1. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
เจฟฟรีย์ เออร์เนสต์ เอเมอริกเติบโตในย่านครูซเอนด์ทางตอนเหนือของลอนดอน และได้รับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมครูซเอนด์ ครูคนหนึ่งของเขาได้ทราบเรื่องตำแหน่งงานว่างที่บริษัทอีเอ็มไอ (EMI) และแนะนำให้เขาสมัคร
2. การเริ่มต้นอาชีพที่ EMI
เอเมอริกเข้าทำงานที่บริษัทอีเอ็มไอเมื่ออายุ 15 หรือ 16 ปีในตำแหน่งผู้ช่วยวิศวกร ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1962 ซึ่งเป็นวันที่สองของการทำงาน เขาก็ได้เห็นเดอะบีเทิลส์มาที่สตูดิโออีเอ็มไอ (ปัจจุบันคือแอบบีโรดสตูดิโอส์) เพื่อทำการบันทึกเสียงครั้งที่สองกับบริษัท เพื่อให้เอเมอริกคุ้นเคยกับงาน เขาจึงอยู่ภายใต้การดูแลของริชาร์ด แลงแฮม ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนอร์แมน สมิธ วิศวกรบันทึกเสียงประจำเซสชันนั้น ในฐานะพนักงานใหม่ เอเมอริกไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลา แต่เขาก็โชคดีพอที่จะได้เป็นพยานการบันทึกเสียงครั้งแรกของเดอะบีเทิลส์กับริงโก สตาร์ มือกลองคนใหม่ของวง ในเพลง "Love Me Do" ซึ่งต่อมากลายเป็นซิงเกิลฮิตเปิดตัวของวง
เอเมอริกทำงานเป็นผู้ช่วยวิศวกรให้กับสมิธในการบันทึกเสียงเพลงในยุคแรกเริ่มของเดอะบีเทิลส์หลายเพลง รวมถึง "She Loves You" และ "I Want to Hold Your Hand" ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1964 การมีส่วนร่วมของเขากับวงถูกจำกัดเนื่องจากโปรแกรมการฝึกอบรมของที่อีเอ็มไอ ซึ่งเขาได้เลื่อนขั้นเป็นช่างตัดแล็กเกอร์, วิศวกรมาสเตอริง และจากนั้นเป็นวิศวกรบาลานซ์ (หรือบันทึกเสียง) ในช่วงเวลานั้น เขายังช่วยบันทึกเสียงศิลปินคนอื่น ๆ ภายใต้สังกัดอีเอ็มไอ รวมถึงจูดี การ์แลนด์ และช่วยเหลือในการทดสอบศิลปินของอีเอ็มไออย่างเดอะฮอลลีส์ หลังจากก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งวิศวกรบันทึกเสียง เอเมอริกได้เป็นวิศวกรให้กับซิงเกิล "Pretty Flamingo" ของแมนเฟรด แมนน์ ในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร
3. การทำงานกับเดอะบีเทิลส์
เจฟฟ์ เอเมอริก ได้รับบทบาทสำคัญในการบันทึกเสียงของเดอะบีเทิลส์ โดยนำเสนอเทคนิคที่ก้าวหน้าและสร้างสรรค์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับอัลบั้มที่ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของวง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในกระบวนการสร้างสรรค์นี้ยังนำไปสู่ความขัดแย้งและส่งผลให้เขาถอนตัวจากการทำงานกับวงเป็นการชั่วคราว
3.1. การเป็นวิศวกรเสียงประจำของเดอะบีเทิลส์
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1966 เมื่ออายุ 20 ปี เอเมอริกได้รับตำแหน่งเป็นวิศวกรบันทึกเสียงประจำของเดอะบีเทิลส์ตามคำขอของโปรดิวเซอร์จอร์จ มาร์ติน เมื่อสมิธได้เลื่อนขั้นไปเป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มแรกที่เอเมอริกรับหน้าที่นี้คือ Revolver ซึ่งเริ่มต้นด้วยการบันทึกเสียงเพลง "Tomorrow Never Knows" เอเมอริกได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดจากการเป็นวิศวกรเสียงในอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band และ Abbey Road
3.2. เทคนิคการบันทึกเสียงและซาวด์ที่เป็นนวัตกรรม
เอเมอริกมีส่วนสำคัญในการบุกเบิกเทคนิคการบันทึกเสียงใหม่ๆ ที่สร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และล้ำสมัยให้กับเดอะบีเทิลส์ในอัลบั้ม Revolver และ Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band:
