1. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์เกิดในชื่อแอ็นสท์ ชือมาโนฟสกี ที่เมือง ฮิลเชินบัค ในอดีตจังหวัดเว็สท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี การศึกษาในวัยเด็กของเขาเริ่มขึ้นที่ มึลไฮม์ ในช่วง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้เข้าร่วมเป็นพลทหารตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 ถึง ค.ศ. 1919 หลังจากปลดประจำการ เขาได้ศึกษา เทววิทยา ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 จนถึง ค.ศ. 1921 หรือบางแหล่งระบุว่าถึงปี ค.ศ. 1922 และได้บวชเป็นศิษยาภิบาลของ ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1924 ต่อมาในปี ค.ศ. 1935 เขาได้เข้าร่วมกระทรวงกิจการคริสตจักรแห่งไรช์ (Reichskirchenministerium) ก่อนจะถูกย้ายไปประจำการที่ สำนักงานความมั่นคงหลักแห่งไรช์ (Reichssicherheitshauptamt) ซึ่งเป็นองค์กรหลักด้านความมั่นคงของนาซีเยอรมนี
2. กิจกรรมในระบอบนาซี
แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ มีบทบาทสำคัญในการกระทำของระบอบนาซี ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมพรรคนาซีและหน่วยเอ็สเอ็ส การรับราชการทหาร บทบาทในฐานะหัวหน้าสำนักงานเกสตาโปที่ออปเพิล การมีส่วนร่วมในการเนรเทศชาวยิว และการเปลี่ยนนามสกุลจากชือมาโนฟสกีเป็นบีเบอร์ชไตน์ การกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงการละทิ้งค่านิยมทางจริยธรรมที่ควรมีในฐานะศิษยาภิบาล และการยอมเข้าร่วมในระบบที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างเป็นระบบ
2.1. การเข้าร่วมพรรคนาซีและเอ็สเอ็ส
บีเบอร์ชไตน์ได้เข้าร่วม พรรคนาซี ในปี ค.ศ. 1926 และต่อมาได้เข้าเป็นสมาชิกของหน่วยเอ็สเอ็ส (ชุทซ์ชทัฟเฟิล) เมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1936 โดยมีหมายเลขสมาชิกคือ 272692 ในช่วงเริ่มต้นของการเป็นสมาชิก เขาถูกจัดให้อยู่ในหน่วยเอ็สเด (หน่วยข่าวกรองของเอ็สเอ็ส) ระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคม ค.ศ. 1940 เขาได้กลับเข้ารับราชการทหารอีกครั้งและได้ประจำการใน แนวรบด้านตะวันตก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
2.2. บทบาทในเกสตาโปและการเปลี่ยนนามสกุล
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1941 บีเบอร์ชไตน์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักงาน เกสตาโป ประจำเมือง ออปเพิล (ปัจจุบันคือ ออปอเล) ในตำแหน่งนี้ เขาได้มีส่วนร่วมโดยตรงในการเนรเทศชาวยิวจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการกวาดล้างและกำจัดชาวยิวของระบอบนาซี ในปีเดียวกันนั้นเอง เขายังได้เปลี่ยนนามสกุลของตนจาก "ชือมาโนฟสกี" (ซึ่งอาจบ่งบอกถึงเชื้อสายโปแลนด์หรือสลาฟ) เป็น "บีเบอร์ชไตน์" โดยอ้างว่าเป็นชื่อดั้งเดิมของตระกูล การเปลี่ยนนามสกุลนี้สะท้อนถึงความพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับอุดมการณ์นาซีที่เน้นย้ำถึงเชื้อสายอารยัน
2.3. การบังคับบัญชาหน่วยไอน์ซัทซ์คอมมันโด 6 และอาชญากรรมสงคราม
ภายหลังการลอบสังหารไรน์ฮาร์ท ไฮดริช ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการหน่วย ไอน์ซัทซ์คอมมันโด 6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กลุ่ม C หน่วยพิเศษเคลื่อนที่ที่รับผิดชอบการสังหารหมู่พลเรือนในยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวและผู้ต่อต้านระบอบนาซี เขาได้บังคับบัญชาหน่วยนี้จนถึงปี ค.ศ. 1943 ภายใต้การนำของเขา หน่วยไอน์ซัทซ์คอมมันโด 6 ได้ก่ออาชญากรรมสงครามสังหารผู้คนไปประมาณ 2,000 ถึง 3,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว
มีหลักฐานระบุว่าที่เมือง รอสตอฟ-ออน-ดอน บีเบอร์ชไตน์ได้กำกับดูแลการประหารชีวิตผู้คนประมาณ 50 ถึง 60 คนด้วยตนเอง โดยผู้เคราะห์ร้ายจะถูกบังคับให้เปลื้องผ้าและสิ่งของมีค่าออก ก่อนจะถูกรมแก๊สและทิ้งศพไว้ในหลุมฝังศพหมู่ นอกจากนี้ เขายังอยู่ในเหตุการณ์การประหารชีวิตที่ผู้เคราะห์ร้ายถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าที่ขอบหลุม ก่อนจะถูกยิงด้วยปืนกลมือ การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายไร้มนุษยธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
3. การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์กและชีวิตหลังสงคราม
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีนูเรมเบิร์กในฐานะหนึ่งในผู้กระทำความผิดในการพิจารณาคดีไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ซึ่งเป็นคดีที่มุ่งเน้นไปที่อาชญากรรมที่กระทำโดยหน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน
3.1. การพิจารณาคดีไอน์ซัทซ์กรุพเพิน
บีเบอร์ชไตน์เป็นจำเลยในการพิจารณาคดีไอน์ซัทซ์กรุพเพินที่จัดขึ้น ณ นูเรมเบิร์ก โดยการพิจารณาคดีของเขาเริ่มต้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947 และสิ้นสุดลงในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1948 ในระหว่างการอ่านคำฟ้อง เขาและจำเลยคนอื่น ๆ ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม ศาลได้นำเสนอหลักฐานที่ชี้ว่าหน่วยไอน์ซัทซ์คอมมันโด 6 ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาได้ประหารชีวิตผู้คนไปประมาณ 2,000 ถึง 3,000 คน นอกจากนี้ ยังมีพยานหลักฐานที่เปิดเผยว่าที่เมืองรอสตอฟ บีเบอร์ชไตน์ได้กำกับดูแลการประหารชีวิตผู้คนประมาณ 50 ถึง 60 คนด้วยตนเอง โดยเหยื่อถูกปลดทรัพย์สินและเสื้อผ้าบางส่วน ก่อนจะถูกรมแก๊สและทิ้งไว้ในหลุมฝังศพหมู่ เขายังอยู่ในเหตุการณ์การประหารชีวิตที่เหยื่อถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าที่ขอบหลุมและถูกสังหารด้วยปืนกลมือ
3.2. คำพิพากษา การลดหย่อนโทษ และการปล่อยตัว
ผลการพิจารณาคดี แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ถูกตัดสินว่ามีความผิดในที่สุด และถูกโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ อย่างไรก็ตาม โทษของเขาได้รับการทบทวนโดย "คณะกรรมการแพ็ก" และในปี ค.ศ. 1951 โทษประหารชีวิตได้ถูกลดหย่อนลงเป็นการจำคุกตลอดชีวิต บีเบอร์ชไตน์ได้ยื่นขอทัณฑ์บนหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1958 กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องขังทั้งสี่คนที่ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำลันด์สแบร์ก ซึ่งรวมถึงบีเบอร์ชไตน์ด้วย แม้ว่าคณะกรรมการจะปฏิเสธการให้ทัณฑ์บนแก่บีเบอร์ชไตน์ แต่ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดหย่อนโทษจำคุกตลอดชีวิตของเขาและผู้ต้องขังอีกสามคนให้เหลือเพียงระยะเวลาที่ถูกคุมขัง คำสั่งลดหย่อนโทษดังกล่าวมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1958 และบีเบอร์ชไตน์ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในอีกสามวันต่อมาคือวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1958
3.3. ชีวิตและวาระสุดท้าย
หลังจากได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1958 แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ได้กลับไปทำหน้าที่ศิษยาภิบาลอีกครั้งในช่วงสั้น ๆ เขาใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายและเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1986 ที่เมือง นอยมึนส์เทอร์
4. การพรรณนาในวัฒนธรรมสมัยนิยม
แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์ถูกพรรณนาในสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะในมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง "ฮอโลคอสต์" ของช่อง เอ็นบีซี ที่ออกอากาศในปี ค.ศ. 1978 ซึ่งเขาถูกแสดงโดยนักแสดงชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด ฮาร์ดวิก
5. การประเมินและมรดกทางประวัติศาสตร์
แอ็นสท์ บีเบอร์ชไตน์เป็นบุคคลที่แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของการที่ปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งทางศาสนาอันทรงเกียรติ สามารถหันหลังให้กับหลักจริยธรรมและมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ มรดกทางประวัติศาสตร์ของเขาเป็นเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดถึงการทรยศต่อมนุษยธรรมและประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง การตัดสินใจของเขาในการเข้าร่วมพรรคนาซีและปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเอ็สเอ็ส รวมถึงการบังคับบัญชาหน่วยไอน์ซัทซ์คอมมันโด 6 ซึ่งรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์นับพันคนนั้น แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำทางศีลธรรมอย่างลึกซึ้ง
กรณีของบีเบอร์ชไตน์ตอกย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบอำนาจรัฐ การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านอุดมการณ์ที่มุ่งบ่อนทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชนและหลักการความยุติธรรมในสังคม บทบาทของเขาในฐานะอดีตศิษยาภิบาลที่กลายเป็นอาชญากรสงครามยังเน้นย้ำถึงอันตรายของการที่ผู้คนยอมอ่อนข้อต่อระบบเผด็จการและอุดมการณ์แห่งความเกลียดชัง ทำให้เรื่องราวของเขากลายเป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความโหดร้ายเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต