1. ภาพรวม

คลอดีน หรือ คลอเดีย (ประมาณ ค.ศ. 1451 - 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1515) ทรงเป็นเจ้าหญิงผู้ครองนครรัฐโมนาโกระหว่างปี ค.ศ. 1457 ถึง ค.ศ. 1458 และเป็นพระมเหสีแห่งโมนาโกจากการอภิเษกสมรสกับเจ้าชายลัมเบร์โตแห่งโมนาโก พระองค์ทรงเป็นทายาทเพียงพระองค์เดียวของพระบิดา และด้วยกฎการสืบราชสันตติวงศ์ที่อนุญาตให้สตรีขึ้นครองราชย์ได้ ทำให้พระองค์ทรงเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์โมนาโก อย่างไรก็ตาม การสืบราชสมบัติของพระองค์ต้องเผชิญกับความท้าทายจากอำนาจของผู้ชายในราชวงศ์ ซึ่งนำไปสู่การที่พระองค์ทรงถูกลดทอนบทบาทจากเจ้าหญิงผู้ครองนครให้เป็นเพียงพระมเหสี แม้ว่าพระองค์จะทรงมีบทบาทสำคัญในการรักษาและส่งต่อราชวงศ์ตระกูลกริมัลดีให้คงอยู่บนบัลลังก์โมนาโกผ่านการอภิเษกสมรสและพินัยกรรมในภายหลัง
2. ชาติกำเนิดและภูมิหลัง
คลอดีนประสูติประมาณปี ค.ศ. 1451 เป็นพระธิดาของบล็องช์ เดล การ์เรตโตและกาตาลัน กริมัลดี พระองค์ทรงเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระบิดา จึงทรงเป็นทายาทโดยชอบธรรมในการสืบราชสมบัติแห่งโมนาโก การสืบราชสันตติวงศ์ของโมนาโกได้รับการกำหนดไว้โดยพระอัยกาของพระองค์คือฌ็องที่ 1 ซึ่งอนุญาตให้สตรีสามารถสืบราชสมบัติได้ โดยมีเงื่อนไขว่าทายาทสตรีจะต้องรักษานามสกุลกริมัลดีของตนเองไว้หลังการอภิเษกสมรส และจะต้องส่งต่อนามสกุลนี้ให้แก่พระโอรสธิดาของพระองค์ และพระสวามีของพระองค์จะต้องรับนามสกุลและตราอาร์มของพระมเหสีด้วย ตำแหน่งของคลอดีนในฐานะทายาทแห่งบัลลังก์โมนาโกได้รับการยืนยันเพิ่มเติมจากพระบิดาของพระองค์
ในพินัยกรรมของพระองค์ กาตาลันระบุว่าพระองค์จะถูกสืบราชสมบัติโดยพระธิดาคือคลอดีน ซึ่ง (เพื่อปรับให้เข้ากับพินัยกรรมของพระบิดาที่ว่าผู้ปกครองสตรีจะต้องไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์) จะต้องอภิเษกสมรสกับพระญาติลำดับที่เจ็ดของพระองค์คือลัมเบร์โต กริมัลดีแห่งอ็องทีบ เพื่อให้แน่ใจว่าตระกูลกริมัลดีจะยังคงครองบัลลังก์โมนาโกและหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงแต่งตั้งพระมารดาของพระองค์คือปอเมลลินา เฟรโกโซเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งโมนาโกจนกว่าพระธิดาจะทรงบรรลุนิติภาวะ และในกรณีที่ปอเมลลินาสิ้นพระชนม์ พระอนุชาเขยของพระองค์คือปิแยร์ เฟรโกโซ จะสืบทอดตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของคลอดีนจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
3. เจ้าหญิงผู้ครองโมนาโก
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1457 กาตาลันสิ้นพระชนม์ขณะที่คลอดีนมีพระชนมายุเพียงหกพรรษา และพระอัยยิกาฝ่ายพระบิดาคือปอเมลลินา เฟรโกโซ จึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งโมนาโกตามพินัยกรรมที่เขียนไว้ของพระโอรส อย่างไรก็ตาม คู่หมั้นของคลอดีนคือลัมเบร์โตได้คัดค้านพินัยกรรมและเรียกร้องขอมีส่วนร่วมในการสำเร็จราชการแทนพระองค์ และข้อเรียกร้องของพระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ดังนั้นในวันที่ 20 ตุลาคม ปอเมลลินาจึงทรงถูกบีบให้ลงนามในคำแถลงที่ระบุว่าพระองค์จะต้องแบ่งอำนาจการสำเร็จราชการกับลัมเบร์โต หลังจากนั้น ปอเมลลินาได้ทรงเตรียมการที่จะขับไล่และสังหารลัมเบร์โตในการก่อรัฐประหาร โดยร่วมมือกับปิแยร์ เฟรโกโซ และปิแยร์ กริมัลดี เจ้าผู้ครองบูล ซึ่งปอเมลลินาได้ทรงสัญญาว่าจะให้เขาเป็นพ่อตาของคลอดีน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1458 แผนการก่อรัฐประหารได้ถูกดำเนินการขึ้น แต่ลัมเบร์โตสามารถหลบหนีไปได้ ด้วยการสนับสนุนจากประชากรของเมืองเมนตงและร็อกเกอบรุนน์ พระองค์ได้โค่นล้มรัฐบาลผู้สำเร็จราชการของปอเมลลินา กักขังพระองค์ไว้ในบ้านที่เมนตง และประกาศตนเองเป็นเจ้าผู้ปกครองสูงสุด รวมถึงเป็นผู้สำเร็จราชการและผู้ครอบครองสิทธิ์ของคลอดีน
4. พระมเหสีแห่งโมนาโก
สิทธิ์ของคลอดีนนั้นค่อนข้างคลุมเครือ ลัมเบร์โตถือว่าตนเองได้พิชิตบัลลังก์โมนาโก และได้เข้าครอบครองสิทธิ์ของคลอดีนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยการอนุมัติจากสาธารณชน ดังนั้นคลอดีนจึงไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ปกครองโดยสิทธิของพระองค์เองอีกต่อไป แต่โดยพื้นฐานแล้วทรงถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การอภิเษกสมรสตามราชวงศ์ระหว่างคลอดีนและลัมเบร์โตยังคงต้องเกิดขึ้น แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากเจ้าสาวมีพระชนมายุยังน้อย
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1460 แผนการที่จัดทำขึ้นโดยปอเมลลินา, ปิแยร์ เดอ บูล และเคานต์เดอ ตองด์ (โดยมีคลอดีนและสิทธิ์ในราชวงศ์ของพระองค์เป็นศูนย์กลางอีกครั้ง) ส่งผลให้เกิดการโจมตีโมนาโกและการปกครองของลัมเบร์โต ซึ่งแผนการนี้ล้มเหลว
การอภิเษกสมรสระหว่างคลอดีนและลัมเบร์โตเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1465 ที่เมืองวองติมิลล์ การอภิเษกสมรสระหว่างคลอดีนและลัมเบร์โตได้รับการบรรยายมาแต่โบราณว่าเป็นชีวิตคู่ที่มีความสุข มีข้อมูลไม่มากนักว่าพระองค์เคยมีส่วนร่วมทางการเมืองในระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งพระมเหสีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1483 ลัมเบร์โตเห็นว่าจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากคลอดีนในการปกครองและกำหนดพินัยกรรมของการสืบราชสันตติวงศ์หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นการสละสิทธิ์ของพระองค์และเป็นการยินยอมให้ลัมเบร์โตใช้สิทธิ์เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ลัมเบร์โตยังคงรวมพระนามของพระองค์ไว้เมื่อพระองค์ประกาศอำนาจอธิปไตยเหนือจังหวัดเมนตงที่ก่อกบฏ ซึ่งยังไม่ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งปี ค.ศ. 1491
5. ช่วงหลังของชีวิตและการสิ้นพระชนม์
เมื่อลัมเบร์โตสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1494 พระโอรสของทั้งสองคือฌ็องได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองโมนาโกในพระนามฌ็องที่ 2 คลอดีนทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวกว่าฌ็อง ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ในปี ค.ศ. 1505 โดยพระอนุชาของพระองค์คือลูเซียง ผู้ซึ่งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครต่อมา ตามธรรมเนียม คลอดีนทรงประทับอยู่ด้วยในระหว่างการลอบปลงพระชนม์พระโอรสของพระองค์โดยพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง กล่าวกันว่าพระองค์ทรงไว้ทุกข์ให้ฌ็องอย่างเปิดเผยหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นของพระองค์เกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์ต่อผู้ลอบปลงพระชนม์และผู้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งก็คือลูเซียง พระโอรสของพระองค์เอง แม้ว่าความจงรักภักดีของพระองค์ต่อพระโอรสฌ็องจะได้รับการเข้าใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงยืนกรานที่จะถูกฝังเคียงข้างฌ็อง แต่พระองค์ก็ทรงจงรักภักดีต่อลูเซียงด้วย ซึ่งพระองค์ทรงเชื่อในข้ออ้างของลูเซียงที่ว่าเป็นการป้องกันตัว
คลอดีนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1515 ในรัชสมัยของลูเซียง ในพินัยกรรมของพระองค์ พระองค์ระบุว่าสิทธิ์ของพระองค์ในสามจังหวัดของลอร์ดชิปแห่งโมนาโกจะถูกส่งต่อไปยังพระโอรสธิดาของพระองค์ตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ที่ระบุไว้ในพินัยกรรมของพระบิดาและพระอัยกาของพระองค์ ซึ่งเป็นการรับรองการสืบราชสมบัติของสตรีโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ พระองค์ยังทรงคืนสิทธิ์การสืบราชสมบัติให้แก่พระนัดดาคือมารี กริมัลดี (พระธิดาของฌ็องที่ 2) แม้ว่าลูเซียงจะบังคับให้พระองค์สละสิทธิ์ในการอภิเษกสมรสก็ตาม เนื่องจากคลอดีนไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ปกครองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1458 การที่พระองค์สามารถทำพินัยกรรมเกี่ยวกับสิทธิ์ในบัลลังก์ของพระองค์เพื่อกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์ได้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของพระองค์
6. พระราชบุตรและธิดา
คลอดีนทรงมีพระโอรสธิดาอย่างน้อยหกพระองค์ หรือมากถึงสิบสี่พระองค์ ได้แก่
- ฌ็องที่ 2 (ค.ศ. 1468 - 11 ตุลาคม ค.ศ. 1505)
- หลุยส์ (ถูกตัดสินว่าวิกลจริตและถูกตัดสิทธิ์จากการสืบทอด)
- บล็องช์ กริมัลดี อภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1501 กับออนอเร (บารอนแห่งตูเรตต์) เดอ วิลล์เนิฟ ดัสปินูส ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับนีกอลา กริมัลดี สำหรับออนอเรที่ 1 พระโอรสของลูเซียงในปี ค.ศ. 1532
- ออกุสติโน บิชอปแห่งกราสส์ (ค.ศ. 1482 - 14 เมษายน ค.ศ. 1532)
- ฟรันเชสกา (สิ้นพระชนม์ก่อนปี ค.ศ. 1523) อภิเษกสมรสกับลุก ดอเรีย บุตรชายของพระองค์คือบาร์โธโลมิว ดอเรีย เป็นผู้สังหารพระเชษฐาของพระองค์คือลูเซียง
- ลูเซียง (ค.ศ. 1487 - 22 สิงหาคม ค.ศ. 1523)
7. การประเมิน
การประเมินทางประวัติศาสตร์และสังคมเกี่ยวกับคลอดีนสะท้อนถึงบทบาทที่ซับซ้อนของพระองค์ในฐานะทายาทและผู้ปกครองหญิงในยุคที่อำนาจมักถูกผูกขาดโดยผู้ชาย การตัดสินใจและผลกระทบของพระองค์จึงถูกมองผ่านเลนส์ของความพยายามในการรักษาอำนาจของราชวงศ์กริมัลดี ท่ามกลางการช่วงชิงอำนาจภายในครอบครัว
7.1. การประเมินเชิงบวก
คลอดีนทรงมีคุณูปการสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของราชวงศ์กริมัลดีบนบัลลังก์โมนาโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการอภิเษกสมรสกับลัมเบร์โต กริมัลดี ซึ่งเป็นพระญาติ การแต่งงานครั้งนี้เป็นไปตามพินัยกรรมของพระบิดาและพระอัยกาที่ต้องการให้ราชวงศ์คงอยู่ต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแปลงสายสกุล แม้ว่าพระองค์จะทรงถูกลดทอนอำนาจในฐานะผู้ปกครอง แต่การยอมรับบทบาทเป็นพระมเหสีและให้ความยินยอมในการกำหนดพินัยกรรมสืบราชสันตติวงศ์ของลัมเบร์โตในปี ค.ศ. 1483 ก็เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของพระองค์ในการรักษาเสถียรภาพของราชวงศ์ นอกจากนี้ ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ พินัยกรรมของพระองค์ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะรักษาสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของสตรีในราชวงศ์ โดยเฉพาะการคืนสิทธิ์ให้แก่พระนัดดา มารี กริมัลดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความสำคัญของสายเลือดและกฎการสืบราชสันตติวงศ์ที่เคยถูกกำหนดไว้
7.2. ข้อถกเถียงและคำวิจารณ์
ชีวิตของคลอดีนเต็มไปด้วยข้อถกเถียงเกี่ยวกับการถูกช่วงชิงอำนาจและสิทธิ์ในการปกครอง พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงผู้ครองนครโดยชอบธรรม แต่กลับถูกลดทอนอำนาจอย่างรวดเร็วโดยลัมเบร์โต ซึ่งอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองสูงสุดและผู้ครอบครองสิทธิ์ของคลอดีนด้วยการสนับสนุนจากประชาชน การกระทำนี้ทำให้สถานะของคลอดีนในฐานะผู้ปกครองโดยสิทธิของพระองค์เองถูกบดบังไปอย่างสิ้นเชิง และพระองค์ทรงถูกมองว่าถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยปริยาย แม้ว่าพระองค์จะทรงลงนามในพินัยกรรมที่ให้ความยินยอมแก่ลัมเบร์โต แต่การกระทำนั้นก็อาจถูกมองว่าเป็นการถูกบีบบังคับภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่อำนาจไม่ได้อยู่ในมือของพระองค์ นอกจากนี้ เหตุการณ์การลอบปลงพระชนม์ฌ็องที่ 2 โดยลูเซียง พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของพระองค์ ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ แม้ว่าคลอดีนจะทรงไว้ทุกข์ให้ฌ็องอย่างเปิดเผย แต่การที่พระองค์ทรงเชื่อในข้ออ้างของลูเซียงว่าเป็นการป้องกันตัว และยังคงจงรักภักดีต่อลูเซียง ก็อาจเป็นประเด็นที่นักประวัติศาสตร์นำมาถกเถียงถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ในครอบครัวและแรงกดดันทางการเมืองที่พระองค์ต้องเผชิญ
8. อิทธิพล
อิทธิพลของคลอดีนที่มีต่อประวัติศาสตร์โมนาโกนั้นโดดเด่นในบทบาทของพระองค์ในการสืบทอดราชวงศ์กริมัลดี แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นเจ้าหญิงผู้ครองนครเพียงช่วงสั้นๆ และสิทธิ์ในการปกครองของพระองค์จะถูกลัมเบร์โตเข้าครอบครองไป แต่การอภิเษกสมรสของพระองค์กับลัมเบร์โต กริมัลดี ดิ อ็องทีบ ซึ่งเป็นพระญาติ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์กริมัลดีสามารถรักษาบัลลังก์โมนาโกไว้ได้ตามเจตนารมณ์ของพระอัยกาและพระบิดาของพระองค์ การที่พระองค์ทรงยืนกรานที่จะทำพินัยกรรมเพื่อกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์และคืนสิทธิ์ให้แก่พระนัดดา มารี กริมัลดี ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ แสดงให้เห็นถึงความตระหนักของพระองค์ต่อความสำคัญของกฎการสืบราชสมบัติและสายเลือดกริมัลดี แม้ว่าสถานะทางกฎหมายของพระองค์ในขณะนั้นจะคลุมเครือก็ตาม กรณีของคลอดีนจึงเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการศึกษาถึงความท้าทายและข้อจำกัดของบทบาทสตรีในการปกครองและสืบทอดอำนาจในยุคสมัยนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีกฎหมายรองรับการสืบราชสมบัติของสตรี แต่การช่วงชิงอำนาจภายในราชวงศ์ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของผู้ปกครองได้