- "Tomorrow Never Knows"**: เพลงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทดลองเสียงของเอเมอริก จอห์น เลนนอนมีความต้องการที่คลุมเครือว่าอยากให้เสียงร้องของเขาฟังดูเหมือน "องค์ทะไลลามะกำลังเทศนาอยู่บนยอดเขาทิเบต" เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เอเมอริกได้เสนอให้บันทึกเสียงร้องของเลนนอนผ่านลำโพงเลสลี ซึ่งเดิมใช้กับออร์แกนฮัมมอนด์ เพื่อสร้างเสียงที่ล่องลอยและเหมือนอยู่ในความฝัน เทคนิคนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นที่ชื่นชอบของเลนนอน นอกจากนี้ เขายังใช้เทคนิคการบันทึกเสียงไมโครโฟนระยะใกล้ (close-miking) กับกลองของริงโก สตาร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยถูกห้ามในสตูดิโออีเอ็มไอเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายต่อแผ่นไดอะแฟรมของไมโครโฟน
- "Being for the Benefit of Mr. Kite!"**: สำหรับเพลงนี้ เลนนอนต้องการสร้าง "บรรยากาศแบบงานคาร์นิวัล" ตามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโปสเตอร์ละครสัตว์ของพาโบล แฟงค์ ในช่วงกลางเพลง เอเมอริกได้นำการบันทึกเสียงออร์แกนงานวัดและเครื่องแคลลิโอเพ (calliope) หลายชิ้นมาตัดต่อเข้าด้วยกัน หลังจากทดลองอยู่หลายครั้งโดยไม่ประสบความสำเร็จ จอร์จ มาร์ตินได้สั่งให้เอเมอริกตัดเทปเป็นชิ้นๆ โยนขึ้นไปในอากาศ และประกอบกลับเข้าไปใหม่แบบสุ่ม ซึ่งได้สร้างเสียงอันแปลกประหลาดที่ตรงกับความต้องการของเลนนอน
- "Got to Get You into My Life"**: ในเพลงนี้ เอเมอริกใช้เทคนิคไมโครโฟนระยะใกล้กับเสียงเครื่องเป่าทองเหลือง ทำให้ได้เสียงที่มีความชัดเจนและทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
- "Taxman"**: เอเมอริกได้ติดตั้งไมโครโฟนระยะใกล้กับกลองเบส (bass drum) เพื่อเน้นเสียงกระแทก (attack) ของกลอง ทำให้ได้เสียงที่หนักแน่นและโดดเด่น
- การใช้เครื่องบันทึกเสียง 4 แทร็กและการซิงโครไนซ์เทป**: ในยุคนั้น มีเพียงเครื่องบันทึกเสียงแบบ 4 แทร็กเท่านั้น เอเมอริกได้ร่วมมือกับเคน ทาวน์เซนด์และทีมงานเทคนิคของอีเอ็มไอ ในการพัฒนาวิธีการซิงโครไนซ์เครื่องบันทึกเสียงหลายเครื่องเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถทำการบันทึกเสียงแบบหลายแทร็กที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ เทคนิคนี้ถูกนำไปใช้ในการสร้างเสียงแบบ "เทปแฟลนจิง" และ "ADT" (Artificial Double Tracking) ที่ได้ยินในเพลง "Lucy in the Sky with Diamonds" ซึ่งเป็นการพลิกโฉมวิธีการสร้างสรรค์เสียงในเพลงป็อปของยุคนั้น
เทคนิคเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความคิดสร้างสรรค์ของเอเมอริกในการท้าทายกฎเกณฑ์การบันทึกเสียงแบบดั้งเดิม และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เสียงของอัลบั้มเดอะบีเทิลส์ในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 1960 มีความล้ำสมัยและเป็นนวัตกรรม
3.3. ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงกับเดอะบีเทิลส์
เอเมอริกถอนตัวจากการทำงานในอัลบั้ม The Beatles (หรือที่รู้จักในชื่อ "White Album") เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1968 และลาออกจากตำแหน่งหลังจากพอล แม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งกำลังพยายามบันทึกเพลง "Ob-La-Di, Ob-La-Da" มาเป็นเวลาสามวันที่น่าหงุดหงิด ได้ระเบิดอารมณ์ด้วยคำสบถ เอเมอริกยังคัดค้านการที่คริส โธมัส ผู้ช่วยที่ไม่มีประสบการณ์ของจอร์จ มาร์ติน ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์ในระหว่างที่จอร์จ มาร์ตินไม่อยู่ ซึ่งวงก็ยอมรับการตัดสินใจนี้ เขากลับมาทำงานกับเดอะบีเทิลส์อีกครั้งในอัลบั้ม Abbey Road
