1. ภาพรวม
ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ (Philipp Friedrich Silcherภาษาเยอรมัน) เป็นนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1789 ถึง 1860 เขามีชื่อเสียงเป็นหลักจากบทเพลงร้อง (Lieder) และเป็นผู้รวบรวมเพลงพื้นบ้าน (Volkslied) ที่สำคัญอย่างยิ่ง ซิลเชอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดที่มีส่วนในการขับเคลื่อนการร้องเพลงประสานเสียง เขาได้เรียบเรียงเพลงพื้นบ้านเยอรมันและเพลงพื้นบ้านนานาชาติจำนวนมาก ซึ่งยังคงเป็นบทเพลงมาตรฐานที่คณะนักร้องประสานเสียงหลายแห่งในเยอรมนียังคงขับร้องมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกจากชีวิตประจำวันของชาวเยอรมัน
2. ชีวิต
ชีวิตของฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการอุทิศตนเพื่อดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนเส้นทางจากอาชีพครูมาสู่การเป็นผู้นำทางดนตรีและการประพันธ์เพลง ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญและผู้คนที่มีอิทธิพลต่อเส้นทางอาชีพของเขา
2.1. การเกิดและช่วงต้นของชีวิต
ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1789 ที่เมือง ชนายท์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ไวน์ชตัดท์) ประเทศเยอรมนี เดิมทีเขาตั้งใจที่จะประกอบอาชีพเป็นครูในโรงเรียน
2.2. การศึกษา
ซิลเชอร์ได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตมาอุทิศตนให้กับดนตรีอย่างเต็มตัวหลังจากที่เขาได้พบกับ คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ ที่โรงเรียนสอนศาสนาใน ลูทวิชส์บวร์ค หลังจากนั้น เขาได้ศึกษาการประพันธ์เพลงและเปียโนกับ คอนราดิน ครอยท์เซอร์ และ โยฮัน เนโปมุก ฮุมเมิล ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในวงการดนตรีในยุคนั้น
2.3. การเริ่มต้นอาชีพนักดนตรี
ในปี ค.ศ. 1817 ซิลเชอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการด้านดนตรีประจำมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน และดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งเสียชีวิต บทบาทนี้ถือเป็นการเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีอย่างเป็นทางการของเขา และเป็นจุดเริ่มต้นของการมีส่วนร่วมอันสำคัญในวงการเพลงประสานเสียง
3. กิจกรรมและผลงานสำคัญ
ตลอดชีวิตการทำงานของฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ เขาได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการพัฒนาวงการดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเพลงประสานเสียงและการอนุรักษ์เพลงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของมรดกทางดนตรีของเยอรมนี
3.1. กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน
ซิลเชอร์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงินตั้งแต่ปี ค.ศ. 1817 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1860 ในบทบาทนี้ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมวงดนตรีของมหาวิทยาลัย และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการจัดการศึกษาด้านดนตรี ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาการร้องเพลงประสานเสียง
3.2. การรวบรวมและเรียบเรียงเพลงพื้นบ้าน
ผลงานสำคัญที่สุดของซิลเชอร์คือการรวบรวม จัดระเบียบ และเรียบเรียงเพลงพื้นบ้านเยอรมันและเพลงพื้นบ้านนานาชาติจำนวนมาก รวมถึงเพลงศาสนา บทเพลงเหล่านี้หลายเพลงได้กลายเป็นบทเพลงมาตรฐานที่คณะนักร้องประสานเสียงหลายแห่งในเยอรมนียังคงขับร้องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของเขาในการทำให้เพลงพื้นบ้านเข้าถึงและเป็นที่นิยมในวงกว้าง
3.3. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเพลงประสานเสียง
ซิลเชอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดที่มีบทบาทในการส่งเสริมการร้องเพลงประสานเสียงในเยอรมนี อิทธิพลของเขาขยายไปถึงวัฒนธรรมเพลงประสานเสียงของประเทศ โดยบทเพลงที่เขาเรียบเรียงและประพันธ์ขึ้นได้กลายเป็นส่วนสำคัญและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันของชาวเยอรมัน
3.4. การก่อตั้งและกิจกรรมของ Akademische Liedertafel
ในปี ค.ศ. 1829 ซิลเชอร์ได้ก่อตั้งวงประสานเสียงชายชื่อ "Akademische Liedertafel" ขึ้นที่เมืองทือบิงเงิน เขาทำหน้าที่เป็นประธานของวงนี้ตั้งแต่ก่อตั้งจนกระทั่งเสียชีวิต วง Akademische Liedertafel มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการร้องเพลงประสานเสียงและเป็นเวทีสำหรับการแสดงบทเพลงที่ซิลเชอร์เรียบเรียงขึ้น
3.5. ความสำเร็จทางวิชาการ
นอกเหนือจากความสำเร็จทางดนตรีแล้ว ซิลเชอร์ยังได้รับการยกย่องในด้านวิชาการอีกด้วย โดยในปี ค.ศ. 1852 เขาได้รับปริญญาเอกสาขาปรัชญา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรอบรู้และความสามารถที่หลากหลายของเขา
4. ผลงาน
ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ได้ประพันธ์และเรียบเรียงบทเพลงจำนวนมาก ซึ่งหลายเพลงยังคงเป็นที่รู้จักและขับร้องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของเพลงพื้นบ้านเยอรมัน
4.1. ผลงานชิ้นเอก
ในบรรดาบทเพลงที่ซิลเชอร์ประพันธ์และเรียบเรียงขึ้น บทเพลงที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่:
- "Ich hatt' einen Kameraden" (ฉันมีสหายคนหนึ่ง)
- "Alle Jahre wieder" (ทุกปีอีกครั้ง)
- "Am Brunnen vor dem Tore" (ที่บ่อน้ำหน้าประตู) ซึ่งเป็นเพลงที่ฟรันทซ์ ชูเบิร์ทก็เคยประพันธ์ทำนองไว้เช่นกัน แต่ฉบับของซิลเชอร์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
- "Die Lorelei" (โลเรไล) ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะเพลงที่เขาประพันธ์ทำนอง
- "Abschied" หรือ "Muss i denn zum Städtele hinaus" (ฉันต้องจากเมืองไปแล้วหรือ) ซึ่งเป็นเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพลงภาษาอังกฤษชื่อ "Wooden Heart" ที่โด่งดังโดย เอลวิส เพรสลีย์ ในช่วงที่เขาประจำการอยู่ในเยอรมนีตะวันตกระหว่างการรับราชการทหาร
- ทำนองเพลง "So nimm denn meine Hände" (ดังนั้นจงจับมือฉันไว้) ซึ่งเดิมทีแต่งขึ้นสำหรับเพลงอื่น
- "Ännchen von Tharau" (แอนน์เชินแห่งทาเรา)
4.2. ลักษณะเด่นของผลงาน
ผลงานของซิลเชอร์โดดเด่นด้วยความสามารถในการจับแก่นแท้และจิตวิญญาณของเพลงพื้นบ้าน ทำให้บทเพลงของเขามีความไพเราะ เข้าถึงง่าย และเป็นที่จดจำได้ง่าย การเรียบเรียงของเขามักจะเน้นความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ทำให้บทเพลงเหล่านี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในฐานะบทเพลงประสานเสียง และเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมดนตรีของเยอรมนี
5. ชีวิตส่วนตัว
นอกเหนือจากชีวิตการทำงานในฐานะนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงแล้ว ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ยังมีชีวิตส่วนตัวที่เรียบง่ายและมั่นคง
5.1. ครอบครัว
ซิลเชอร์แต่งงานกับ ลูอีเซอ โรซิเน เอ็นสลิน (Luise Rosine Ensslin) ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1804 ถึง 1871 ทั้งคู่มีบุตรสาวสองคนและบุตรชายหนึ่งคน

6. การประเมินและผลกระทบ
ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ได้รับการประเมินว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์ดนตรีและวัฒนธรรมของเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเพลงประสานเสียงและการอนุรักษ์เพลงพื้นบ้าน
6.1. การประเมินทางประวัติศาสตร์ดนตรี
ในประวัติศาสตร์ดนตรี ซิลเชอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่สำคัญที่สุดของการร้องเพลงประสานเสียง เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเผยแพร่วัฒนธรรมเพลงประสานเสียงในเยอรมนี การเรียบเรียงเพลงพื้นบ้านของเขาไม่เพียงแต่ทำให้บทเพลงเหล่านี้คงอยู่รอด แต่ยังช่วยยกระดับสถานะของเพลงพื้นบ้านให้เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ
6.2. ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม
บทเพลงที่ซิลเชอร์เรียบเรียงและประพันธ์ขึ้นมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างและรักษาอัตลักษณ์ของชาติเยอรมัน รวมถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านให้คงอยู่สืบไป บทเพลงของเขาได้กลายเป็นส่วนสำคัญและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันของชาวเยอรมัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบอันยาวนานที่ดนตรีของเขามีต่อสาธารณชนและมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ
7. การระลึกถึงและอนุสรณ์
เพื่อเป็นการระลึกถึงผลงานและคุณูปการของฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ ได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานเพื่อเชิดชูเกียรติแก่เขา
- พิพิธภัณฑ์ซิลเชอร์**: ตั้งอยู่ในเมืองไวน์ชตัดท์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเรื่องราวชีวิตและผลงานของซิลเชอร์
- อนุสรณ์สถานซิลเชอร์**: ตั้งอยู่ในเมืองทือบิงเงิน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตและทำงานส่วนใหญ่ อนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการรำลึกถึงบทบาทสำคัญของเขาในวงการดนตรี
8. อื่นๆ
เพื่อเป็นการยกย่อง ฟิลิป ฟรีดริช ซิลเชอร์ ชื่อของเขาได้ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของสิ่งต่างๆ ในสาขาอื่นนอกเหนือจากดนตรีด้วย:
- สายพันธุ์องุ่น**: มีการตั้งชื่อสายพันธุ์องุ่นชนิดหนึ่งว่า Silcherภาษาเยอรมัน (ไม่ควรสับสนกับ ชิลเชอร์)
- ดาวเคราะห์น้อย**: ดาวเคราะห์น้อยหมายเลข 10055 ได้รับการตั้งชื่อว่า 10055 ซิลเชอร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่นักประพันธ์เพลงผู้นี้