1. ภาพรวม
โรเบร์ต โมเรโน กอนซาเลซ (Robert Moreno Gonzálezภาษาสเปน) เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2520 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวสเปน และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลของสโมสรโซชิ ในประเทศรัสเซีย โมเรโนเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นโค้ชฟุตบอลเยาวชนและสมัครเล่น ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับลุยส์ เอนริเก ในหลายสโมสรและทีมชาติสเปน ในปี พ.ศ. 2562 โมเรโนได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชาติสเปนแทนที่ลุยส์ เอนริเก และพาทีมผ่านเข้ารอบยูโร 2020 สำเร็จ ก่อนที่ลุยส์ เอนริเกจะกลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการลาออกของเขาในเวลาต่อมา อาชีพผู้จัดการทีมของเขายังรวมถึงการคุมทีมโมนาโก ในลีกเอิง 1 และกรานาดา ในลาลิกา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและความทะเยอทะยานในเส้นทางอาชีพของเขา
2. อาชีพการฝึกสอน
โมเรโนเริ่มต้นเส้นทางอาชีพการฝึกสอนตั้งแต่ระดับเยาวชนและสมัครเล่น ก่อนจะก้าวขึ้นสู่บทบาทผู้ช่วยผู้จัดการทีมในสโมสรชั้นนำและทีมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมงานกับลุยส์ เอนริเก ซึ่งเป็นจุดสำคัญในอาชีพของเขา จากนั้นจึงพัฒนามาเป็นผู้จัดการทีมหลัก
2.1. อาชีพช่วงเริ่มต้น
โรเบร์ต โมเรโนเริ่มแสดงความสนใจในการฝึกสอนตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งปูทางไปสู่การเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพในเวลาต่อมา
2.1.1. การฝึกสอนระดับเยาวชนและสมัครเล่น
โมเรโนเกิดที่ลอสปิตาเลตเดยอบเรกัต เมืองบาร์เซโลนา แคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน เขาเคยเล่นในตำแหน่งกองหลังตัวกลางให้กับสโมสรลาฟลอริดาซีเอฟ (La Florida CF) ซึ่งเป็นทีมจากเมืองบ้านเกิดของเขา เขาเริ่มสนใจงานโค้ชตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี เมื่อครูพละศึกษาของเขาขอให้ช่วยสอนในชั้นเรียน เมื่ออายุ 16 ปี เขาเริ่มฝึกสอนทีมเยาวชนรุ่น Alevín ของสโมสรลาฟลอริดาซีเอฟ (La Florida CF) ร่วมกับอันโตนิโอ กามาโช
เขาเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพในปี พ.ศ. 2546 หลังจากได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ โดยเริ่มจากการคุมทีมเปญญาเบลาเกรานา กอลล์บลังก์ (Penya Blaugrana Collblanc) หลังจากนั้นเขาย้ายไปคุมทีมเยาวชนของลอสปิตาเลต, มารีอาเนา ปอบเล็ต (Marianao Poblet), กัสเตลเดเฟลส์ และดามม์ ในปี พ.ศ. 2549 โมเรโนยังเคยคุมทีมชุดใหญ่ของกัสเตลเดเฟลส์ แต่ถูกปลดในเดือนมีนาคมปีถัดมา
2.1.2. การเป็นแมวมองและบทบาททางอาชีพช่วงแรก
นอกเหนือจากบทบาทการฝึกสอนในระดับเยาวชนแล้ว โรเบร์ต โมเรโนยังได้ขยายประสบการณ์ในวงการฟุตบอลด้วยการเป็นแมวมอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การทำงานในระดับมืออาชีพที่สูงขึ้น ในช่วงฤดูกาล 2553-2554 เขาทำงานเป็นแมวมองให้กับบาร์เซโลนา ก่อนที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับลุยส์ เอนริเก
2.2. อาชีพผู้ช่วยผู้จัดการทีม
บทบาทของผู้ช่วยผู้จัดการทีมเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของโรเบร์ต โมเรโน โดยเขาได้ทำงานร่วมกับผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงหลายคน ซึ่งหล่อหลอมประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการคุมทีมของเขา
2.2.1. ความร่วมมือกับหลุยส์ เอนริเก
ความสัมพันธ์ทางอาชีพของโมเรโนกับลุยส์ เอนริเกเริ่มต้นขึ้นอย่างยาวนานและเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น โดยโมเรโนได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมภายใต้การนำของลุยส์ เอนริเกที่สโมสรต่างๆ ได้แก่
- อาแอส โรม่า (พ.ศ. 2554-2555)
- เรอัล กาเตลลาเดบีโก (พ.ศ. 2556-2557)
- สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (พ.ศ. 2557-2560)
- ฟุตบอลทีมชาติสเปน (กรกฎาคม พ.ศ. 2561)
ความร่วมมือนี้เป็นรากฐานสำคัญในอาชีพของโมเรโน ทำให้เขาสั่งสมประสบการณ์ในระดับสูง และเรียนรู้แนวทางการบริหารทีมจากผู้จัดการทีมมากฝีมือ
2.2.2. บทบาทผู้ช่วยผู้จัดการทีมอื่น ๆ
นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับลุยส์ เอนริเกแล้ว โมเรโนยังมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมภายใต้ผู้จัดการทีมคนอื่นๆ ในช่วงฤดูกาล 2560-2561 เขาได้เป็นผู้ช่วยให้กับฆวน การ์โลส อุนซูเอ ที่สโมสรเซลต้า บีโก ก่อนที่จะกลับมาร่วมงานกับลุยส์ เอนริเกอีกครั้งกับทีมชาติสเปนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561
2.3. อาชีพผู้จัดการทีมหลัก
หลังจากสั่งสมประสบการณ์ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีม โรเบร์ต โมเรโนได้ก้าวขึ้นมารับบทบาทผู้จัดการทีมหลัก โดยได้คุมทีมทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีทั้งความสำเร็จและความท้าทาย
2.3.1. ทีมชาติสเปน
ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562 โรเบร์ต โมเรโนได้รับมอบหมายให้คุมทีมชาติสเปนชั่วคราวในนัดที่ชนะมอลตา 2-0 เนื่องจากลุยส์ เอนริเกต้องพักงานด้วยปัญหาส่วนตัว หลังจากนั้นเขายังคุมทีมในอีกสองนัดถัดมาที่พบกับหมู่เกาะแฟโร และสวีเดน
หลังจากการคุมทีมชั่วคราวสามนัด โมเรโนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมชาติสเปนอย่างถาวรในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562 หลังจากการลาออกของลุยส์ เอนริเก เนื่องจากลูกสาวของเขาล้มป่วย เขาเซ็นสัญญาจนสิ้นสุดการแข่งขันยูโร 2020 ในระหว่างที่เขารับตำแหน่ง ทีมชาติสเปนสามารถผ่านเข้ารอบยูโร 2020 ได้สำเร็จ โดยมีสถิติไร้พ่าย
อย่างไรก็ตาม เพียงห้าเดือนต่อมา โมเรโนก็ลาออกจากตำแหน่งและถูกแทนที่โดยลุยส์ เอนริเก ซึ่งกลับมารับตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เหตุการณ์นี้เป็นที่ถกเถียงอย่างมาก เนื่องจากโมเรโนประสบความสำเร็จในการพาทีมเข้ารอบสุดท้าย ลุยส์ เอนริเกได้วิพากษ์วิจารณ์โมเรโนว่า "ไม่ซื่อสัตย์" และ "ทะเยอทะยานมากเกินไป" ที่ต้องการคุมทีมสเปนในศึกยูโร 2020 แทนที่จะกลับไปเป็นผู้ช่วย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง
2.3.2. อาแอส โมนาโก
ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โรเบร์ต โมเรโนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสรโมนาโก ในลีกเอิง 1 ประเทศฝรั่งเศส โดยเข้ามาแทนที่เลโอนาร์โด ชาร์ดิม หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เขาสามารถพาทีมชนะนัดแรกด้วยสกอร์ 2-1 ในบ้าน พบกับแร็งส์ ในรอบ 64 ทีมสุดท้ายของกุปเดอฟร็องส์ และในวันที่ 12 มกราคม ในการแข่งขันลีกนัดแรกของเขา โมนาโกเสมอกับทีมจ่าฝูงปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไปด้วยสกอร์ 3-3
โมเรโนถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 หลังจากที่โมนาโกจบฤดูกาลด้วยอันดับที่เก้า และไม่สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันฟุตบอลยุโรปได้
2.3.3. กรานาดา ซีเอฟ
ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564 สโมสรกรานาดา ในลาลิกา ได้ประกาศแต่งตั้งโรเบร์ต โมเรโนเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ ด้วยสัญญา 2 ปี ในนัดแรกที่คุมทีมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม เขาพาทีมเสมอกับบิยาร์เรอัล 0-0
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565 โมเรโนถูกกรานาดาปลดจากตำแหน่ง หลังจากทีมแพ้ไป 6 นัดจาก 7 นัดหลังสุด ซึ่งผลงานที่ไม่ดีนี้เป็นสาเหตุหลักของการถูกปลด
2.3.4. พีเอฟซี โซชิ
ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2566 โรเบร์ต โมเรโนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของสโมสรโซชิ ในรัสเซียนพรีเมียร์ลีก ซึ่งในขณะนั้นสโมสรอยู่อันดับสุดท้ายของตาราง แม้ว่าผลงานของทีมจะดีขึ้นบ้างภายใต้การคุมทีมของโมเรโน แต่โซชิก็ยังคงตกชั้นในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567
ถึงกระนั้น ในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 สโมสรโซชิและโมเรโนได้ขยายสัญญาออกไปอีกสามฤดูกาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของเขา แม้ทีมจะตกชั้นไปแล้วก็ตาม
3. สถิติการคุมทีม
สถิติการคุมทีมของโรเบร์ต โมเรโน แสดงให้เห็นถึงเส้นทางอาชีพที่หลากหลายของเขา ทั้งในระดับทีมชาติและสโมสรต่างๆ
ทีม | สัญชาติ | ตั้งแต่ | ถึง | สถิติ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เกมที่คุม | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย | ผลต่างประตู | อัตราชนะ (%) | ||||
สเปน | สเปน | 26 มีนาคม 2562 | 19 พฤศจิกายน 2562 | 9 | 7 | 2 | 0 | 29 | 4 | +25 | 77.78 |
โมนาโก | ฝรั่งเศส | 28 ธันวาคม 2562 | 19 กรกฎาคม 2563 | 13 | 5 | 3 | 5 | 18 | 21 | -3 | 38.46 |
กรานาดา | สเปน | 18 มิถุนายน 2564 | 6 มีนาคม 2565 | 29 | 6 | 10 | 13 | 35 | 44 | -9 | 20.69 |
โซชิ | รัสเซีย | 15 ธันวาคม 2566 | ปัจจุบัน | 37 | 13 | 17 | 7 | 65 | 42 | +23 | 35.14 |
รวม | 88 | 31 | 32 | 25 | 147 | 111 | +36 | 35.23 |
4. ข้อถกเถียงและคำวิพากษ์วิจารณ์
อาชีพของโรเบร์ต โมเรโนไม่เพียงแต่มีผลงานในสนาม แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ที่เป็นข้อถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการลาออกจากทีมชาติสเปน ซึ่งเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ส่วนตัวและเป้าหมายทางอาชีพในวงการฟุตบอล
4.1. การลาออกจากทีมชาติสเปน
การลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติสเปนของโรเบร์ต โมเรโนถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงและคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ลุยส์ เอนริเก ซึ่งกลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติสเปนอีกครั้ง ได้ปลดโมเรโนออกจากทีมงานโค้ชของเขา และกล่าวหาว่าโมเรโน "ไม่ซื่อสัตย์" และ "ทะเยอทะยานมากเกินไป" สำหรับการที่ต้องการคุมทีมสเปนในศึกยูโร 2020
คำกล่าวหาเหล่านี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยระหว่างทั้งสอง ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมานาน การตัดสินใจของโมเรโนที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรในช่วงเวลาที่ลุยส์ เอนริเกต้องดูแลลูกสาวที่ป่วย ได้ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความเห็นใจและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน การวิพากษ์วิจารณ์เน้นย้ำถึงความคาดหวังในเรื่องความภักดีและความเป็นมืออาชีพในวงการฟุตบอลระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชและผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน กรณีนี้ได้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณและความทะเยอทะยานที่มากเกินไป ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาในการประเมินอาชีพของโมเรโน
5. มรดกและการประเมิน
โรเบร์ต โมเรโนเป็นผู้จัดการทีมที่มีความสามารถ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจทางยุทธวิธีและทักษะในการพัฒนาทีม อย่างไรก็ตาม อาชีพของเขาถูกบดบังด้วยความขัดแย้งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลาออกจากทีมชาติสเปนและการถูกกล่าวหาว่า "ไม่ซื่อสัตย์" และ "ทะเยอทะยานมากเกินไป" โดยลุยส์ เอนริเก ซึ่งเป็นผู้ที่เขาสังกัดมาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะมีผลงานที่น่าประทับใจในช่วงสั้นๆ กับทีมชาติสเปนและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการคุมทีมในลีกยุโรป การตัดสินใจและพฤติกรรมนอกสนามของเขาได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และมรดกทางอาชีพโดยรวมของเขาในวงการฟุตบอลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้