แม้จะออกจากเซสชันของ White Album ไปชั่วคราว แต่เอเมอริกก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเดอะบีเทิลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งเชิญเอเมอริกให้ออกจากอีเอ็มไอและมาทำงานให้กับบริษัทแอปเปิล คอร์ปส์ของพวกเขาในปี ค.ศ. 1969 นอกเหนือจากหน้าที่วิศวกรแล้ว เอเมอริกยังดูแลการสร้างสตูดิโอแอปเปิลในอาคารของแอปเปิล คอร์ปส์อีกด้วย
4. อาชีพหลังยุคเดอะบีเทิลส์
หลังจากที่เดอะบีเทิลส์ยุบวงในปี ค.ศ. 1970 เจฟฟ์ เอเมอริกยังคงมีอาชีพที่กว้างขวางในฐานะวิศวกรและโปรดิวเซอร์ โดยร่วมงานกับศิลปินระดับแนวหน้ามากมายและสร้างผลงานที่โดดเด่น

4.1. การทำงานร่วมกับศิลปินและอัลบั้มสำคัญ
- โรบิน โทรเวอร์**: เอเมอริกเป็นวิศวกรเสียงในอัลบั้ม Bridge of Sighs ในปี ค.ศ. 1974 ของโรบิน โทรเวอร์ ซึ่งทั้งโทรเวอร์และโปรดิวเซอร์แมตทิว ฟิชเชอร์ ต่างก็ให้เครดิตเขาสำหรับเสียงที่ยอดเยี่ยมของอัลบั้มนั้น
- Sessions**: หลังความสำเร็จของการนำเสนอ The Beatles at Abbey Road ของอีเอ็มไอในปี ค.ศ. 1983 เอเมอริกได้เตรียมอัลบั้มเพลงที่ยังไม่เคยเผยแพร่ของเดอะบีเทิลส์ โดยใช้ชื่อว่า Sessions เพื่อเตรียมวางจำหน่าย อดีตสมาชิกเดอะบีเทิลส์ได้เริ่มดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้อีเอ็มไอออกอัลบั้มดังกล่าว โดยกล่าวว่าผลงานไม่ได้มาตรฐาน เมื่อเผยแพร่บนชุดบูตเลก มิกซ์และการตัดต่อบางเพลงของเขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักสะสม ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 การบันทึกเสียงเหล่านี้ถูกนำมาใช้สำหรับซีดีชุด The Beatles Anthology
- การบันทึกเสียง Sgt. Pepper's ใหม่**: ในปี ค.ศ. 2007 เอเมอริกได้โปรดิวซ์การบันทึกเสียงอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ใหม่ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 40 ปีของอัลบั้ม โดยมีศิลปินร่วมสมัยเข้าร่วม เช่น โอเอซิส, เดอะคิลเลอส์, แทรวิส และเรเซอร์ไลต์ เอเมอริกได้ใช้อุปกรณ์เดิมส่วนใหญ่ในการบันทึกเสียงเพลงเวอร์ชันใหม่ ผลงานที่ได้ถูกออกอากาศทางบีบีซี เรดิโอ 2 ในวันที่ 2 มิถุนายนของปีนั้น
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 เอเมอริกอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส
5. บันทึกความทรงจำและข้อวิจารณ์
ในปี ค.ศ. 2006 เอเมอริกได้ตีพิมพ์บันทึกความทรงจำของเขาในชื่อ Here, There and Everywhere: My Life Recording the Music of The Beatles โดยเขียนร่วมกับฮาวเวิร์ด แมสซีย์ นักข่าวเพลง หนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งเนื่องจากมีข้อผิดพลาดทางข้อเท็จจริง และการพรรณนาถึงจอร์จ แฮร์ริสันในแง่ลบ (กล่าวหาว่าแฮร์ริสันขาดความสามารถในการเล่นกีตาร์จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1960 และดูถูกเหยียดหยามการมีส่วนร่วมของเขา) รวมถึงการแสดงความลำเอียงต่อพอล แม็กคาร์ตนีย์ และการไม่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของริงโก สตาร์
ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต โรดริเกซ นักเขียนชีวประวัติของเดอะบีเทิลส์ ธีมที่เอเมอริกนำเสนอซ้ำๆ ว่าจอร์จ แฮร์ริสันขาดความสามารถในการเล่นกีตาร์จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1960 นั้นสะท้อนถึงบุคลิกของเอเมอริกมากกว่า และถูกโต้แย้งโดยแหล่งข้อมูลอื่นๆ หลายแหล่ง นอกจากนี้ คำอธิบายบางส่วนของเขาเกี่ยวกับการบันทึกเสียงของเดอะบีเทิลส์ยังถูกหักล้างด้วยการมีอยู่ของชุดบูตเลกของมาสเตอร์แทร็กหลายแทร็กของวง
