ฆูลิโอ โดส ซานโตส

3.1. อาชีพในปารากวัย (ค.ศ. 2001-2005)

โดส ซานโตสเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรเซร์โร โปร์เตญโญในบ้านเกิดของเขาในปี ค.ศ. 2001 เขาเป็นส่วนสำคัญของทีมในช่วงเวลานี้ โดยลงสนามไป 91 นัดและทำได้ 28 ประตู ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในต่างประเทศ ผลงานที่โดดเด่นของเขาในช่วงนี้ทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของปารากวัยในปี ค.ศ. 2005 โดยหนังสือพิมพ์ Diario ABC Color ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติในประเทศ

3.2. ช่วงเวลาในยุโรปและบราซิล (ค.ศ. 2006-2008)

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 โดส ซานโตสได้ย้ายไปร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิก สโมสรยักษ์ใหญ่ในเยอรมนี เขาถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นตัวตายตัวแทนระยะยาวของมิชชาเอล บัลลัค ที่ย้ายไปเชลซีในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม โดส ซานโตสต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในทีม โดยเฉพาะกับอาลี คารีมี ซึ่งทำให้ทั้งสองผู้เล่นต่างประสบปัญหาในการหาตำแหน่งในทีมตัวจริง

ในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล 2006-07 ผู้บริหารของบาเยิร์นได้แสดงความไม่พอใจต่อพัฒนาการของโดส ซานโตสอย่างเปิดเผย โดยเฟลิกซ์ มากัท ผู้จัดการทีมในขณะนั้นกล่าวว่า "ชัดเจนว่าพัฒนาการของฆูลิโอไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเรา การเก็บผู้เล่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรไว้กับสโมสรนั้นไม่สมเหตุสมผล" คำกล่าวนี้ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายทีมของเขาอย่างแพร่หลาย และในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 บาเยิร์นได้ประกาศบรรลุข้อตกลงปล่อยตัวเขาให้เฟาเอ็ฟเอ็ล ว็อลฟส์บวร์ค เพื่อนร่วมลีกยืมตัวไปจนจบฤดูกาล แต่ที่ว็อลฟส์บวร์คเขาก็ไม่สามารถลงสนามในทีมชุดใหญ่ได้เลย ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บรุนแรง ทำให้เขากลับมาบาเยิร์นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 ตลอดฤดูกาล 2006-07 เขาลงสนามให้บาเยิร์น มิวนิกในลีก 4 นัด, เดเอ็ฟเบ-โพคาล 1 นัด และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 นัด นอกจากนี้เขายังได้ลงเล่นให้ทีมบาเยิร์น มิวนิก ชุดบี (สำรอง) อีก 3 นัด ทำได้ 2 ประตู

หลังจากการมาถึงของนักเตะอย่างฟร็องก์ รีเบรี, ฮามิต อัลทึนทอพ, โฮเซ โซซา และเซ โรแบร์ตู ในฤดูกาลถัดมา ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขาจะประสบปัญหาในการหาตำแหน่งในทีมตัวจริงอีกครั้ง อ็อทมาร์ ฮิทซ์เฟ็ลด์ ผู้เข้ามาแทนมากัทในฐานะผู้จัดการทีม ได้ระบุว่าสโมสรต้องการขายโดส ซานโตส ทำให้ในฤดูกาล 2007-08 เขาถูกปล่อยยืมตัวไปยังอูเด อัลเมริอาในสเปน ซึ่งเขาไม่ได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่เลย และต่อมาก็ย้ายไปเกรมิโอในบราซิล โดยลงสนามให้เกรมิโอ 4 นัด

3.3. การกลับสู่ทวีปอเมริกาใต้ (ค.ศ. 2008-2017)

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 โดส ซานโตสได้เซ็นสัญญากับกลุบ อาตแลชิกู ปารานาเอนเซในบราซิล โดยลงสนามไป 21 นัดและทำได้ 2 ประตู ก่อนที่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 ฆูลิโอจะกลับไปยังสโมสรแรกของเขาคือเซร์โร โปร์เตญโญอีกครั้ง เพื่อลงเล่นในฤดูกาลเกลาซูรา (Clausura) 2009 และโกปา ซูดาเมริกานา การกลับมาครั้งที่สองนี้กินระยะเวลานานที่สุดในอาชีพของเขา โดยอยู่กับเซร์โร โปร์เตญโญจนถึงปี ค.ศ. 2014 ลงสนามไปถึง 171 นัดและทำได้ 31 ประตู

ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ฆูลิโอ โดส ซานโตสได้ย้ายไปร่วมทีมวัชกู ดา กามา สโมสรบราซิลอีกแห่ง โดยลงสนาม 41 นัดในช่วงปี ค.ศ. 2015-2017 ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับสปอร์ติโบ ลูเกนโญในปารากวัยในช่วงปี ค.ศ. 2017-2018 ซึ่งเขาลงสนามไป 31 นัดและทำได้ 8 ประตู การแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสโมสรเก่าของเขาเกิดขึ้นเมื่อโดส ซานโตสปฏิเสธโอกาสที่จะเซ็นสัญญากับกลุบ โอลิมเปีย อาซุนซิออน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของเซร์โร โปร์เตญโญ โดยเขากล่าวขอบคุณประธานสโมสรที่สนใจในตัวเขา แต่ระบุว่า "ความเป็นเซร์โร" ของเขา (Cerro-ism) จะไม่อนุญาตให้เขาย้ายไปร่วมทีมโอลิมเปียได้

3.4. อาชีพช่วงปลายและการแขวนสตั๊ด (ค.ศ. 2019-2022)

ในช่วงบั้นปลายอาชีพ โดส ซานโตสได้กลับมาเล่นให้กับเซร์โร โปร์เตญโญเป็นครั้งที่สาม ในช่วงปี ค.ศ. 2019-2021 แม้ว่าจะลงสนามเพียง 7 นัดและไม่สามารถทำประตูได้ แต่ก็เป็นการแสดงถึงความผูกพันที่เขามีต่อสโมสรที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา ก่อนที่จะจบอาชีพการค้าแข้งกับกลุบ เปรซิเดนเต ฮาเยสในปี ค.ศ. 2022 ซึ่งเขาไม่ได้ลงสนามเลย และประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด

ตลอดอาชีพการงานในระดับสโมสร เขาลงสนามรวม 375 นัด และทำได้ 81 ประตู

4.1. การเข้าร่วมการแข่งขันรายการสำคัญ

เขาติดทีมชาติปารากวัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 โดยได้เข้าร่วมการแข่งขันหลักๆ ดังนี้:

• โกปา อาเมริกา 2004
• ฟุตบอลโลก 2006: เขาลงสนามในรายการนี้สองนัด และมีส่วนสำคัญในการทำประตูแรกของปารากวัยในชัยชนะ 2-0 เหนือตรินิแดดและโตเบโกในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งในนัดนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน (Man of the Match)
• โกปา อาเมริกา 2007

หลังจากโกปา อาเมริกา 2007 เขาไม่ได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติสำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกอีก

4.2. สถิติในระดับชาติ

ฆูลิโอ โดส ซานโตส ลงสนามให้ทีมชาติปารากวัยรวม 33 นัด และทำได้ 4 ประตู ระหว่างปี ค.ศ. 2004 ถึง ค.ศ. 2014