1. ภาพรวม
ดักลาส เมอร์เรย์ แม็กเกรเกอร์ (พ.ศ. 2449-2507) เป็นศาสตราจารย์ด้าน การจัดการ ชาวอเมริกัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีการบริหารจัดการและแรงจูงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลงานที่สำคัญที่สุดของเขาคือหนังสือเรื่อง The Human Side of Enterprise (พ.ศ. 2503) ซึ่งได้นำเสนอ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ที่พลิกโฉมแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เขาเป็นลูกศิษย์ของ อับราฮัม มาสโลว์ และเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในแวดวงวิชาการและการบริหาร รวมถึงการเป็นศาสตราจารย์ที่ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และเป็นประธานวิทยาลัยแอนติออก บทความนี้จะครอบคลุมถึงชีวิตในวัยเด็ก การศึกษา อาชีพ ผลงานสำคัญ รวมถึงมรดกและอิทธิพลที่เขามีต่อการจัดการสมัยใหม่
2. ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษาของดักลาส แม็กเกรเกอร์เป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมแนวคิดด้านการจัดการที่ก้าวหน้าของเขา
2.1. วัยเด็กและภูมิหลังครอบครัว
ดักลาส แม็กเกรเกอร์ เกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2449 ที่เมือง ดีทรอยต์ รัฐ มิชิแกน สหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรชายของ เมอร์เรย์ เจมส์ และ เจสซี อะดีเลีย แม็กเกรเกอร์ ในวัยเยาว์ เขาได้มีส่วนร่วมในการเป็นอาสาสมัครที่ศูนย์พักพิงสำหรับคนไร้บ้าน รวมถึงเล่นเปียโนและร้องเพลงด้วย เมื่อครั้งเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แม็กเกรเกอร์ได้ทำงานในธุรกิจของครอบครัว ซึ่งคือ สถาบันแม็กเกรเกอร์ (McGregor Institute) สถาบันแห่งนี้ เดิมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ภารกิจสำหรับคนไร้บ้าน" (Mission for Homeless Men) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการด้านจิตวิญญาณและอาชีพแก่ประชากรไร้บ้านในดีทรอยต์ ลุงของแม็กเกรเกอร์ ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อเขา เมอร์เรย์ เจมส์ คือ เทรซี ดับเบิลยู. แม็กเกรเกอร์ ผู้ใจบุญชาวดีทรอยต์
2.2. ภูมิหลังทางการศึกษา
ดักลาส แม็กเกรเกอร์ เริ่มต้นเส้นทางการศึกษาด้วยการได้รับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (เครื่องกล) จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีย่างกุ้ง (Rangoon Institute of Technology) หลังจากนั้น เขากลับมาศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยเวย์นสเตต และได้รับปริญญาตรีศิลปศาสตร์ในปี พ.ศ. 2475 ก่อนหน้านี้ แม็กเกรเกอร์เคยลาออกจากมหาวิทยาลัยเวย์นสเตตเพื่อไปทำงานเป็นพนักงานสถานีบริการน้ำมันที่เมือง บัฟฟาโล รัฐ นิวยอร์ก และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2473 อย่างไรก็ตาม เขากลับมาศึกษาต่อเมื่อสถาบันแม็กเกรเกอร์ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกรมโยธาธิการของเมืองดีทรอยต์ ซึ่งทำให้เขาสามารถกลับมาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวย์นสเตตได้ในที่สุด ในปี พ.ศ. 2476 เขาได้รับปริญญาโทสาขาจิตวิทยา และในปี พ.ศ. 2478 ได้รับปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
3. อาชีพ
อาชีพของดักลาส แม็กเกรเกอร์ครอบคลุมบทบาทสำคัญทั้งในวงการวิชาการและการบริหาร โดยเขาได้สร้างผลงานและแนวคิดที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก
3.1. อาชีพทางวิชาการ
หลังจากสำเร็จการศึกษา ดักลาส แม็กเกรเกอร์ ได้เริ่มอาชีพการสอนที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนที่จะย้ายมาที่ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในศาสตราจารย์ยุคแรก ๆ ของ MIT สโลน สคูล ออฟ แมเนจเมนต์ (Sloan School of Management) ในระหว่างนั้น เขายังเคยสอนที่ สถาบันการจัดการอินเดีย กัลกัตตา (Indian Institute of Management Calcutta) อีกด้วย แม็กเกรเกอร์เป็นที่รู้จักในฐานะนักจิตวิทยาสังคมและศาสตราจารย์ด้านการจัดการ ผู้มีส่วนอย่างมากต่อการพัฒนาทฤษฎีการจัดการและแรงจูงใจ
3.2. การดำรงตำแหน่งประธานวิทยาลัยแอนติออก
ระหว่างปี พ.ศ. 2491 ถึง พ.ศ. 2497 ดักลาส แม็กเกรเกอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ วิทยาลัยแอนติออก ในรัฐ โอไฮโอ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ มหาวิทยาลัยแอนติออกมิดเวสต์ (Antioch University Midwest) หลังจากพ้นจากตำแหน่งประธานวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2497 แม็กเกรเกอร์ได้กลับมาสอนหนังสือที่ MIT อีกครั้ง และยังคงสอนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2507 นอกจากนี้ เขายังเคยทำหน้าที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการของวิทยาลัยแอนติออก โอไฮโออีกด้วย
4. ผลงานและงานเขียนที่สำคัญ
ดักลาส แม็กเกรเกอร์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากผลงานเขียนของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่สร้างอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อวงการการจัดการ นั่นคือ The Human Side of Enterprise ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดปฏิวัติวงการ นั่นคือทฤษฎี X และทฤษฎี Y
4.1. หนังสือ "The Human Side of Enterprise"
หนังสือ The Human Side of Enterprise (ด้านมนุษย์ขององค์กรธุรกิจ) ของดักลาส แม็กเกรเกอร์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 เป็นผลงานที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อแนวปฏิบัติทางการศึกษาและการจัดการ หนังสือเล่มนี้ได้เสนอแนวทางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ลูกจ้างจะเกิดแรงจูงใจผ่านการชี้นำและควบคุมแบบเผด็จการ (ซึ่งเขาเรียกว่า ทฤษฎี X) หรือผ่านการบูรณาการและการควบคุมตนเอง (ซึ่งเขาเรียกว่า ทฤษฎี Y) ในหนังสือเล่มนี้ แม็กเกรเกอร์ได้จำแนกแนวคิดสองชุดเกี่ยวกับ พฤติกรรม ของมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในสองชุดนี้ควรถูกเลือกใช้เป็นเครื่องมือในการจูงใจผู้อื่นในกิจกรรมการจัดการ
หนังสือเล่มนี้ได้รับการโหวตให้เป็นหนังสือการจัดการที่ทรงอิทธิพลที่สุดเป็นอันดับสี่แห่งศตวรรษที่ 20 ในการสำรวจความคิดเห็นของคณะกรรมการ สถาบันการจัดการ (Academy of Management) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของผลงานชิ้นนี้ต่อวงการบริหารจัดการสมัยใหม่
4.2. ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ทฤษฎี X และทฤษฎี Y เป็นแนวคิดที่โดดเด่นที่สุดที่แม็กเกรเกอร์นำเสนอ ซึ่งได้สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสมมติฐานที่ผู้จัดการมีต่อธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ และมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการจัดการและพฤติกรรมองค์กร
4.2.1. ภูมิหลังและลักษณะเฉพาะ
การพัฒนาทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแม็กเกรเกอร์มีพื้นฐานมาจากการวิจัยทางจิตวิทยา โดยเขามีแนวคิดเริ่มต้นว่ามนุษย์มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้ว เช่น ความอ่อนโยนและความหยาบกระด้าง ความรักและความเกลียดชัง หรือความเห็นอกเห็นใจและการก่อกวนผู้อื่น แม็กเกรเกอร์เชื่อว่าสมมติฐานส่วนบุคคลของผู้จัดการเกี่ยวกับธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์เป็นตัวกำหนดวิธีการที่ผู้จัดการแต่ละคนบริหารจัดการพนักงานของตนเอง ทฤษฎี Y ของเขานับเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดจิตวิทยามนุษยนิยมหรือจิตวิทยาพลังที่สามของ อับราฮัม มาสโลว์ มาใช้กับการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มนุษย์ถูกแบ่งลักษณะออกเป็นสองประเภทหลัก คือ X และ Y ทฤษฎี X แสดงถึงมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับมนุษย์ ในขณะที่ทฤษฎี Y แสดงถึงมุมมองเชิงบวก
4.2.2. ทฤษฎี X
ทฤษฎี X มีข้อสมมติฐานหลักสามประการเกี่ยวกับธรรมชาติและแรงจูงใจของมนุษย์:
- ประการแรก: โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ไม่ชอบทำงาน และหากเป็นไปได้ก็จะหลีกเลี่ยงงานนั้น
- ประการที่สอง: ธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ชอบทำงาน ทำให้มนุษย์ต้องถูกบังคับ ควบคุม และข่มขู่ด้วยการลงโทษ เพื่อให้เป้าหมายขององค์กรบรรลุผล
- ประการที่สาม: มนุษย์ชอบที่จะได้รับการชี้นำ แต่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และมีความทะเยอทะยานเพียงเล็กน้อย โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก
ดังนั้น รูปแบบการจัดการที่สอดคล้องกับทฤษฎี X จึงเป็นแบบเผด็จการ ผู้จัดการที่ยึดติดกับทฤษฎี X จะมีทัศนคติว่าพนักงานโดยทั่วไปขาดแรงจูงใจ ความเพลิดเพลิน และความรับผิดชอบในงานของตน
4.2.3. ทฤษฎี Y
ทฤษฎี Y มีข้อสมมติฐานว่าการจัดการสามารถนำค่านิยมแบบมนุษยนิยมมาใช้ได้ โดยให้การปฏิบัติที่เท่าเทียมและมีน้ำใจต่อพนักงาน ทฤษฎีนี้ถือว่า:
- โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ชอบทำงานและถือว่าการทำงานเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของกระบวนการชีวิต
- ดังนั้น พนักงานจะทำงานตามความมุ่งมั่นของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องถูกบังคับหรือควบคุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
- มนุษย์โดยธรรมชาติมีความรับผิดชอบและแสวงหาความรับผิดชอบในงานของตน
ผู้จัดการที่ยึดติดกับทฤษฎี Y จะมีทัศนคติว่าพนักงานมีความสุข มีแรงจูงใจ และปรารถนาความรับผิดชอบ ทฤษฎี X และ Y เป็นหนึ่งในทฤษฎีแรงจูงใจของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีความพึงพอใจในการทำงาน แม็กเกรเกอร์มักถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎี Y อย่างแข็งขัน แต่ เอ็ดการ์ ไชน์ ได้ระบุในคำนำของหนังสือ The Professional Manager ที่ตีพิมพ์หลังมรณกรรมของแม็กเกรเกอร์ว่า: "ในการติดต่อกับดั๊ก ผมมักพบว่าเขาผิดหวังกับระดับที่ทฤษฎี Y กลายเป็นชุดหลักการที่แข็งกระด้างไม่แพ้ทฤษฎี X ซึ่งเป็นการสรุปเกินจริงที่ดั๊กกำลังต่อสู้... แต่ผู้อ่านเพียงไม่กี่คนเต็มใจที่จะยอมรับว่าเนื้อหาในหนังสือของดั๊กได้ทำในสิ่งที่เป็นกลาง หรือการนำเสนอจุดยืนของดั๊กเองนั้นเป็นไปอย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างเย็นชา" นอกจากนี้ เกรแฮม เคลฟเวอร์ลีย์ ในหนังสือ Managers & Magic (พ.ศ. 2514) ได้ให้ความเห็นว่า แม็กเกรเกอร์สร้างคำว่าทฤษฎี X และทฤษฎี Y เพื่อระบุชุดความเชื่อสองชุดที่ผู้จัดการอาจมีเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพฤติกรรมมนุษย์ เขาชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้จัดการจะถูกกำหนดอย่างมากโดยความเชื่อที่เขาเชื่อมั่น แม็กเกรเกอร์หวังว่าหนังสือของเขาจะนำผู้จัดการไปสำรวจชุดความเชื่อทั้งสอง คิดค้นความเชื่ออื่น ๆ ทดสอบสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง และพัฒนากลยุทธ์การจัดการที่สมเหตุสมผลตามมุมมองความเป็นจริงที่ได้รับการทดสอบเหล่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับแตกต่างออกไป แม็กเกรเกอร์กลับถูกตีความว่าสนับสนุนทฤษฎี Y ในฐานะจริยธรรมใหม่ที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นชุดคุณค่าทางศีลธรรมที่ "ควร" เข้ามาแทนที่ค่านิยมที่ผู้จัดการมักจะยอมรับ
4.3. ผลงานอื่น ๆ
นอกเหนือจาก The Human Side of Enterprise แล้ว ดักลาส แม็กเกรเกอร์ยังมีผลงานเขียนที่สำคัญอื่นๆ ที่ตีพิมพ์หลังมรณกรรมของเขา ซึ่งได้ขยายแนวคิดด้านการจัดการให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น:
- Leadership and Motivation (ภาวะผู้นำและแรงจูงใจ) ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2509
- The Professional Manager (ผู้จัดการมืออาชีพ) ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2510 หนังสือเล่มนี้ต่อยอดจากแนวคิดที่นำเสนอในหนังสือเล่มแรกของเขา พร้อมทั้งให้แง่มุมด้านพฤติกรรม สังคม และจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดก่อนหน้า
5. ความสนใจในการวิจัย
ความสนใจในการวิจัยหลักของดักลาส แม็กเกรเกอร์มุ่งเน้นไปที่ ภาวะผู้นำของผู้จัดการ และวิธีการที่พนักงานได้รับผลกระทบจากรูปแบบการจัดการของผู้บังคับบัญชา ในหนังสือ The Human Side of Enterprise (พ.ศ. 2503) เขาได้มุ่งเน้นไปที่แนวทางการเป็นผู้นำแบบทฤษฎี X และทฤษฎี Y ส่วนในหนังสือ The Professional Manager (พ.ศ. 2510) เขาได้ต่อยอดแนวคิดเหล่านี้โดยการนำเสนอแง่มุมทางพฤติกรรม สังคม และจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางโดยรวมของเขาต่อทฤษฎีการจัดการที่เน้นความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์
6. ชีวิตส่วนตัว
ดักลาส แม็กเกรเกอร์แต่งงานเมื่ออายุ 19 ปี เขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ อับราฮัม มาสโลว์ ในชั้นเรียน แม็กเกรเกอร์มีสไตล์การสอนที่ผ่อนคลายมาก ซึ่งทำให้นักเรียนของเขาชื่นชอบชั้นเรียนของเขาเป็นอย่างมาก เขามักจะวางเท้าบนโต๊ะขณะบรรยาย ซึ่งเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
7. การเสียชีวิต
ดักลาส แม็กเกรเกอร์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ที่รัฐ แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ขณะมีอายุ 58 ปี
8. มรดกและอิทธิพล
มรดกและอิทธิพลของดักลาส แม็กเกรเกอร์ต่อวงการการจัดการสมัยใหม่ การศึกษา และสังคม ถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานที่สำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมองค์กรและแนวปฏิบัติการจัดการ
8.1. อิทธิพลต่อแนวปฏิบัติในการจัดการ
ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (Procter & Gamble) ได้นำทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแม็กเกรเกอร์มาใช้ในการจัดตั้งโรงงานในเมือง ออกัสตา รัฐจอร์เจีย ถึงขั้นที่บริษัทได้ว่าจ้างแม็กเกรเกอร์ให้มาช่วยเหลือในการประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านี้โดยตรง วอร์เรน เบนนิส ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำ นักวิจัย นักเขียน และนักการศึกษา ได้กล่าวถึงแม็กเกรเกอร์ว่า "เหมือนกับที่นักเศรษฐศาสตร์ทุกคน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็ยังเป็นหนี้บุญคุณ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ พวกเราทุกคน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ก็เป็นลูกศิษย์ของแม็กเกรเกอร์" คำกล่าวนี้เน้นย้ำถึงอิทธิพลทางความคิดอันมหาศาลของแม็กเกรเกอร์ที่มีต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการรุ่นหลัง
8.2. อนุสรณ์และสิ่งระลึก
เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดักลาส แม็กเกรเกอร์ ในปี พ.ศ. 2507 โรงเรียนการเรียนรู้ผู้ใหญ่และเชิงประสบการณ์ที่ วิทยาลัยแอนติออก ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนแม็กเกรเกอร์" (McGregor School) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "มหาวิทยาลัยแอนติออก แม็กเกรเกอร์" (Antioch University McGregor) และปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ "มหาวิทยาลัยแอนติออกมิดเวสต์" (Antioch University Midwest) นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2509 ยังมีการก่อตั้ง รางวัลอนุสรณ์ดักลาส แม็กเกรเกอร์ (Douglas McGregor Memorial Award) เพื่อยกย่องผลงานวิจัยชั้นนำที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Applied Behavioral Science ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและความสำคัญของมรดกที่เขาทิ้งไว้ในวงการวิชาการและวิชาชีพ