นักประวัติศาสตร์เอริน ทอร์เคลสัน เวเบอร์กล่าวว่า นอกเหนือจากเรื่องราวของจอห์น เลนนอนในหนังสือ Lennon Remembers แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังนำเสนอภาพลักษณ์ของจอร์จ มาร์ตินในฐานะโปรดิวเซอร์ที่อาจเป็นแง่ลบที่สุด การตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้นำไปสู่สงครามทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเคน สกอตต์ อดีตวิศวกรของเดอะบีเทิลส์ได้ท้าทายความถูกต้องแม่นยำของความทรงจำของเอเมอริก และระบุว่าก่อนที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ เอเมอริกได้ติดต่อเขาและเจ้าหน้าที่เทคนิคคนอื่นๆ ของอีเอ็มไอ โดยบอกว่าเขามีความทรงจำที่จำกัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ อัตชีวประวัติของสกอตต์ในปี ค.ศ. 2012 ชื่อ From Abbey Road to Ziggy Stardust พยายามที่จะแก้ไขข้อความของเอเมอริกใน Here, There and Everywhere โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถทางดนตรีและลักษณะนิสัยของจอร์จ แฮร์ริสัน
6. รางวัลและความสำเร็จ
เจฟฟ์ เอเมอริก ได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสี่ครั้งจากผลงานที่โดดเด่นในวงการบันทึกเสียงดนตรี:
- แกรมมี อวอร์ดปี 1968
- อัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของเดอะบีเทิลส์
- ได้รับรางวัล สาขา Best Engineered Album, Non-Classical
- แกรมมี อวอร์ดปี 1970
- อัลบั้ม Abbey Road ของเดอะบีเทิลส์
- ได้รับรางวัล สาขา Best Engineered Album, Non-Classical ร่วมกับฟิล แม็กโดนัลด์ (วิศวกร)
- แกรมมี อวอร์ดปี 1975
- อัลบั้ม Band on the Run ของพอล แม็กคาร์ตนีย์ & วิงส์
- ได้รับรางวัล สาขา Best Engineered Album, Non-Classical
- แกรมมี อวอร์ดปี 2003
- ได้รับรางวัล Special Merit Award สาขา Tech Award เพื่อยกย่องผลงานทางเทคนิคที่สร้างสรรค์ตลอดชีวิตการทำงานของเขา
7. การเสียชีวิต
เอเมอริกเสียชีวิตจากภาวะหัวใจขาดเลือดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ด้วยวัย 72 ปี เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น หลังจากประสบปัญหาในการเดิน แต่แพทย์วินิจฉัยว่ามีภาวะขาดน้ำ วิลเลียม ซาบาเลตา ผู้จัดการของเขาเล่าถึงการสนทนากับเอเมอริกครั้งสุดท้ายว่า "ขณะคุยโทรศัพท์ เขามีอาการแทรกซ้อนและทำโทรศัพท์หล่น ผมโทรเรียก 911 แต่เมื่อหน่วยแพทย์มาถึงก็สายเกินไปแล้ว เจฟฟ์มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมานานและมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ เมื่อถึงเวลาของคุณ มันก็คือเวลาของคุณ เราสูญเสียนักสร้างตำนานและเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของผม รวมถึงเป็นที่ปรึกษาด้วย"
พอล แม็กคาร์ตนีย์ได้แสดงความเห็นบนโซเชียลมีเดียว่า "เขาฉลาด รักสนุก และเป็นอัจฉริยะเบื้องหลังเสียงอันยอดเยี่ยมหลายเพลงในบันทึกของเรา ผมตกใจและเสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อนพิเศษคนนี้ไป"
8. มรดกและอิทธิพล
เจฟฟ์ เอเมอริก ได้ทิ้งมรดกที่ยั่งยืนไว้ในวงการผลิตดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเทคนิคการบันทึกเสียงที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของเขา การทำงานร่วมกับเดอะบีเทิลส์ในช่วงเวลาที่วงสร้างสรรค์ผลงานมากที่สุด ไม่เพียงแต่กำหนดทิศทางเสียงของเพลงในยุคนั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจและมาตรฐานสำหรับวิศวกรและโปรดิวเซอร์รุ่นหลังจำนวนมาก ความกล้าหาญในการทดลองและการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ของเขา เช่น การใช้ลำโพงลำโพงเลสลีสำหรับเสียงร้อง การบันทึกเสียงไมโครโฟนระยะใกล้แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน และการตัดต่อเทปอย่างไม่ conventional ได้เปิดขอบเขตใหม่ๆ ในการบันทึกเสียงดนตรี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวิศวกรเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมการบันทึกเสียง และอิทธิพลของเขายังคงสะท้อนอยู่ในผลงานดนตรีร่วมสมัยมากมาย