ต (สนามเก่าของบาร์เซโลนา) บารินากาทำคนเดียวถึงสี่ประตูภายในเวลาเพียง 13 นาที ช่วยให้เรอัลมาดริดถล่มบาร์เซโลนาไป 11-1 ในบ้าน สร้างผลงานที่น่าเหลือเชื่อและยังคงถูกกล่าวถึงในวงการฟุตบอลสเปนจนถึงปัจจุบัน
1.4. อาชีพนักฟุตบอลช่วงปลายและการเลิกเล่น
ซาบิโน บารินากาออกจากเรอัลมาดริดในปี ค.ศ. 1950 ในฐานะผู้เล่นอิสระ โดยในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเรอัลมาดริด (1949-50) เขาถูกปรับบทบาทให้เล่นในตำแหน่งกองหลังตัวกลางเป็นหลัก หลังจากนั้น เขาย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดอีกสามฤดูกาลกับสโมสรเรอัลโซซิเอดัด ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคบาสก์อันเป็นบ้านเกิดของเขา (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึง 1953) ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1954 บารินากาได้ร้องขอให้สโมสรปล่อยตัวเขา และเขาย้ายไปร่วมทีมเรอัลเบติส ที่นั่น เขาได้ตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
2. อาชีพผู้จัดการทีม
หลังจากยุติบทบาทในฐานะนักฟุตบอล ซาบิโน บารินากาได้เริ่มต้นเส้นทางใหม่ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอล โดยมีประสบการณ์คุมทีมทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติรวมระยะเวลาเกือบ 25 ปี
2.1. การคุมทีมสโมสร
ซาบิโน บารินากาเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมกับสโมสรสุดท้ายที่เขาเคยเล่นด้วยในฐานะนักฟุตบอล นั่นคือเรอัลเบติส ในฤดูกาล 1957-58 เขาได้ย้ายไปคุมทีมโอซาซูนาในดิวิชั่นหนึ่งของสเปน และยังคงคุมทีมในลีกสูงสุดเป็นส่วนใหญ่ตลอดทศวรรษถัดมา ในปี ค.ศ. 1962 เขาสามารถนำทีมมาลากาเลื่อนชั้นจากเซกุนดาดิบิซิออนขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จในฤดูกาล 1961-62 แต่ก็ต้องประสบกับชะตากรรมการตกชั้นกลับไปในฤดูกาลถัดมา (1962-63) ชะตากรรมเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้งเมื่อคุมทีมเรอัลเบติสในปี 1968 และมายอร์กาในปี 1970 นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์คุมทีมสโมสรใหญ่ในสเปนอีกหลายแห่ง เช่น อัตเลติโกเดมาดริด (ค.ศ. 1963-1964) บาเลนเซีย (ค.ศ. 1965-1966) และเซบิยา (ค.ศ. 1966) ในต่างประเทศ บารินากาเคยทำงานเป็นผู้จัดการทีมกลุบอาเมริกาในประเทศเม็กซิโกอยู่ไม่กี่เดือน งานสุดท้ายของเขาคือการคุมทีมเรอัลโอเบียโด ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาเคยคุมในลีกสูงสุดเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นจากเซกุนดาดิบิซิออนได้ในฤดูกาล 1977-78
2.2. การคุมทีมชาติ
นอกจากการคุมทีมสโมสรแล้ว ซาบิโน บารินากายังมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้จัดการทีมชาติ เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมทีมชาติไนจีเรียระหว่างปี ค.ศ. 1968 ถึง 1969 และหลังจากนั้นได้คุมทีมชาติโมร็อกโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 ถึง 1972 โดยนำทีมลงแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 1972
3. เกียรติประวัติ
ซาบิโน บารินากาได้รับเกียรติประวัติมากมายในฐานะนักฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเรอัลมาดริด
- เรอัลมาดริด
- โกปาเดลเฆเนราลิซิโม: ค.ศ. 1946, 1947
- โกปาเอวาดูวาร์เต: ค.ศ. 1947
4. การเสียชีวิต
ซาบิโน บารินากาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1988 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ด้วยวัย 65 ปี สาเหตุการเสียชีวิตของเขาคือโรคหัวใจ ร่างของเขาได้รับการฝังไว้ที่สุสานอัลมูเดนาในกรุงมาดริด
5. การประเมินผลและมรดก
ชีวิตและอาชีพของซาบิโน บารินากาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการปรับตัว ตั้งแต่การเป็นผู้ลี้ภัยที่ต้องพลัดถิ่นในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน เขาสามารถพลิกผันสถานการณ์และสร้างชื่อเสียงในฐานะนักฟุตบอลระดับสูง โดยเฉพาะการเป็นผู้ทำประตูแรกในสนามซานเตียโกเบร์นาเบว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเป็นที่รักของเรอัลมาดริด และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ความสำเร็จในการคว้าแชมป์โกปาเดลเฆเนราลิซิโมสองสมัย และผลงานที่โดดเด่นในเกมถล่มบาร์เซโลนา 11-1 ล้วนตอกย้ำถึงทักษะและความสำคัญของเขาในยุคนั้น ในฐานะผู้จัดการทีม เขามีส่วนในการนำหลายสโมสรขึ้นสู่ลีกสูงสุด แม้จะต้องเผชิญกับการตกชั้นอยู่บ้าง แต่ประสบการณ์อันยาวนานเกือบ 25 ปี รวมถึงการได้คุมทีมชาติไนจีเรียและโมร็อกโก สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และความทุ่มเทที่เขามีต่อวงการฟุตบอล มรดกของบารินากาไม่เพียงแต่เป็นผลงานในสนาม แต่ยังรวมถึงเรื่องราวของบุคคลที่เอาชนะอุปสรรคและอุทิศตนเพื่อกีฬาที่เขารัก โดยทิ้งร่องรอยอันเด่นชัดไว้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปนและระดับนานาชาติ