1. ชีวิตช่วงต้นและการเริ่มต้นอาชีพทหาร
โฮเซ ฟรุกตูโอโซ ริเบรา เป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่เข้าร่วมกองทัพของโฆเซ เกร์บาซิโอ อาร์ติกาในปี พ.ศ. 2353 และในที่สุดเขาก็ไต่เต้าจนได้รับยศนายพล เมื่อบันดาโอเรียนตัลถูกยึดครองโดยสหราชอาณาจักรโปรตุเกส บราซิล และแอลการ์ฟ และอาร์ติกาที่พ่ายแพ้ถูกบังคับให้ลี้ภัยในปี พ.ศ. 2363 ริเบรายังคงอยู่ในจังหวัดซิสพลาตินาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่

2. บทบาทในการต่อสู้เพื่อเอกราช
ริเบราได้พบกับฮวน อันโตนิโอ ลาบาเยฆาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2368 ในเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ Abrazo del Monzónภาษาสเปน (การโอบกอดแห่งมอนซอน) ในปีเดียวกันนั้น กลุ่มสามสิบสามโอเรียนตัล ซึ่งนำโดยลาบาเยฆาและผู้สนับสนุนชาวอาร์เจนตินา ได้เริ่มการต่อสู้กับจักรวรรดิบราซิล แม้จะไม่ชัดเจนว่าเขาเข้าร่วมโดยสมัครใจหรือถูกบังคับ ริเบราก็ได้เข้าร่วมกับชาวอาร์เจนตินาในไม่ช้า เขากลายเป็นผู้บัญชาการทหารที่สำคัญในระหว่างสงครามซิสพลาตินา และมีส่วนร่วมในยุทธการริงกอนและยุทธการซารันดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความขัดแย้งกับผู้นำคนอื่นๆ ริเบราได้เดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลาหนึ่งปีและไม่ได้เข้าร่วมในยุทธการอีตูซาอิงโกในปี พ.ศ. 2370
3. วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก
หลังจากอุรุกวัยประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2371 ซึ่งเป็นผลมาจากสนธิสัญญามอนเตวิเดโอ (พ.ศ. 2371) ความขัดแย้งระหว่างริเบราและลาบาเยฆาได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการสู้รบ ในเวลานั้น นายพลชาวอาร์เจนตินา โฆเซ รอนเดา ได้ขึ้นเป็นผู้ว่าการชั่วคราวคนแรกในที่สุด ริเบราจึงเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรกในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2373 จนถึงวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2377 หลังสิ้นสุดวาระ เขาก็ได้สนับสนุนนายพลมานูเอล โอริเบให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป
4. ความขัดแย้งทางการเมืองและวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่สอง
เมื่อมานูเอล โอริเบเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ริเบราก็เข้าสู่ความขัดแย้งอีกครั้งกับทั้งลาบาเยฆาและโอริเบ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2381 ริเบราสามารถเอาชนะโอริเบได้และบีบให้เขาต้องลี้ภัยไปยังบัวโนสไอเรส ในช่วงความขัดแย้งนี้เองที่การแบ่งแยกทางการเมืองระหว่างพรรคโคโลราโดและบลังโกได้เริ่มต้นขึ้น โดยผู้สนับสนุนของริเบราสวมปลอกแขนสีแดง ส่วนผู้สนับสนุนของโอริเบสวมปลอกแขนสีขาว ซึ่งต่อมากลุ่มเหล่านี้ได้ก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองของตนเอง ริเบราเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สองระหว่างวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2382 ถึงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2386
5. สงครามกลางเมืองอุรุกวัยและการลี้ภัย
หลังจากที่โอริเบลี้ภัยไป เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชาวบัวโนสไอเรส ฮวน มานูเอล เด โรซัส โอริเบจึงจัดตั้งกองทัพใหม่และรุกรานอุรุกวัย ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสงครามกลางเมืองอุรุกวัย ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2385 โอริเบเอาชนะริเบราได้ในยุทธการอาร์โรโยกรันเด และเริ่มต้นการล้อมมอนเตวิเดโอครั้งใหญ่ อำนาจของริเบราถูกจำกัดอยู่เพียงในเมืองหลวง ในขณะที่โอริเบปกครองพื้นที่ส่วนที่เหลือของประเทศ ในปี พ.ศ. 2390 ริเบราถูกบังคับให้ต้องลี้ภัยไปยังบราซิล และพำนักอยู่ที่นั่นจนถึงปี พ.ศ. 2396
6. การกลับมาครั้งสุดท้ายและการเสียชีวิต
หลังจากที่ประธานาธิบดีฮวน ฟรันซิสโก คิโรถูกโค่นล้ม ได้มีการจัดตั้งคณะผู้ปกครองสามคนขึ้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2396 ประกอบด้วยเวนันซิโอ ฟลอเรส, ฮวน อันโตนิโอ ลาบาเยฆา และริเบรา อย่างไรก็ตาม ลาบาเยฆาเสียชีวิตในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2396 และริเบราก็เสียชีวิตในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2397 ระหว่างเดินทางไปยังมอนเตวิเดโอ ทำให้ฟลอเรสเป็นผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
7. ข้อถกเถียงสำคัญ
ในช่วงชีวิตของโฮเซ ฟรุกตูโอโซ ริเบรา มีการตัดสินใจและการกระทำหลายอย่างที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นทางจริยธรรมและผลกระทบทางสังคมที่ตามมา เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทิ้งรอยแผลเป็นในประวัติศาสตร์อุรุกวัยและยังคงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือการสังหารหมู่ที่ซัลซิปูเอดิส
7.1. การสังหารหมู่ที่ซัลซิปูเอดิส
ในปี พ.ศ. 2374 ริเบราได้ตัดสินใจที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างรุนแรงในการกำจัดชนพื้นเมืองชาวชาร์รัวเกือบทั้งหมดในเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อการสังหารหมู่ที่ซัลซิปูเอดิส การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อุรุกวัย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชาวชาร์รัวและชุมชนชนพื้นเมืองในภูมิภาคอย่างถาวร เหตุการณ์นี้เป็นจุดดำในประวัติศาสตร์ของเขาและมรดกทางประวัติศาสตร์ของอุรุกวัย
8. การก่อตั้งพรรคโคโลราโด
ริเบรามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพรรคโคโลราโด การแบ่งแยกทางการเมืองที่นำไปสู่การก่อตั้งพรรคนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงความขัดแย้งระหว่างริเบราและมานูเอล โอริเบในปลายปี พ.ศ. 2381 ซึ่งผู้สนับสนุนของริเบราสวมปลอกแขนสีแดง ขณะที่ผู้สนับสนุนของโอริเบสวมปลอกแขนสีขาว สีแดงนี้เองที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรคโคโลราโดในเวลาต่อมา พรรคโคโลราโดได้กลายเป็นพลังทางการเมืองที่โดดเด่นและปกครองอุรุกวัยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ พ.ศ. 2408 ถึง พ.ศ. 2501
9. มรดกและการประเมินทางประวัติศาสตร์
โฮเซ ฟรุกตูโอโซ ริเบรา ทิ้งมรดกที่ซับซ้อนในประวัติศาสตร์การเมืองของอุรุกวัย ซึ่งยังคงได้รับการวิเคราะห์และตีความที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของอิทธิพลทางการเมืองที่ยั่งยืนและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อการกระทำของเขา
9.1. มรดกทางการเมืองและแนวคิด 'ริเบริสตา'
มรดกของริเบราในการเมืองอุรุกวัย โดยเฉพาะในหมู่สมาชิกพรรคโคโลราโด คือความเป็นผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแกร่ง แนวคิด 'Riveristaภาษาสเปน' (ริเบริสตา) ได้ดำรงอยู่ภายในพรรคโคโลราโดมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับแนวคิด 'Batllistaภาษาสเปน' และกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างผู้ที่ยึดแนวคิดริเบริสตา ได้แก่ โฆร์เฆ ปาเชโก อาเรโก และตระกูลบอร์ดาเบร์รี แนวคิดนี้เน้นย้ำถึงบทบาทของผู้นำที่เด็ดขาดและมีอิทธิพลในการชี้นำทิศทางทางการเมืองของประเทศ
9.2. การประเมินทางประวัติศาสตร์โดยรวม
การประเมินทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโฮเซ ฟรุกตูโอโซ ริเบรา มีความซับซ้อนและหลากหลาย แม้เขาจะได้รับการยอมรับในฐานะนายพลและนักชาตินิยมผู้มีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยบันดาโอเรียนตัลจากการปกครองของบราซิล และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคโคโลราโด ซึ่งเป็นพรรคการเมืองสำคัญของอุรุกวัย แต่บทบาทของเขาในฐานะหนึ่งในผู้ก่อสงครามกลางเมืองอุรุกวัยที่ยืดเยื้อ รวมถึงการตัดสินใจที่รุนแรงและเป็นที่ถกเถียง เช่น การสังหารหมู่ชาวชาร์รัวในปี พ.ศ. 2374 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชนและสังคมในขณะนั้น ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก การประเมินเขาจึงต้องพิจารณาทั้งคุณูปการต่อการก่อตั้งรัฐเอกราชและผลกระทบเชิงลบต่อประเด็นทางจริยธรรมและสังคม.